ตอนที่ 1,175 โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย
รองเท้าบูตหนังสีเหลืองคู่หนึ่งปรากฏในสายตาของหลินเป่ยเฉิน
ผู้ที่มาเป็นสตรี
หัวใจของหลินเป่ยเฉินผ่อนคลายลงเล็กน้อย
สำหรับบุรุษหนุ่มรูปหล่ออย่างเขา ให้รับมือกับสตรีอย่างไรก็ง่ายดายกว่ารับมือกับบุรุษด้วยกันเสมอ
ลมหายใจต่อมา เด็กหนุ่มก็สามารถมองเห็นเจ้าของรองเท้าบูตหนังสีเหลืองคู่นั้นอย่างชัดเจน
นางเป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี
หน้าตาสะสวย ร่างกายสูงเพรียว
เด็กสาวผู้นี้สวมใส่กระโปรงสีดำยาวระดับเข่า และจากมุมมองสายตาของหลินเป่ยเฉิน มันก็ทำให้เขาสามารถมองเห็นเรียวขาขาวสวยที่อยู่สูงขึ้นไปเหนือรองเท้าบูต ต้นขาขาวเนียนและ…
ในดินแดนทวยเทพไม่มีกางเกงซับในหรืออย่างไร?
หลินเป่ยเฉินรีบเลื่อนสายตาขึ้นไปโดยเร็ว
เด็กสาวผู้นี้คาดเข็มขัดสีแดงเส้นหนึ่ง เอวของนางคอดกิ่ว หน้าอกอวบอิ่มกำลังพอเหมาะพอเจาะ ผมดำยาวสลวยลงมาอยู่ที่ระดับก้น เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าที่สวยงามนั้นแล้ว จึงกล่าวได้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นยอดหญิงงามผู้หนึ่งทีเดียว
นางก็เป็นเทพเจ้าด้วยเช่นกันหรือ?
ในดินแดนทวยเทพมีเทพเจ้าวัยรุ่นด้วยสินะ?
ถ้างั้นจับเขาแต่งตัว หลินเป่ยเฉินก็สามารถเป็นได้เหมือนกัน
เด็กสาวรองเท้าบูตเหลืองหิ้วตะกร้าสีดำมาด้วยหนึ่งใบ แต่หลินเป่ยเฉินไม่รู้ว่าในตะกร้านั้นบรรจุอะไรอยู่บ้าง
แต่อย่างน้อย เขาก็สามารถพนันได้เลยว่าในตะกร้าต้องไม่ใช่อาวุธวิเศษหรือเครื่องมือสังหารผู้คนเป็นแน่แท้ อีกอย่าง เสื้อผ้าที่เด็กสาวผู้นี้สวมใส่ก็เป็นเสื้อผ้าเก่าขาดธรรมดา หาใช่ชุดเกราะนักรบไม่…
หรือว่านางจะเป็นเทพธิดาฝึกหัด?
คำถามมากมายปรากฏขึ้นในจิตใจของหลินเป่ยเฉินอย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อหลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่เด็กสาว เด็กสาวก็จ้องมองมาที่เขา
ยามที่สายตาของนางจับจ้องมองใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน เด็กสาวก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
หลังจากนั้น นางก็ถามออกมาว่า “อาราบู คูกา บาราเฮ่?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เขาอยากจะยกมือตบหัวตัวเองนัก
เพราะเขาฟังไม่เข้าใจเลยสักคำ
นั่นเท่ากับว่าตลอดเวลาที่เขาสื่อสารกับเทพีกระบี่หิมะไร้นามหรือพ่อค้าจากร้านเพื่อนพ้องพี่น้องโจรในโทรศัพท์มือถือนั้น มันเป็นการพูดคุยที่ผ่านโปรแกรมแปลภาษาอัตโนมัติแล้วใช่หรือไม่?
ทำไมเขาไม่เคยนึกถึงปัญหาเรื่องภาษามาก่อนเลยนะ?
แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี?
หลินเป่ยเฉินเห็นว่าเด็กสาวผู้นี้มีหน้าตาสะสวย จึงรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้ หากเขาไปพบเจอเทพเจ้าผู้อำมหิตเข้า มีหวังคงได้ตายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันพอดี
“อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ อะอู๊…”
หลินเป่ยเฉินพยายามแสดงสีหน้าขอความช่วยเหลือ เสแสร้งแกล้งส่งเสียงเป็นคนใบ้
“ที่แท้ก็เป็นคนใบ้นี่เอง”
เด็กสาวนามฮันลั่วเซวี่ยหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจทุกอย่าง
หนุ่มใบ้ผู้นี้มีหน้าตาหล่อเหลา
ในเขตแดนที่สามแห่งนี้ นางไม่เคยพบเจอใครหล่อเหลาเท่าเขามาก่อน
ฮันลั่วเซวี่ยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเงยหน้าขึ้นและมุ่งหน้ากลับบ้านต่อไป
เมืองนี้ไม่ใช่เมืองที่ปลอดภัย
นอกจากมีเชื้อโรคร้ายแพร่ระบาดแล้ว ยังมีหัวขโมยชุกชุม จะเกิดอะไรขึ้นหากหนุ่มใบ้ผู้นี้เป็นคนไม่ดี?
อย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยจะดีกว่า
รีบกลับบ้านเถอะ
หลินเป่ยเฉินได้แต่นอนกะพริบตาปริบ ๆ
ให้ตายสิ…
เห็นคนกำลังจะตายนอนอยู่ตรงนี้ทั้งคน ไม่คิดจะช่วยเหลือกันเลยหรือไง
จิตสำนึกน่ะมีบ้างไหม!
หน้าตาดีซะเปล่า ใจร้ายชะมัด
หลินเป่ยเฉินสบถอยู่ในใจด้วยความโกรธแค้น
แต่ใครเลยจะไปคิดว่าเด็กสาวกระโปรงดำผู้นั้นเมื่อก้าวเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็หันหลังเดินกลับมา
“เขาหน้าตาดีขนาดนี้ คงไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกกระมัง?”
สุดท้าย เด็กสาวก็ทนความหล่อเหลาของหนุ่มใบ้ไม่ไหวอยู่ดี
นางเดินกลับมาช่วยประคองหลินเป่ยเฉินลุกขึ้น
“อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”
หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนจากความโกรธแค้นเป็นความดีใจโดยทันที
แต่เด็กสาวที่มีร่างกายบอบบางผู้นี้กลับมีความแข็งแรงกว่าที่คิด นางสามารถประคองหลินเป่ยเฉินได้ด้วยมือข้างเดียวและพาเขาเดินออกจากตรอกขี้หมู มุ่งหน้าไปสู่ถนนเส้นใหญ่
“เสี่ยวเซวี่ย กลับมาแล้วหรือ”
“เจ้าออกไปซื้อเนื้อมาใช่หรือไม่? หรือว่าคืนนี้โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยจะทำเนื้อแปดกษัตริย์ให้ลูกค้ารับประทาน?”
“เอ๋ นั่นเจ้าพาใครกลับมาด้วยน่ะ?”
ตลอดเส้นทาง ผู้คนที่อยู่สองข้างถนนต่างก็ทักทายฮันลั่วเซวี่ยด้วยความคุ้นเคยสนิทสนม
เด็กสาวเองก็ตอบรับทุกคนอย่างกระตือรือร้น
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินย่อมฟังทุกคำพูดไม่ออก สำหรับเขามันไม่ต่างจากการดูภาพยนตร์ต่างประเทศโดยไม่มีซับไตเติ้ล ไม่ว่าทุกคนพูดอะไรออกมา เขาก็ไม่เข้าใจเลยสักคำ
หลินเป่ยเฉินพยายามหันคอมองดูผู้คนที่อยู่รอบข้าง
ทำไมคนพวกนี้ถึงดูไม่เหมือนเทพเจ้าเลยนะ?
เทพเจ้าอะไรจะใส่เสื้อผ้าธรรมดา เดินไปเดินมาอยู่ข้างถนนเช่นนี้?
และสภาพแวดล้อมโดยรอบก็…
ถนนหนทางถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบระเบียบ…
เพียงแต่ว่าอาคารบ้านเรือนที่อยู่สองฝั่งของถนนนั้นกลับกลายเป็นอาคารหินเก่าแก่ผุพังตามกาลเวลา สภาพแทบไม่ต่างจากเมืองร้างอายุหลายพันปี ต่อให้นักโบราณคดีมาเห็นสภาพเมืองเหล่านี้ พวกเขาก็คงคิดคำบรรยายไม่ได้ด้วยซ้ำ
นี่หรือคือดินแดนทวยเทพ?
ใช่แน่นะ?
หลังจากนั้น
ฮันลั่วเซวี่ยผู้ประคองหลินเป่ยเฉินด้วยมือข้างเดียวก็พาเขามาถึงอาคารสองชั้นหลังเล็ก ๆ ชื่อว่า ‘โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย’
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่จื่อชุน ข้ากลับมาแล้ว”
เด็กสาวยิ้มแย้มแจ่มใส พูดออกมาเสียงดัง
…
ด้านหลังโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย
ในห้องพักหลังหนึ่ง
หลังจากทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็นอนลงบนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมตัวไว้บาง ๆ
บัดนี้ เขาพอจะจับใจความบางอย่างได้แล้ว
อย่างเช่น เด็กสาวผู้ที่ช่วยชีวิตเขามานั้นเป็นบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ พวกเขาพ่อแม่ลูกเปิดโรงเตี๊ยมบนที่ดินของตนเองและกิจการก็ดำเนินไปอย่างเงียบเหงา
นอกจากนั้น ยังมีชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นเสมือนเด็กรับใช้ประจำโรงเตี๊ยม คิ้วหนา ตาโต หน้าตาดูจริงใจใสซื่อ มือเท้าหยาบกร้าน แสดงให้เห็นถึงการทำงานหนักมาตลอดชีวิต…
แต่ปัญหาก็คือพวกเขาทั้งสี่คนดูไม่เหมือนเทพเจ้าสักนิด
“ปัญหาใหญ่ที่สุดของเราในตอนนี้ก็คือกำแพงทางด้านภาษานี่แหละ ต่อให้พวกเขาพูดอะไรมาเราก็ฟังไม่เข้าใจ วิธีที่ดีที่สุดคงต้องหาหนังสือมาให้โทรศัพท์สแกนสักเล่ม เหมือนตอนที่อยู่กับชาวเผ่าจันทราขาว”
หลินเป่ยเฉินนอนคิดแผนการอยู่บนเตียง
แต่ก่อนอื่น เขาต้องรีบหาทางกลับมาขยับร่างกายให้ได้ก่อน
นี่คือเรื่องสำคัญที่สุด
สภาพของเขาในตอนนี้ดีกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว
หลินเป่ยเฉินสามารถขยับมือและเท้าได้
เพียงแต่ว่ายังไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นนั่งหรือทำอะไรอย่างอื่น
เพื่อแก้ไขปัญหาในข้อนี้ หลินเป่ยเฉินได้เตรียมทางออกเอาไว้แล้ว
นั่นคือการลองใช้วิชาที่มาจากดินแดนทวยเทพ
อย่างเช่น วิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ
เนื่องจากวิชานี้เป็นวิชาต้องห้ามในดินแดนทวยเทพ ก่อนออกเดินทางหลินเป่ยเฉินจึงปิดการทำงานของแอปพลิเคชันห้าธาตุหลอมวิญญาณ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเผ่าเทพพงไพรจับได้จนนำไปสู่การลงทัณฑ์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์…
แต่บัดนี้…
เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดการทำงานของแอปพลิเคชันห้าธาตุหลอมวิญญาณ เพราะบางทีมันอาจจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ร่างกายของเขากลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
หลังจากนั้น ก็ค่อยหาวิธีติดต่อเทพีกระบี่หิมะไร้นาม
เพราะในฐานะผู้หลบหนีเข้าเมือง อีกไม่นานต้องมีคนมาพบเจอเขาแน่ ๆ
แต่ปัญหาเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือพลังลมปราณของหลินเป่ยเฉินใช้งานไม่ได้ และนั่นก็หมายความว่าพวกมันจะเปลี่ยนเป็นสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้กับโทรศัพท์มือถือไม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ขณะนี้แอปวีแชทจึงยังไม่สามารถใช้งานได้
หลินเป่ยเฉินนอนคิดแผนการอยู่บนเตียงทั้งคืน
รุ่งเช้าวันต่อมา เขาก็ออกคำสั่งในใจให้เสี่ยวจี้ผู้ช่วยสาวส่วนตัวอัจฉริยะเปิดการทำงานของแอปพลิเคชันห้าธาตุหลอมวิญญาณและเริ่มโคจรพลังปราณธาตุทั้งห้าในร่างกาย
ไม่มีหนทางให้ย้อนกลับได้อีกแล้ว
เป็นไงเป็นกัน
แต่โชคดีที่แอปพลิเคชันห้าธาตุหลอมวิญญาณเป็นแอปพลิเคชันแบบสแตนอะโลน ต่อให้ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ใช้งานได้ไม่มีปัญหา
หลังจากที่เปิดการทำงานของแอปพลิเคชันห้าธาตุหลอมวิญญาณเพียงนาทีเดียวเท่านั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังร้อนอุ่นในร่างกายที่แผ่ซ่านไปตามแขนขา ช่วงเอวและหน้าท้องอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
พลังกลับมาแล้ว
พลังที่คุ้นเคยกลับสู่ร่างกาย
ทันใดนั้น ความรู้สึกหงุดหงิดใจถูกสลายหายไปสิ้น เด็กหนุ่มกลับมารู้สึกตื่นเต้น
แน่นอนว่าเมื่อพลังกลับคืนสู่ร่างกาย หลินเป่ยเฉินจึงสามารถดูแลตนเองได้อีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินนอนบนเตียง ขยับแขนขาของตนเองด้วยความร่าเริง
แต่จังหวะที่กำลังจะลุกขึ้นนั่งนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าประตู
หัวใจกระตุกวูบ รีบนอนแน่นิ่งอีกครั้ง เสแสร้งแกล้งทำเป็นหลับ แต่ดวงตาหรี่เปิดขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อแอบสังเกตการณ์อย่างเงียบงัน
เอี๊ยด
ประตูห้องถูกผลักเปิดออก
แล้วชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คิ้วหนาตาโตก็เดินเข้ามา
ชายฉกรรจ์ผู้นี้มีอายุยี่สิบปีเศษ ร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าหยาบกร้าน ท่าทางดูจริงใจใสซื่อ สวมชุดสีเทาที่ซักล้างเป็นอย่างดี ส่วนในมือก็กำลังถือ…
หืม?
ในมือกำลังถือมีดอยู่เล่มหนึ่ง?
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็อดตกใจไม่ได้
ไอ้หมอนี่มันจะถือมีดเข้ามาในห้องเขาทำไมกันนะ?
จังหวะนั้น ชายฉกรรจ์ก็เดินถือมีดตรงมาที่เตียงของหลินเป่ยเฉิน มิหนำซ้ำ ยังทำท่าเหมือนจะเอามีดมาปาดคอเขาอีกด้วย
นี่อยากจะฆ่ากันเลยหรือไง?
เชี่ย
เมื่อหลินเป่ยเฉินลองสำรวจชายฉกรรจ์ผู้นี้ดูอีกครั้ง
…นี่มันคนจริงใจใสซื่อกับผีน่ะสิ เขามองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนดีแน่ ๆ!!