ตอนที่ 1,180 หัวขโมยปรากฏตัว
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินย่อมไม่เข้าใจสิ่งที่ฮันลั่วเซวี่ยพูดออกมาสักคำ
และเขาก็ไม่ได้เขียนคำอธิบาย เพียงแต่พูดกลับไปว่า “อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ อะบู๊…”
ฮันลั่วเซวี่ยจึงต้องถามคนที่อยู่แถวนั้นถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ปรากฏว่าเป็นนักบวชเซียงเหยียนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ?
ฮันลั่วเซวี่ยรับทราบดังนั้นก็ถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อย
นักบวชเซียงเหยียนเป็นผู้ดูแลวิหารสาขาที่ 98 และนางก็มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
นักบวชสาวท่านนี้เป็นนักบวชศักดิ์สิทธิ์ที่หลายคนเคารพเลื่อมใส ว่ากันว่านางอุทิศตนให้กับการรับใช้ศาสนาและไม่สนใจเรื่องราวทางโลกแม้แต่น้อย…
เหตุไฉนนักบวชเซียงเหยียนถึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพี่ใบ้ในครั้งนี้?
“สงสัยคงเป็นเพราะท่านนักบวชเซียงเหยียนสงสารพี่ใบ้ นางจึงเข้ามาช่วยเหลือแน่ ๆ”
ฮันลั่วเซวี่ยอธิบายกับตนเองอยู่ในใจเช่นนั้น
แต่ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด เด็กสาวจึงรู้สึกเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย
แต่โชคดีที่การรับยาในครั้งนี้ผ่านไปด้วยดี
ฮันลั่วเซวี่ยจึงได้ยารักษาโรคสำหรับบิดามารดามาเรียบร้อยแล้ว
พิจารณาดูจากเทียบยาที่ทางวิหารให้มา นางเพียงต้องจัดยาให้บิดามารดาตรงตามจำนวนที่เหมาะสมสำหรับอาการเท่านั้น
แล้วอาการของบิดามารดาก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ เนื่องจากหลินเป่ยเฉิน ‘บังเอิญ’ ขึ้นทะเบียนพลเมืองได้อย่างราบรื่น ฮันลั่วเซวี่ยจึงไม่ต้องใช้เงินเก็บของตนเองออกมาเป็นค่าสินบนให้แก่เจ้าหน้าที่ในวิหาร ดังนั้น ความตื่นตระหนกในหัวใจของนางจึงสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
อารมณ์ของบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมกลับมาร่าเริงอีกครั้ง
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
ฮันลั่วเซวี่ยยิ้มแย้มราวกับเป็นเด็กน้อย
ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยม พวกเขาแวะเดินตลาดที่ถนนเฟิงอู๋ ฮันลั่วเซวี่ยใช้เงินเก็บซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ตนเองและบิดามารดา รวมไปถึงซื้อให้กับหลินเป่ยเฉิน ซึ่งเสื้อผ้าที่ฮันลั่วเซวี่ยซื้อให้กับเขานั้นมีราคาแพงกว่าเสื้อผ้าที่นางซื้อให้กับบิดามารดาถึงสามเท่า
“อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธตามมารยาท ก่อนจะรับของมาด้วยความเต็มใจ
สกุลเงินในดินแดนทวยเทพเป็นสิ่งที่เรียกว่าศิลาเทวะ มันมีลักษณะคล้ายกับศิลาบูชา เพียงแต่ว่าพลังที่บรรจุอยู่ด้านในไม่ใช่พลังลมปราณ แต่มันเป็นมวลพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้ได้ในดินแดนทวยเทพเท่านั้น
กล่าวคือศิลาเทวะก็คือศิลาบูชาในดินแดนแห่งนี้นั่นเอง
ศิลาเทวะยังแบ่งออกเป็นอีกสามระดับ
ประกอบไปด้วยศิลาเทวะระดับสูง ระดับสามัญ และระดับต่ำ
แต่สำหรับผู้คนในพื้นที่เขต 3 มีน้อยคนมากที่จะใช้ศิลาเทวะระดับสูงเป็นเงินซื้อขายสิ่งของ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาจะนำสิ่งของอย่างอื่นมาแลกเปลี่ยนกันมากกว่า
หรือสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจโรงเตี๊ยมอย่างครอบครัวของฮันลั่วเซวี่ย พวกนางก็จะรับค่าอาหารและค่าที่พักเป็นศิลาเทวะระดับสามัญ
เมื่อมองจากมุมนี้ ศิลาเทวะในดินแดนทวยเทพ จึงมีค่ามากกว่าศิลาบูชาในแผ่นดินตงเต้าหลายเท่า
ไม่ทราบเลยว่าใต้ดินของเมืองเยี่ยเฉิงจะมีเหมืองหินศิลาเทวะซ่อนอยู่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินย่อมไม่รู้คำตอบ
แต่เขาก็เริ่มค่อย ๆ เข้าใจความเป็นไปในดินแดนทวยเทพผ่านการสังเกตการณ์เช่นนี้ทีละเล็กทีละน้อย
ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็สามารถมั่นใจได้ 100% แล้วว่าครอบครัวของฮันลั่วเซวี่ยไม่ได้มีจิตคิดไม่ซื่อกับตนเอง มิหนำซ้ำ ครอบครัวนี้ยังใจดีต่อเขามากอีกด้วย
ความเรียบง่ายสบาย ๆ ของฮันหลี่กับภรรยา ความสดใสกระตือรือร้นของฮันลั่วเซวี่ย…
องค์ประกอบที่แตกต่างเหล่านี้รวมตัวกันทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้อยู่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนตอนอยู่ในแผ่นดินตงเต้า
สำหรับในแผ่นดินตงเต้านั้น แม้ว่าหลินจิ้นหนานบิดาของเขาจะเป็นผู้มีอำนาจ และในจวนตระกูลหลินก็มีคนรับใช้หลายร้อยคน แต่นั่นไม่ใช่ความรู้สึกของการมีครอบครัวสำหรับหลินเป่ยเฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงหรือผูกพันกับครอบครัวของตนเองเลย
นั่นเป็นเพราะว่าสมัยที่อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ใบเก่า เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่งและไม่เคยมีแฟนเลยสักคน
พ่อแม่ก็เป็นเพียงคนธรรมดา
ไม่ได้เป็นนักธุรกิจใหญ่หรือข้าราชการระดับสูง
ดังนั้น การที่อยู่ดี ๆ หลินเป่ยเฉินทะลุมิติมาเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ผู้มีครบถ้วนทั้งรูปร่างหน้าตาและสถานะทางสังคม มันจึงเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มยากต่อการปรับตัวในตอนแรก
อีกอย่าง ตอนนั้นหลินจิ้นหนานไม่ได้อยู่บ้าน
เขาจึงไม่เคยสัมผัสความรักจากท่านพ่อ
ส่วนความทรงจำเดียวกับพี่สาวที่เหลืออยู่นั้น หลินเป่ยเฉินก็หลงเหลือเพียงความรู้สึกของความหวาดกลัวเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น ในแผ่นดินตงเต้า หลินเป่ยเฉินก็ยังได้รู้จักผู้คนจิตใจดีที่ให้ความอบอุ่นกับเขามากมาย
อย่างเช่น กลุ่มสหายร่วมสถานศึกษาผู้น่ารักและกลุ่มอาจารย์ผู้ห่วงใยเขาจากใจจริง…
แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความรู้สึกอบอุ่นที่แสนเรียบง่าย เหมือนความรู้สึกของครอบครัวสมัยที่เขายังอยู่ในโลกมนุษย์ใบเก่า
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกอยากจะกลับโลกของตนเองเสมอมา
เขาไม่คิดเลยว่ามุมมองทั้งหมดที่ตนเองมีจะเปลี่ยนไป เมื่อได้เดินทางขึ้นมาที่ดินแดนทวยเทพ
ก็ใครเลยจะไปคิดว่าผู้คนในดินแดนทวยเทพจะมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และมีความอบอุ่นจริงใจมอบให้แก่กันมากกว่าผู้คนในแผ่นดินตงเต้าเช่นนี้?
ปรากฏว่าผู้คนในดินแดนทวยเทพก็ไม่ได้ต่างไปจากผู้คนธรรมดา
หลินเป่ยเฉินกำลังใช้ความคิดไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของความตื่นเต้นดังขึ้นข้างตัว
“อุ๊ย นั่นร้านเครื่องประทินโฉมมาเปิดใหม่นี่นา”
ย่อมเป็นเสียงที่มีความสุขของฮันลั่วเซวี่ย
ไม่มีสตรีผู้ใดสามารถต้านทานแรงดึงดูดของเครื่องสำอางได้
แม้แต่บุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมในดินแดนทวยเทพก็ไม่มีข้อยกเว้น
ฮันหลี่ไอเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เสี่ยวเซวี่ย เจ้าลองเข้าไปดูเถอะ”
ชายชรารู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาบุตรสาวต้องทำงานหนักเพียงใด
ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่ที่ตนเองล้มป่วย บุตรสาวก็ไม่เคยแต่งหน้าทาปากมานานแล้ว ฮันหลี่จึงอดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้
และวันนี้เป็นโอกาสดีที่ร้านเครื่องประทินโฉมลดราคาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ฮันลั่วเซวี่ยจึงพอจะมีเงินเข้าไปซื้อหาได้บ้าง…
“เรื่องนั้น… ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากได้…”
ฮันลั่วเซวี่ยปฏิเสธเสียงอ่อย
อู๋เหว่ยบีบมือบุตรสาวและกล่าวว่า “ไปดูเฉย ๆ ก็ไม่เสียหายนี่นา แม่ได้ยินมาว่าวันนี้พวกเขาลดราคาเยอะทีเดียว อีกไม่นานเจ้าก็จะต้องแต่งงานแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
ฮันลั่วเซวี่ยมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย จังหวะที่กำลังจะหมุนตัวเดินออกไป ก็ยังอดหันมากำชับไม่ได้ว่า “ท่านพ่อจ๊ะ พี่ใบ้ ข้ากับท่านแม่จะเข้าไปดูเพียงครู่เดียว พวกท่านรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
ผู้คนที่เดินเข้าออกร้านเครื่องประทินโฉมมีแต่สตรีทั้งสิ้น คงไม่เหมาะที่บุรุษจะเข้าไปสักเท่าไหร่
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ฮันลั่วเซวี่ยเกรงว่าหากพาหลินเป่ยเฉินเข้าไปในร้านเครื่องประทินโฉมด้วย เขาอาจจะไปสะดุดตาบรรดาสาวงามที่อยู่ภายในร้านก็เป็นได้
หลินเป่ยเฉินกับฮันหลี่จึงยืนรออยู่นอกร้าน
ฮันหลี่เอาแต่ยืนถือไม้เท้ามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลามากนัก
หลังใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนด้วยกันมาหลายวัน ชายชราจึงมั่นใจว่าเด็กคนนี้เป็นคนดี
น่าสงสารเพียงเกิดมาเป็นใบ้และหูหนวก ซ้ำยังไม่มีครอบครัวหรือมิตรสหาย ลักษณะท่าทางคงไม่เคยฝึกวิทยายุทธ์ หากไม่ใช่เพราะว่าบุตรสาวของเขาช่วยชีวิตเอาไว้ เกรงว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คงนอนจมน้ำโคลนตายอยู่ในตรอกขี้หมูนั่นเอง
ชายชราดูออกว่าบุตรสาวพึงพอใจในตัวของเด็กหนุ่มใบ้คนนี้
ความจริง บุตรสาวของเขาต่อต้านการแต่งงานกับหรานจื่อชุนมาตลอด
แต่ว่า…
น่าเสียดาย
หากเด็กใบ้ผู้นี้จะมีความแข็งแกร่งขึ้นอีกสักนิด การแต่งงานกับเสี่ยวเซวี่ยก็นับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
แต่ตอนนี้ ฮันหลี่ยังไม่กล้าคิดไปไกลถึงเพียงนั้น
หน้าตาดีอย่างเดียวไม่มีประโยชน์อันใด
สำหรับในดินแดนทวยเทพ หากไม่มีทักษะเอาตัวรอด อีกไม่ช้าก็เร็วคงต้องตายอย่างน่าอนาถใจ
ฮันหลี่กำลังคิดมาถึงตรงนี้ ช่วงเอวก็รู้สึกกระตุกวูบ
กว่าจะรู้ตัวอีกที ชายชราก็เห็นผู้คนในชุดเสื้อคลุมสีดำกระชากถุงเงินไปจากข้างเอวของเขาและวิ่งหนีไปไกลแล้ว
หัวขโมย
ขโมยถุงเงินของเขาไปแล้ว
“จับเขาเอาไว้ แค่ก แค่ก แค่ก…”
ฮันหลี่ร้องตะโกนออกมาด้วยความร้อนรน วิ่งไปข้างหน้าได้เพียงสองก้าวก็ล้มลงกับพื้นและไอออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก รีบวิ่งตามหัวขโมยผู้นั้นไปทันที
“นี่ เจ้าใบ้ กลับมานะ กลับมาเดี๋ยวนี้…”
ฮันหลี่ส่งเสียงตะโกนด้วยความลนลาน แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เจ้าเด็กใบ้กับหัวขโมยก็หายลับไปในกลุ่มคนแล้ว
เจ้าเด็กโง่
เขาวิ่งตามไปทันแล้วจะทำอะไรได้?
คงได้ถูกโจรร้ายฆ่าตายเท่านั้นเอง
ฮันหลี่ไอออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะรีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปในร้านเครื่องประทินโฉมเพื่อตามหาภรรยากับบุตรสาว