ตอนที่ 1,166 ดื่มด่ำไปกับอิสรภาพแห่งความรัก
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อยก็นำไวน์แดงชั้นดีที่ซื้อมาจากแอปเถาเป่าด้วยจำนวนศิลาบูชายี่สิบสี่ก้อนครึ่งออกมาหนึ่งขวด
ในโลกใบเก่าของเขามีงานวิจัยว่าไวน์แดงช่วยในเรื่องของการบำรุงหลอดเลือด แต่ไวน์แดงที่ซื้อหามาจากโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ และเมื่อมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ นอกจากช่วยบำรุงหลอดเลือดแล้ว พวกมันยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางเดินลมปราณอีกด้วย
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับ 4 นอกจากมีพลังปราณธาตุในร่างกายถึงห้าชนิด เขายังมีเส้นลมปราณอีกถึงยี่สิบสาย ซึ่งถือว่ามากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถต่อสู้กับผู้มีพลังขั้นเซียนระดับ 9 ได้อย่างไม่มีปัญหา
และหลินเป่ยเฉินก็ค้นพบสรรพคุณนี้ของไวน์แดงมาได้พักหนึ่งแล้ว
ดังนั้น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ลู่กวนไห่ยอมบอกความลับกับเขา ก็ควรจะเปิดไวน์ดื่มกันสักหน่อยไม่ใช่หรือ?
“พวกเรามาร่ำสุรากันสักหน่อยเถอะขอรับ ดื่มไปด้วย พูดคุยไปด้วยเป็นอย่างไร?”
เด็กหนุ่มนำแก้วไวน์ออกมาสองใบ เมื่อรินไวน์ใส่จนเต็ม เขาก็ยื่นแก้วหนึ่งส่งให้กับลู่กวนไห่
ลู่กวนไห่ขมวดคิ้ว
หลังจากลังเลเล็กน้อย นางก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม
หลังจากดื่มหมดแล้ว ใบหน้าที่ขาวผ่องของหญิงสาวก็มีสีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย และช่วยทำให้ลู่กวนไห่ดูสวยงามมากกว่าเดิม
ตอนแรกนางคิดจะปฏิเสธ
แต่สุราที่มีสีเหมือนโลหิตนี้กลับมีกลิ่นหอมหวนเย้ายวนใจ
ลู่กวนไห่จึงปฏิเสธไม่ลง
นางรับหน้าที่เปิดเผยความลับต่อไป
“ในอดีต เมื่อเผ่าปีศาจจันทราทมิฬลงมาถึงแผ่นดินตงเต้า พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมจากผู้คนดินแดนทวยเทพ ดังนั้น เมื่อตัวคนลงมาอยู่ในดินแดนแห่งนี้ พลังในร่างกายของพวกเขาจึงถูกสลายไป เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ซ่องสุมกำลังพลคิดทำการใหญ่อื่นใด…”
“หลังจากนั้น จอมมารแห่งเผ่าปีศาจจันทราทมิฬกับท่านอาจารย์ใหญ่ฉู่เทียนกัวของพวกเราจึงได้ผูกมิตรกันอย่างแน่นแฟ้น พวกเขากอดคอออกท่องโลกกว้างไปด้วยกัน…”
“ต่อมา พวกเขาได้ไปพบกับหลี่เจี๋ยนซิน ปฐมกษัตริย์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิเป่ยไห่ ในเวลานั้น หลี่เจี๋ยนซินยังเป็นเพียงบุตรชายของท่านเจ้าเมืองผู้หนึ่ง หาได้มีชื่อเสียงโด่งดังไม่และพวกเขาทั้งสามคนก็กลายมาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน…”
“อาจารย์ใหญ่ฉู่เทียนกัวและหลี่เจี๋ยนซิน ค่อนข้างให้ความเคารพจอมมารแห่งเผ่าปีศาจจันทราทมิฬเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้น พวกเขาก็ร่วมมือกันก่อตั้งเมืองไป๋หยุนและจักรวรรดิเป่ยไห่ขึ้นมา”
“และนี่จึงเป็นเหตุผลที่จักรวรรดิเป่ยไห่กับเมืองไป๋หยุนเลือกที่จะเป็นรัฐซึ่งไม่ขึ้นตรงต่อผู้ใด เพราะว่าชาวเผ่าจันทราทมิฬมีนิสัยชื่นชอบอิสระเสรีเป็นอย่างยิ่ง…”
“สมัยก่อตั้งเมืองและจักรวรรดิในยุคแรกเริ่มนั้น พวกเขาต่างก็พบวิกฤตการณ์หลายครั้ง แต่ประจวบเหมาะกับที่จอมมารแห่งเผ่าปีศาจจันทราทมิฬเริ่มฟื้นคืนพลังได้เล็กน้อย เขาจึงแอบลงมือคลี่คลายวิกฤตการณ์เหล่านั้น และเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง…”
“โชคดีที่หลังจากนั้นเกิดความวุ่นวายในดินแดนทวยเทพ และกลับกลายเป็นว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเทพีแห่งกระบี่ ด้วยเหตุนี้ หลังจากผ่านความยากลำบากมาอย่างแสนสาหัส ในที่สุดเมืองไป๋หยุนและจักรวรรดิเป่ยไห่ก็สามารถตั้งหลักได้อย่างมั่นคง”
“แต่น่าเสียดายที่หลังจากนั้น คนของวิหารเทพพงไพรเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ พวกเขาเริ่มส่งคนมาแอบสืบสวน และบังคับให้เมืองไป๋หยุนขับไล่ชาวปีศาจจันทราทมิฬออกไป…”
“ในขณะนั้น เว่ยหมิงเฉินเป็นเพียงนักบวชผู้หนึ่งของวิหารเทพพงไพร เขาเดินทางมาที่เมืองไป๋หยุนเพื่อสืบสวนเรื่องราวนี้และเขาก็ได้ค้นพบหลักฐานบางอย่าง…”
“แต่ในความเป็นจริงนั้น ก่อนที่เว่ยหมิงเฉินจะเข้ามาสืบสวน ได้เคยมีคนผู้อื่นเข้ามาสืบสวนก่อนแล้ว แต่กลับเป็นเว่ยหมิงเฉินที่สามารถล้วงลึกข้อมูลได้อย่างน่าตกใจ และเขาก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับเมืองไป๋หยุนได้อย่างที่ใครก็คิดไม่ถึง”
“หลายร้อยปีที่ผ่านมา วิหารเทพพงไพรรู้สึกขัดหูขัดตากับจักรวรรดิเป่ยไห่มาโดยตลอด พวกเขาไม่ยินยอมให้เกิดรัฐอิสระขึ้นในแผ่นดินตงเต้า เพราะรัฐอิสระสามารถควบคุมได้ยาก และมีแนวโน้มที่จะลุกขึ้นต่อต้านพวกเขา เจ้ารู้หรือไม่? นอกจากจักรวรรดิเป่ยไห่และชาวทะเลแล้ว จักรวรรดิใหญ่แห่งอื่นๆ ล้วนแต่นับถือเทพพงไพรเป็นศาสนาหลักทั้งสิ้น…”
“แม้ว่าหลายจักรวรรดิจะมีการนับถือเทพเจ้าที่ต่างกันไป แต่เทพเจ้าเหล่านั้นก็ทำงานขึ้นตรงต่อวิหารเทพพงไพรเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่านี่เป็นฤทธิ์ของไวน์แดงหรือเป็นเพราะตกตะลึงกับความลับที่ลู่กวนไห่เปิดเผยออกมากันแน่ เพราะหลังจากที่รับฟังจบ เด็กหนุ่มก็พูดอะไรไม่ออกอยู่นานทีเดียว
หลินเป่ยเฉินกำลังตกใจ
เพราะเรื่องราวเหล่านี้มันน่ากลัวมากเกินไป
พวกมันเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ก็มีประวัติศาสตร์เช่นนี้ด้วย
พวกมันไม่เคยถูกบรรจุอยู่ในตำราเรียน
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขาในฐานะผู้ท่องกาลเวลาที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่น ย่อมมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์จักรวรรดิเป่ยไห่น้อยอยู่แล้ว
แต่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าสองบุคคลสำคัญของจักรวรรดิเป่ยไห่อย่างปฐมกษัตริย์หลี่เจี๋ยนซินกับอาจารย์ใหญ่ผู้ก่อตั้งเมืองไป๋หยนฉู่เทียนกัวจะเกี่ยวข้องกับ ‘จอมมารแห่งเผ่าปีศาจจันทราทมิฬ’ มาตั้งแต่แรก
ทว่าก็ฟังดูเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว
เพราะมันคงเป็นเรื่องยากมากที่มนุษย์ธรรมดาสองคนจะก่อตั้งจักรวรรดิขึ้นมาได้สำเร็จ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเทพเจ้าหรือผู้มีพลังวิเศษนอกระบบ
โดยเฉพาะฉู่เทียนกัวผู้มีชาติกำเนิดต่ำต้อย เขาออกร่อนเร่พเนจรศึกษาวิชากระบี่ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่เหตุผลที่เขาสามารถขึ้นมามีอำนาจได้นั้น ดูเหมือนจะเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าปีศาจจันทราทมิฬนี่เอง
ว่ากันตามข้อมูลที่ลู่กวนไห่บอกมา ชาวเผ่าปีศาจจันทราทมิฬดูจะเป็นพวกที่ใจกว้าง รักพวกพ้องและรักอิสรเสรีเหมือนกันแฮะ
ให้ตายสิ หลินเป่ยเฉินอยากจะยกมือตบหัวตัวเองนัก
นับตั้งแต่ที่เขาทะลุมิติมาอยู่ในโลกนี้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่เคยเดินทางออกจากจักรวรรดิเป่ยไห่เลยสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจความเป็นไปของโลกภายนอก
เด็กหนุ่มเพียงคิดว่าจักรวรรดิอื่น ๆ ก็คงเหมือนจักรวรรดิเป่ยไห่นั่นแหละ
แต่ฟังจากคำพูดของลู่กวนไห่ เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจผิด
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นรัฐอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อวิหารเทพพงไพรใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินคิดไปพลางรินไวน์ใส่แก้วให้แก่ลู่กวนไห่อีกครั้ง “อาจารย์อาเล็กว่าต่อได้เลยขอรับ…”
“ข้าพูดจบแล้ว”
ลู่กวนไห่พลันมีสีหน้าขุ่นเคืองใจขึ้นมาทันที
นางยกแก้วไวน์ขึ้นปาทิ้งลงพื้นด้วยความฉุนเฉียว “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว อย่าเรียกข้าว่าอาจารย์อา ข้ากับอาจารย์ของเจ้าไม่ได้เป็นอะไรกัน ข้าเป็นเพียงสหายของเขาเท่านั้น สหายที่ธรรมดาสามัญผู้หนึ่ง…”
ในจังหวะที่แก้วไวน์กำลังจะตกกระทบพื้น ลู่กวนไห่ก็โคจรพลังลมปราณช้อนรับแก้วใบนั้นไว้โดยที่ไวน์ด้านในไม่กระเด็นหกออกไปเลยสักหยด
สุรานี้มีรสชาติดีมากเกินไป
จะปล่อยให้เสียของไม่ได้เด็ดขาด
ลู่กวนไห่หยิบแก้วขึ้นมาดื่มจนหมด
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ อยู่ตรงนั้น
“เอามาอีก”
หลังดื่มไวน์หมดแก้ว ลู่กวนไห่ก็กลับมามีสีหน้าสงบสุขุมดังเดิมราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น นางยื่นส่งแก้วไวน์ให้หลินเป่ยเฉินและพยักหน้าส่งสัญญาณให้เขารินเพิ่มให้อีกแก้ว ก่อนกล่าวต่อ “หลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนวิหารเทพพงไพรจะตั้งใจเล่นงานพวกเราโดยเฉพาะ เกิดการตรวจสอบวิหารหลายครั้งและการจัดลำดับจักรวรรดิเป่ยไห่ในครั้งนี้ก็เช่นกัน… เป้าหมายของพวกเขามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือกวาดล้างรัฐอิสระอย่างจักรวรรดิเป่ยไห่ออกไปจากแผ่นดินตงเต้าให้ได้”
“กวาดล้างหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินรินไวน์จนเต็มแก้วขณะถามว่า “จะกวาดล้างได้อย่างไร?”
“ทำลายประเทศ ยึดเมือง ฆ่าประชากร บังคับให้เปลี่ยนศาสนา”
ลู่กวนไห่ส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น “หากไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา ประชาชนก็จะถูกกวาดล้างเช่นกัน… ขั้นตอนเหล่านี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์แผ่นดินตงเต้า พวกเขาย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี”
ทันทีที่หลินเป่ยเฉินได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับตกตะลึง
อำมหิตมากเกินไปแล้ว
“หากวิญญาณจอมมารถูกปลดผนึกได้สำเร็จ เขาจะสู้กับวิหารเทพพงไพรได้ไหมขอรับ?” เด็กหนุ่มถาม
“คงสู้ไม่ได้”
ลู่กวนไห่ส่ายศีรษะ แก้มแดงระเรื่อและพูดว่า “แต่อย่างน้อยก็พอมีความหวัง”
พูดจบ
ครืน!
ก้อนหินใหญ่บนผนังหินรอบด้านเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง
สายโซ่ที่ยึดติดอยู่กับผนังหินปรากฏลวดลายสีแดงสว่างแวววาว
กระบี่ยักษ์ที่ปักอยู่กลางบ่อลาวาเริ่มเกิดการสั่นไหว
“การเปิดผนึกสำเร็จแล้ว”
สีหน้าของลู่กวนไห่บอกชัดถึงความดีใจสุดขีด