ตอนที่ 1,149 สามร้อยกระบี่โจมตี
“เชิญสู้ก่อนตามสบายเลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบเสียงดังโดยไม่เหลียวหน้ามอง
เขายังคุยธุระไม่จบ
โอกาสดีเช่นนี้หายาก ผู้ใดจะสามารถรับประกันได้ว่าหลังจากนี้ผู้อาวุโสเสี่ยวหรานจะยินดีตอบทุกคำถามของเขาเช่นนี้อีก
เมื่อมีโอกาสแล้ว ก็ต้องรีบถามให้ครบถ้วนทุกข้อที่เคยสงสัย
“แต่ในเมื่อเผ่าปีศาจจันทราทมิฬกับเมืองไป๋หยุนมีความสัมพันธ์อันดี แล้วเหตุไฉนอาจารย์ใหญ่ถึงต้องปิดผนึกวิญญาณปีศาจไว้ในร่างกายด้วยขอรับ? เรื่องนี้ไม่ฟังดูย้อนแย้งเกินไปหน่อยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
เสี่ยวหรานตอบ “เรื่องมันยาว ต้องท้าวความก่อนว่า…”
“เอาสั้น ๆ พอขอรับ”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะ
เสี่ยวหรานหยุดเล็กน้อยก่อนจะรีบสรุปเรื่องราวให้สั้นที่สุดเท่าที่ทำได้ “นั่นเป็นเพราะวิญญาณปีศาจตนนั้นถูกใส่ร้ายป้ายสี ทำให้ดวงจิตเกิดความมืดครอบงำ เขาจึงเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมากโดยไม่รู้ตัว อาจารย์ใหญ่จึงต้องปิดผนึกวิญญาณปีศาจตนนั้นเอาไว้ในร่างของตนเอง เพื่อไม่ให้ปีศาจตนนั้นได้ออกมาอาละวาดเข่นฆ่าผู้คนอีก…”
“ผู้ใดเป็นคนใส่ร้ายหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
“ยังจะเป็นใครไปได้อีก?” เสี่ยวหรานหันไปมองทางพวกของเจี๋ยนอู่จี ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “ผู้ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้ ย่อมต้องเป็นผู้ทรยศที่ร้ายกาจที่สุดของเมืองไป๋หยุน เว่ยหมิงเฉิน”
ให้ตายเถอะ
เว่ยหมิงเฉินอีกแล้ว
ไอ้หมอนี่นอกจากจะพยายามขโมยผู้หญิงของเขาแล้ว ยังเกือบจะกวาดล้างเมืองไป๋หยุนอีกด้วย
ยังมีอะไรอีกไหมนะ?
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “งั้นก็หมายความว่าสำนักมหากระบี่และสำนักยุทธ์ชื่อดังแห่งอื่น ๆ ล้วนอยู่ภายใต้คำสั่งของเว่ยหมิงเฉินใช่ไหมขอรับ? เจ้าตัวบัดซบผู้นี้มีอำนาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เรื่องนี้ข้าก็เพิ่งรู้วันนี้นี่เอง”
เสี่ยวหรานพูด “วันนี้เว่ยหมิงเฉินปรากฏตัวออกมาเพื่อช่วยเหลือพวกของเจี๋ยนอู่จี พวกมันเรียกเว่ยหมิงเฉินว่านายท่าน นี่ย่อมยืนยันว่ากลุ่มคนเหล่านี้ทำงานให้เจ้าคนทรยศผู้นั้นจริง ๆ…”
“เดี๋ยวก่อนนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเบิกกว้าง “เว่ยหมิงเฉินมาปรากฏตัวที่นี่ด้วยหรือ?”
เสี่ยวหรานพยักหน้า “ถูกต้อง หลานชายยังไม่รู้หรือ?”
แล้วเจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกมา
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็สามารถนำข้อมูลทั้งหมดที่กระจัดกระจายมาประกอบโครงสร้างกลายเป็นเรื่องราวทั้งหมดได้สำเร็จ
สรุปสั้น ๆ ก็คือ…
ทุกอย่างเป็นแผนการของเจ้าตัวบัดซบเว่ยหมิงเฉิน
“สรุปว่าเว่ยหมิงเฉินกับผู้อาวุโสฉีจึงยังต่อสู้กันอยู่ที่ด้านนอก?”
หลินเป่ยเฉินขอรับคำยืนยันเพื่อความมั่นใจ
เสี่ยวหรานมีสีหน้าแปลกประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ “หลานชายไม่ทราบ? การที่เจ้ามาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ไม่ใช่เพราะเป็นฝีมือของผู้อาวุโสฉีหรอกหรือ?”
ประตูมิติที่เป็นลวดลายสีขาวดำนั้น มีแค่ผู้อาวุโสฉีใช้เพียงผู้เดียว
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตอบรับคำใด
เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสฉีจริง ๆ ก็ได้
ผู้อาวุโสฉียังติดค้างของรางวัลเขาอยู่
ปรากฏว่าของรางวัลก็ยังไม่ได้มอบให้
ก็เปิดประตูมิติล่อลวงเขาออกมา
สงสัยผู้อาวุโสฉีคงอยากจะยืมมือเจี๋ยนอู่จีฆ่าเขาแน่ ๆ
เพราะถ้าหลินเป่ยเฉินตายไป ผู้อาวุโสฉีก็ไม่ต้องมอบของรางวัลตามสัญญา
ช่างชั่วร้ายอะไรเช่นนี้
“เร็วเข้า”
ได้ยินเสียงคำรามของเม่ยหลินดังขึ้น “หลินเป่ยเฉิน เจ้ายังไม่รีบมาช่วยข้าอีก… ข้าจะรับมือไม่ไหวแล้ว”
บัดนี้ มือกระบี่อัจฉริยะจากสำนักกระบี่สายฟ้าวายุยังไม่มีรากฐานพลังที่แข็งแกร่งมากพอ เขาจึงตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำต่อเจี๋ยนอู่จีกระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่าและเมื่อตนเองตกอยู่ในอันตราย บุรุษหนุ่มแขนเดียวก็ยอมละทิ้งศักดิ์ศรีร้องขอความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
“เป็นลูกผู้ชายอย่าพูดคำว่าไม่ไหวสิขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปและผายมือเป็นทำนองว่า ‘เชิญสู้ต่อไปให้สมใจท่านเถอะ’ หลังจากนั้น เขาก็หันมาถามเสี่ยวหรานว่า “แผนการต่อจากนี้ของพวกท่านจะทำอย่างไร?”
ในเมื่อเม่ยฮัวโส่ว ฮั่วเฟยฮัวและคนอื่น ๆ จับคู่ต่อสู้กับพวกของเจี๋ยนอู่จีเช่นนี้ เท่ากับเป็นการเปิดฉากสงครามของทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นทางการ เรื่องราวเหล่านี้ย่อมวางแผนการมาเป็นอย่างดี
แต่เสี่ยวหรานกลับมีสีหน้าว่างเปล่า กล่าวถามออกมาเชื่องช้าว่า “แผนการหรือ? แผนการอันใด?”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
เดี๋ยวก่อนสิ จะบอกว่าการที่สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ ไม่ได้มีแผนการอะไรรองรับเอาไว้เลยหรือ?
ดูเหมือนเสี่ยวหรานจะเข้าใจในความหมายของหลินเป่ยเฉินแล้ว จึงกล่าวว่า “หน้าที่ทั้งหมดที่ข้าต้องทำคือปกป้องสะพานแห่งนี้เอาไว้ให้ได้ ห้ามไม่ให้มีผู้ใดเข้าสู่บ่อลาวาใหญ่ทางด้านหลังได้เด็ดขาด และในเวลาเดียวกันนั้น เราก็ต้องสังหารผู้บุกรุกให้ได้มากที่สุด และถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากสังหารผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักมหากระบี่…”
อืมมม…
เป็นแผนการที่ดี
หากไม่ได้กำลังเห็นอยู่ว่ามือกระบี่ชาวเมืองไป๋หยุนตกเป็นรองฝ่ายตรงข้ามทุกประตู หลินเป่ยเฉินก็คงต้องชื่นชมแล้วว่านี่เป็นแผนการที่ประเสริฐมาก
แต่ปัญหาก็คือหากเหตุการณ์ดำเนินเช่นนี้ต่อไป สำนักกระบี่สายฟ้าวายุและสำนักอื่น ๆ ที่เข้าร่วมการต่อสู้พร้อมกับเมืองไป๋หยุน ก็คงจะต้องพบกับชะตากรรมที่น่าอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าตัวบัดซบ รีบเข้ามาช่วยเหลือข้าสักที…”
ขณะนี้ เม่ยหลินผู้กำลังต่อสู้ด้วยมือข้างเดียวที่เหลืออยู่เริ่มสบถคำหยาบออกมาแล้ว
หยาดเหงื่อผสมกับหยดโลหิต เส้นผมเปียกลู่ลงมาที่ข้างขมับและสองแก้ม พลังกดดันจากฝ่ายตรงข้ามทำให้เม่ยหลินต้องถอยหลังไปเรื่อย ๆ
เม่ยหลินรู้สึกได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และกระบี่ในมือของเจี๋ยนอู่จีก็แทงปราดเข้ามาจะถึงตัวเขาแล้ว
“เฮ้อ ท่านช่างทำตัวน่ารำคาญนัก”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาเข้าร่วมวงต่อสู้พร้อมถือกระบี่เงินอยู่ในมือ “พวกเราไม่ใช่มิตรสหายกัน และท่านกำลังร้องขอความช่วยเหลือจากข้า ช่วยพูดจาด้วยความสุภาพมากกว่านี้ได้หรือไม่?”
เปรี้ยง!
ร่างของเม่ยหลินลอยกระเด็นออกไป
เขากระแทกเข้ากับผนังหินอย่างแรง ร่างไถลลงมานอนกองอยู่บนสะพานหิน และภายใต้การช่วยเหลือของผู้อาวุโสในสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ บุรุษหนุ่มจึงสามารถกลับมาลุกขึ้นยืนหอบหายใจได้อีกครั้ง…
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงของการต่อสู้อันดุเดือดดังขึ้นไม่หยุดยั้ง
หลินเป่ยเฉินถือกระบี่เงินอยู่ในมือต่อสู้กับเจี๋ยนอู่จีหลายสิบกระบวนท่า
หลินเป่ยเฉินตกเป็นรองอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีกระบี่เงินเล่มนี้อยู่ในมือ หลินเป่ยเฉินย่อมสามารถเอาชนะผู้มีพลังขั้นเซียนระดับ 6 ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่คู่ต่อสู้ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้คือเจี๋ยนอู่จีผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสูงที่ไม่ใช่ชนชั้นดาษดื่นธรรมดา กระบี่เงินของหลินเป่ยเฉินจึงไม่สามารถทำอะไรเจี๋ยนอู่จีได้เลยสักนิด…
“เร็วเข้า ยังไม่รีบออกมาช่วยข้าอีก”
หลินเป่ยเฉินร้องเสียงหลงด้วยความตื่นตระหนก “พี่เม่ยหลิน รีบเข้ามาช่วยข้าเร็วเข้า”
เสี่ยวหรานเจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วและมือกระบี่ชาวเมืองไป๋หยุนคนอื่น ๆ พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เม่ยหลินก็อยู่ในอาการตกตะลึงเช่นกัน
เมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินบอกเองไม่ใช่หรือว่าพวกเขาไม่ใช่มิตรสหายกัน?
เม่ยหลินโคจรพลังลมปราณในร่างกาย สะกดกลั้นอาการบาดเจ็บ ยกกระบี่ในมือขึ้นและโถมกายออกไปช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงระเบิดดังออกมาจากการต่อสู้ของบุคคลทั้งสามอย่างต่อเนื่อง
“รักษาอาการบาดเจ็บของท่าน”
หลินเป่ยเฉินใช้พลังวารีบำบัดรักษาเม่ยหลิน
ในที่สุด มือกระบี่ยอดอัจฉริยะของสำนักกระบี่สายฟ้าวายุก็ได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว
เม่ยหลินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินมีพลังมหัศจรรย์จริง ๆ
เม่ยหลินอยากจะร่ำร้องออกมาด้วยความดีใจ
“น่าเสียดายที่หลินเป่ยเฉินไม่สามารถรักษาแขนที่ขาดได้ มิฉะนั้น บางที…” บุรุษหนุ่มแขนเดียวอดคิดด้วยความเสียดายไม่ได้
การต่อสู้ดำเนินต่อไป
ในไม่ช้า หลินเป่ยเฉินก็ได้ค้นพบว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี
ต่อให้เขากับเม่ยหลินร่วมมือกัน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะเจี๋ยนอู่จีได้สำเร็จ
มิหนำซ้ำ พวกตนยังถูกเล่นงานอีกหลายกระบวนท่า
เปรี้ยง!
เงาร่างของสองหนุ่มลอยกระเด็นออกไปซ้ายขวา กระแทกเข้าใส่ผนังหินคนละฝั่ง ส่งผลให้ก้อนหินแตกกระจายร่วงลงสู่บ่อลาวา กลายเป็นหมอกควันลอยโขมง…
หลินเป่ยเฉินไถลตัวลงมาจากผนังหิน โลหิตไหลทะลักออกมาจากปาก อดบ่นไม่ได้ว่า “คนแซ่เม่ย ข้าอุตส่าห์ใช้พลังวารีบำบัดกับท่านไปตั้งเยอะ ไฉนท่านถึงยังไม่แข็งแกร่งขึ้นอีก”
เม่ยหลินขมวดคิ้วหน้ายุ่งขณะที่ตัวคนไถลลงมาจากผนังหินเช่นกัน
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาต้องแพ้แน่ ๆ
แต่ไม่มีหนทางให้หวนคืนแล้ว
เม่ยหลินไม่พูดคำใด นอกจากถือกระบี่ในมือของตนเองด้วยความมุ่งมั่น เตรียมตัวที่จะพุ่งเข้าไปโจมตีใส่เจี๋ยนอู่จีอีกครั้ง
“ปล่อยให้ข้าจัดการเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นห้ามปรามและกล่าวว่า “กรุณาถอยกลับไป ได้เวลาที่ข้าจะเฉิดฉายแล้ว”
ลมหายใจต่อมา
ข้างกายของหลินเป่ยเฉินก็ปรากฏดวงดาวเป็นประกายระยิบระยับ
ในพริบตานั้น ดวงดาวทั้งหลายก็แปลงสภาพกลายเป็นกระบี่สามร้อยเล่ม พวกมันลอยประจำการอยู่ทางซ้ายขวาหน้าหลังของหลินเป่ยเฉิน ไม่ต่างไปจากดวงดาราที่อยู่ห้อมล้อมจันทราบนท้องฟ้า
“ฮ่า ๆๆ ค่ายอาคมกระบี่อย่างนั้นหรือ?”
เจี๋ยนอู่จีเห็นดังนั้นก็แสยะยิ้มด้วยความเหยียดหยาม “เด็กน้อย พลังลมปราณของเจ้ายังไม่กล้าแข็งมากพอ คิดจะควบคุมกระบี่บินได้เหล่านี้ เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถใช้มันสู้กับเราผู้เฒ่าได้หรือ? โง่เขลานัก!”
“แน่ใจหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก
โง่เขลา?
คอยดูความร้ายกาจของค่ายอาคมกระบี่ของเขาให้ดีก็แล้วกัน
ลมหายใจต่อมา กระบี่หลายร้อยเล่มเหล่านั้นพลันพุ่งออกไป