ตอนที่ 1,165 ตัวตนที่แท้จริงของอาจารย์ติง
นางจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาอำมหิต
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้จ้องมองตอบกลับไป
ในที่สุด ลู่กวนไห่ก็ถอนหายใจออกมาช้าๆ นางพยายามสะกดจิตตนเองว่า ‘ข้าจะทุบตีเขาไม่ได้ ข้าจะทุบตีเขาไม่ได้ ข้าจะทุบตีเขาไม่ได้ ข้าจะทุบตีเขาไม่ได้…’
หลังจากสูดหายใจสงบสติอารมณ์อยู่หลายรอบ สุดท้ายลู่กวนไห่ก็กลับมาสงบสุขุมดังเดิม นางไม่พูดไม่จา หันหลังให้เขาและเดินตรงไปในส่วนลึกของอุโมงค์ใต้ดิน
นี่หมายความว่าอย่างไร?
“ดูเหมือนอาจารย์อาเล็กจะไม่ให้พวกท่านยืมหมูนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง
เม่ยฮัวโส่วขมวดคิ้วเล็กน้อย
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรลู่กวนไห่ถึงกลายเป็นอาจารย์อาเล็กของหลินเป่ยเฉิน ซ้ำยังมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนติงซานฉือ แต่หากพวกเขาได้รับการหยิบยืมหมูบินได้เหล่านั้น การเดินทางก็จะเร็วมากกว่าเดิมถึงสองเท่า
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินตบต้นขาตนเองฉาดใหญ่ สีหน้าสดชื่นแจ่มใส กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านคงจำเป็นต้องรีบเดินทาง แม้ว่าอาจารย์ของข้ากับอาจารย์อาเล็กจะไม่ยอมให้ท่านยืมหมูบินได้เหล่านั้น แต่ข้าก็จะขอขัดคำสั่งอาจารย์ก็แล้วกัน ถึงกระนั้น การหยิบยืมหมูบินได้ในครั้งนี้มีค่าเช่าตัวละหนึ่งพันก้อนศิลาบูชา นี่ข้าคิดราคามิตรภาพแล้วนะขอรับ เห็นว่าพวกท่านมีเรื่องเร่งด่วนให้รีบเดินทาง จึงไม่อยากจะขูดเลือดขูดเนื้อมากเกินไป ต่อให้อาจารย์กลับมาทุบตีข้า ข้าก็จะแบกรับทุกอย่างเอาไว้เอง”
เม่ยฮัวโส่วพูดอะไรไม่ออก
ครั้งนี้เขาไม่รู้จะพูดอะไรจริง ๆ
ฮั่วเฟยฮัวก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน
นางได้ยินมาว่าเด็กหนุ่มผู้นี้หมายตาเสี่ยวเหยียนลูกศิษย์ของนางใช่หรือไม่?
วันใดวันหนึ่งในอนาคต หากจำเป็นต้องแต่งหลินเป่ยเฉินเข้าสู่สำนักของนาง เงินค่าสินสอดคงทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้แทบขาดใจตายเป็นแน่แท้
ในที่สุด พวกเขาก็ถูกบังคับให้ต้องจ่ายเงิน
ทุกคนรวมตัวกันจ่ายเงินทั้งหมดเป็นศิลาบูชาสี่พันก้อน เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็สามารถนำหมูบินได้ทั้งสี่ตัวออกเดินทางจากลานด้านหลังสำนักกระบี่อมตะได้ทันที…
ในเวลาเดียวกันนี้ ภายในเมืองไป๋หยุนก็กำลังเกิดความชุลมุนวุ่นวาย
มือกระบี่ในชุดขาวจากสำนักกระบี่อมตะออกต่อสู้ทุกหนทุกแห่ง
ภายใต้การนำของเซียวปิง เฉียนเหมย เฉียนเจิน และคนอื่น ๆ พวกเขาสามารถกวาดล้างศัตรูออกไปจากตัวเมืองได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่สิ่งที่ตามมาหลังมหันตภัยก็คือเมืองไป๋หยุนต้องพบกับความสูญเสียอย่างหนัก
ในอดีต แดนศักดิ์สิทธิ์ของมือกระบี่ในจักรวรรดิเป่ยไห่แห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองไม่แพ้นครหลวง แต่สภาพในปัจจุบันแทบกลับกลายเป็นเมืองร้าง ประชากรผู้รอดชีวิตทั้งคนในคนนอกหลงเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน…
ชาวเมืองผู้บริสุทธิ์จำนวนมากไม่สามารถอพยพออกไปได้ทันเวลา พวกเขาจึงถูกกลุ่มคนผู้บุกรุกจากสำนักมหากระบี่และพรรคพวกเข่นฆ่าสังหารด้วยความอำมหิต
“พวกมันช่างชั่วช้าสามานย์จริง ๆ”
เฉียนเหมยกระทืบเท้า กัดฟันกรอด
“หนี้เลือดในครั้งนี้ อีกไม่นาน พวกมันจะต้องชดใช้”
ดวงตาของอิ๋นซานกลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น
ส่วนผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่พิชิตมาร ท่านผู้เฒ่าจากสำนักกระบี่มนตรา และพวกของสือจงเซิ่งก็อยู่ในอาการโกรธแค้นไม่ต่างกัน พวกเขาต่างก็ฝังศพเพื่อนร่วมเมืองด้วยความเศร้าโศกเสียใจ…
หลินเป่ยเฉินมาพบกับทุกคนและได้รู้ว่าเฉียนเหมยสามารถเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จแล้ว
แน่นอน
ในที่สุด สาวรับใช้จอมลุยก็อาศัยความสามารถของตนเองเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จเสียที
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปทักทายเหยียนหรู่อี้ ซวีหวันและหูเหม่ยเอ๋อร์
พวกนางทั้งสามคนมีสีหน้าละอายใจเล็กน้อย ด้วยเดิมทีคิดว่าตนเองน่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงานจนสะบักสะบอม โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอันตรายถึงชีวิต
พวกนางย่อมไม่รู้ว่าเจ้าสำนักคฤหาสน์กำยานอย่างฮั่วเฟยฮัวและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตนเองได้มาปรากฏตัวอยู่ในสุสานกระบี่
“คุณชายหลินไม่เป็นไรนะเจ้าคะ?”
เมื่อหูเหม่ยเอ๋อร์เห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน ดวงตากลมโตของนางก็ลุกวาวด้วยความประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวผู้นี้ห่วงความปลอดภัยของหลินเป่ยเฉินยิ่งกว่าความปลอดภัยของตนเองอีก
เหยียนหรู่อี้และซวีหวันก็ใช้สายตาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินขึ้น ๆ ลง ๆ สุดท้ายพวกนางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงมีแขนขาครบถ้วนสมบูรณ์ดี
หลังจากทักทายกันเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มดำเนินการทำความสะอาดตัวเมืองที่เหลืออยู่ต่อไป
ส่วนหลินเป่ยเฉินถูกผู้อาวุโสเสี่ยวหรานนำตัวกลับมาที่สุสานกระบี่
เมื่อเขาไปถึง เด็กหนุ่มก็พบว่าผู้อาวุโสฉีและสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดได้หายตัวไปแล้ว
ลู่กวนไห่เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดกระโปรงขาวสะอาดราวหิมะ นางยืนอยู่บนเฉลียงทางเดินที่ทอดนำเข้าไปสู่บ่อลาวาใหญ่
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินมาถึง ดวงตาของหญิงสาวก็เป็นประกายคมกริบไม่ต่างจากคมกระบี่ นางจ้องมองเขาด้วยแววตาดุร้าย ก่อนจะหันกลับไปพร้อมกล่าวว่า “ตามข้ามา”
หืม?
แค่เขาเรียกนางว่าอาจารย์อาเล็ก ถึงกับต้องโกรธแค้นกันขนาดนี้เลยหรือ?
ลู่กวนไห่น่าจะชอบใจไม่ใช่หรือไง
หลินเป่ยเฉินเดินตามหลังอดีตคนรักของอาจารย์ไปอย่างงงงัน
เขาเคยมาที่นี่มาก่อน เด็กหนุ่มเดินผ่านเฉลียงทางเดินที่ยาวเหยียด อากาศเบื้องหน้าเขาร้อนระอุมากขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งสุดท้ายที่หลินเป่ยเฉินมาที่นี่ เขาจำได้ว่าตนเองต้องสร้างม่านพลังขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายเพื่อป้องกันคลื่นความร้อนเหล่านี้
แต่ครั้งนี้หรือ?
ไม่จำเป็นแม้แต่น้อย
หลินเป่ยเฉินเลื่อนขั้นพลังขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว
คลื่นความร้อนทำอะไรเข้าไม่ได้อีกต่อไป
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกเขาสองคนก็มาถึงบ่อลาวาใหญ่
“นี่มันอะไรกัน?”
พลัน หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เพราะบุคคลที่ถูกล่ามโซ่พันธนาการอยู่บนกระบี่ยักษ์เล่มใหญ่ใจกลางบ่อลาวานั้น… ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว?
ปรากฏว่าผู้ที่นั่งอยู่บนด้ามจับกระบี่ยักษ์ไม่ใช่ฉู่เทียนกัวอาจารย์ใหญ่ผู้ก่อตั้งเมืองไป๋หยุนอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นอาจารย์ติงของหลินเป่ยเฉินเอง?
“เชี่ย”
หลินเป่ยเฉินเผลอสบถคำหยาบออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาเข้าใจว่าอาจารย์ติงหวาดกลัวจนหัวหด จึงไม่กล้าปรากฏตัวออกมา แต่คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าอาจารย์จะมาถูกพันธนาการอยู่ในที่แห่งนี้
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ?”
เขาหันหน้าไปถามลู่กวนไห่
อาจารย์อาเล็กของเขาไม่ใช่คนดีแน่ ๆ
ถึงกับจับตัวคนรักเก่ามาทรมานได้ลงคอเชียวหรือ?
“เขากำลังจะเปิดผนึกได้สำเร็จแล้ว”
ลู่กวนไห่ตอบกลับมา
“เปิดผนึกได้สำเร็จ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “เปิดผนึกอันใดขอรับ?”
“เปิดผนึกวิญญาณของจอมมารแห่งเผ่าปีศาจจันทราทมิฬ” ลู่กวนไห่ตอบคำถามโดยไม่ปิดบัง
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นเจ้าเมืองไป๋หยุน
เด็กหนุ่มมีคุณสมบัติดีพอที่จะรู้เรื่องราวทั้งหมด
แต่เดี๋ยวก่อนนะ?
หลินเป่ยเฉินสะดุดใจในอะไรบางอย่าง เขาขมวดคิ้วหน้ายุ่งและถามว่า “อาจารย์ติงกำลังจะเปิดผนึกวิญญาณจอมมารของเผ่าปีศาจจันทราทมิฬ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…”
“เจ้าเดาได้ถูกต้องแล้ว”
ลู่กวนไห่ตอบ “ตัวตนที่แท้จริงของอาจารย์เจ้า ก็คือจอมมารแห่งเผ่าปีศาจจันทราทมิฬ”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
อาจารย์ติงเนี่ยนะเป็นจอมมาร?
งั้นก็หมายความว่าอาจารย์ไม่ใช่คนของโลกนี้น่ะสิ?
“วิญญาณของจอมมารมากำเนิดใหม่ในร่างอาจารย์ติงใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามต่อไป
เรื่องการกำเนิดใหม่ของวิญญาณเทพเจ้านั้น ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินได้เคยเรียนรู้มาจากเทพีกระบี่หิมะไร้นามอยู่บ้าง
เพราะนางเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินเป็นเทพเจ้าที่ถูกขับไล่ลงจากดินแดนทวยเทพให้ไปเกิดใหม่อยู่ในโลกมนุษย์
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้พบกับการกำเนิดใหม่ในร่างเยว่เว่ยหยางของเทพีกระบี่ตัวจริง และระหว่างที่เว่ยหมิงเฉินพยายามจะกวาดล้างวิหารเทพีกระบี่นั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้รับทราบข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังมากมายทีเดียว
บัดนี้ แม้แต่อาจารย์ติงก็กลายเป็นร่างสถิตของวิญญาณจอมมารไปแล้ว
เรื่องราวเหล่านี้ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไป
แต่ไม่เป็นไรหรอก ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นวิญญาณจอมมาร แต่เมื่อมากำเนิดใหม่ในร่างของอาจารย์ติง จอมมารผู้นั้นก็คงไม่ใช่บุคคลเลวร้ายสักเท่าไหร่กระมัง?
“นี่ไม่ใช่การกำเนิดใหม่ แต่เป็นการกลับคืนสู่ร่างเดิมต่างหาก”
ลู่กวนไห่สลายทฤษฎีของหลินเป่ยเฉินลงไปในพริบตา “ก่อนหน้านี้ อาจารย์ของเจ้าคือจอมมารแห่งเผ่าปีศาจจันทราทมิฬ ทว่า เพราะถูกใส่ความทำให้เกิดอาการคุ้มคลั่ง วิญญาณจอมมารจึงถูกเคลื่อนย้ายไปปิดผนึกอยู่ในร่างของท่านอาจารย์ใหญ่ แต่วันนี้เป็นโอกาสอันดีงาม วิญญาณจอมมารนั้นจึงถูกเคลื่อนย้ายกลับคืนสู่ร่างของอาจารย์เจ้าอีกครั้ง”
หืม?
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุด ความลับก็เปิดเผยแล้ว
เขารู้แล้วว่าเพราะเหตุใดอาจารย์ติงซึ่งถูกขับไล่ออกจากเมืองไป๋หยุนราวกับสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง ถึงได้สามารถพิชิตใจองค์หญิงแห่งท้องทะเลและกลายเป็นคนรักเก่าที่ลู่กวนไห่ไม่อาจลืมเลือนได้เช่นนี้
ที่แท้อาจารย์ของเขาก็มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดานี่เอง
“ข้าน้อยจำได้ว่าก่อนที่วิญญาณจอมมารจะถูกปิดผนึก เขาได้เสียสติจนสังหารผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นเขาจึงถูกนำตัวมากักขังอยู่ในสุสานกระบี่แห่งนี้… เกรงว่าข้อมูลเหล่านั้นคงกลายเป็นเพียงเหตุผลบังหน้าสำหรับตบตาผู้คนแล้วกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินจำได้ถึงเรื่องที่เสี่ยวหรานเคยเล่าให้ฟัง จึงถามออกมาทันที
ลู่กวนไห่ตอบว่า “เรื่องที่ถูกใส่ความจนสติคุ้มคลั่งนั้นเป็นความจริง แต่เรื่องที่เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์จำนวนมากนั้นเป็นเรื่องโกหก”