ตอนที่ 1,174 มาถึงดินแดนทวยเทพ
ดินแดนทวยเทพ
วันต่อมา พระอาทิตย์สาดแสงเจิดจ้า
อากาศปลอดโปร่ง
ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 เป็นศูนย์
ณ กระท่อมไม้หลังน้อยในเขตชานเมือง
“ไม่ว่าเจ้าเด็กนั่นจะมาถึงหรือไม่ แต่เขาเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตจากภพมนุษย์ จะสามารถทำได้สำเร็จจริง ๆ หรือ?” สตรีผมฟ้าผู้สวมใส่ชุดกระโปรงใหม่เอี่ยมถามด้วยความสงสัย
เมื่อตั้งคำถามจบแล้วนางก็ส่องกระจก ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เฮ้อ รู้ตัวอีกทีใบหน้าข้าก็เปลี่ยนไปอีกแล้วนะเนี่ย… ยิ่งอยู่กับเจ้านานเท่าไหร่ ข้ายิ่งโทรมลงทุกวัน”
“เจ้าวางใจเถอะ เด็กคนนี้มีของดีซ่อนอยู่ในตัว”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบคำถามออกมา แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องคัมภีร์ห้าธาตุหลอมวิญญาณ
เพราะนางกลัวว่าหากแม่เทพธิดาผมฟ้าที่กำลังนั่งแต่งหน้าอยู่รู้ความจริงเข้า แม่คุณก็คงจะต้องถอนตัวออกจากแผนการนี้เป็นแน่แท้
“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะแนะนำตัวข้าว่าอย่างไร?”
เทพธิดาผมฟ้ายังคงจ้องมองกระจกต่อไป
เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบว่า “ข้าจะบอกว่าเจ้าเป็นแม่ค้าอาหารทะเลในดินแดนทวยเทพ เจ้ามีเครือข่ายธุรกิจใหญ่โต เด็กคนนี้มีปัญหาทางสมอง พวกเราสามารถหลอกลวงได้ง่าย เขาต้องเชื่อคำที่ข้าพูดอย่างแน่นอน”
เทพธิดาผมฟ้าพยักหน้าและกล่าวว่า “เหมือนที่เจ้าหลอกลวงข้าใช่หรือไม่? แสดงว่าข้าเองก็มีปัญหาทางสมองเหมือนกัน… แต่ช่างเถอะ ข้าแต่งหน้าเสร็จแล้ว พวกเราไปกันดีกว่า”
สตรีทั้งสองนางเดินออกมาจากที่พักชั่วคราวในย่านชานเมือง และใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น พวกนางก็มาถึงประตูเมืองเยี่ยเฉิง เมื่อจ่ายค่าผ่านทางเรียบร้อย สตรีทั้งสองก็สามารถเข้าสู่ด้านในตัวเมืองได้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้ พวกนางถูกทหารของเผ่าเทพพงไพรไล่ล่า จนต้องหลบหนีออกไปนอกเมือง
แต่โชคดีที่บัดนี้พายุลมฝนได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เทพธิดาทั้งสองนางจึงสามารถกลับเข้าสู่ในตัวเมืองได้อีกครั้ง
หลังจากเข้าสู่ในตัวเมืองแล้ว พวกนางทั้งสองคนก็แยกจากกัน
เทพีกระบี่หิมะไร้นามนำเงินเก็บที่พวกนางมีทั้งหมดออกมาจับจ่ายซื้อหาอาวุธในตลาดมืด อีกอย่าง พวกนางยังต้องเตรียมอาวุธเอาไว้ให้กับหลินเป่ยเฉิน…
ส่วนเทพธิดาผมฟ้าอาศัยความสวยงามของตนเองเดินเข้าไปในตลาดและโปรยเสน่ห์ใส่ผู้คนจำนวนมาก
เมื่อถึงตอนบ่าย เทพธิดาทั้งสองก็กลับมาพบกันที่จุดนัดหมาย
หลังจากกินดื่มกันจนอิ่มหนำแล้ว
“เจ้าจะไม่ไปสำรวจที่จุดขนส่งหน่อยหรือ?”
เทพธิดาสาวผมฟ้าถาม “ถึงตรอกขี้หมูจะอยู่ห่างไกล ไม่ค่อยมีผู้คนผ่านไปผ่านมา แต่หากประตูมิติของเจ้าทำงานผิดพลาด ส่งเด็กหนุ่มผู้นั้นไปที่อื่นล่ะ สถานการณ์ของพวกเราจะไม่แย่เอารึ…”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความมั่นใจ “ไม่ต้องไปดูหรอก กว่าที่เจ้าเด็กนั่นจะมาถึงก็อีกตั้งสิบวัน ไปดูตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ ต่อให้มีคนเคลื่อนย้ายประตูมิติก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรเจ้าเด็กนั่นก็ต้องมาที่ดินแดนทวยเทพอยู่แล้ว”
“จริงด้วยสินะ”
เทพธิดาผมฟ้าพยักหน้าและกล่าวว่า “อ้อ ตอนที่ข้าผ่านตรอกจงซาน ข้าเห็นมีร้านเครื่องสำอางมาเปิดใหม่ด้วยแหละ เครื่องสำอางทุกชนิดลดราคาเกือบครึ่งหนึ่งเชียวนะ เจ้าอยากลองไปดูหน่อยไหม?”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามดวงตาลุกวาวขึ้นมาทันที “มีของฤดูกาลล่าสุดออกมาแล้วหรือยัง? ข้าชอบแป้งผัดหน้าตรา ‘จักรวาลซาบซ่า’ ที่สุด เห็นว่าพวกเขาจะผลิตรุ่นใหม่ออกมาในปีนี้ด้วย….”
“มีสิ แล้วก็มีเครื่องสำอางตราจันทราสมุทรด้วยนะ… ให้ตายเถอะ เห็นว่าเข้าโครงการลดราคาด้วยเหมือนกัน ข้าลองไปถามมาแล้ว”
เทพธิดาผมฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังจะรออะไรอยู่อีก? พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามแทบรอไม่ไหวอีกต่อไป
“แต่ว่า… ถึงพวกมันจะลดราคา เราก็ไม่มีปัญญาไปซื้อหาอยู่ดี…” เทพธิดาสาวผมฟ้าถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “ยัยเทพขี้เมา ในดินแดนนี้มีเทพเจ้าอยู่ตั้งมากมาย… ทำไมพวกเราสองคนถึงต้องมาเจอกันด้วยนะ?”
“พวกเราไปกู้เงินมาก่อนก็ได้นี่นา”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามเสนอความคิดบรรเจิด “กู้เงินระยะสั้น ดอกเบี้ยจะได้ไม่แพงมากเกินไป อีกสิบวันเจ้าเด็กนั่นมาถึงเมื่อไหร่ให้เขาจ่ายก็แล้วกัน เจ้าเด็กคนนี้บ้านมันรวย”
“ไม่มีทาง”
“ทำไมจะไม่มีทางล่ะ รีบไปกันเถอะ”
“แต่เจ้าเด็กสมองเสื่อมนั่นจะยอมใช้หนี้แทนพวกเราจริง ๆ หรือ?”
“ถ้าเขาไม่ยอม? เราก็แค่มอบเรือนร่างให้เขาได้เชยชมสักเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
“ต้องทำถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าเป็นคนทำเอง”
“หืม ทำไมอยู่ดี ๆ เจ้าถึงทำดีกับข้าขึ้นมาเช่นนี้? ข้าชักจะรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาชอบกลแล้วสิ…”
“เจ้าจะสงสัยอะไรนักหนา ในโลกนี้ถ้าเราไม่พึ่งพากันแล้วยังจะพึ่งพาใครได้อีก อย่าลืมสิว่าบัดนี้เหลือแค่เจ้ากับข้าแค่สองคนแล้วนะ”
“จ้า ๆ แม่เทพธิดาสุดประเสริฐ”
…
ในตัวเมืองเยี่ยเฉิง
เขตพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือ พื้นที่เขตสาม
ตรอกขี้หมู
ในอากาศเกิดประกายแปลกประหลาด
วังน้ำวนสีดำเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น
พรวด!
ร่างของใครคนหนึ่งร่วงตกลงมา
ตกลงไปกระแทกพื้นโคลนอย่างแรง เศษโคลนสาดกระจาย
“เชี่ยเอ๊ย…”
หลินเป่ยเฉินเปิดปากสบถออกมาได้เพียงเท่านั้น เศษโคลนก็กระเด็นเข้าไปเต็มปาก
การเดินทางด้วยแท็กซี่ตี๋น้อยจบลงแล้ว
เขามาถึงดินแดนทวยเทพก่อนเวลา
แต่วิธีลงจากรถไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเอาไว้เลย
“นี่หรือคือดินแดนทวยเทพ?”
สายตาของหลินเป่ยเฉินเห็นท้องถนนที่เต็มไปด้วยดินโคลนและหลุมบ่อ กำแพงดินทรุดตัวทั้งสองฝั่ง ท่อระบายน้ำมีของเหลวสีเขียวสกปรกไหลล้น กลิ่นเหม็นที่น่าขยะแขยงตลบมาปะทะกับใบหน้าของเขา…
นี่คือดินแดนทวยเทพที่ต่างจากในจินตนาการของเด็กหนุ่มอย่างสิ้นเชิง
ไม่มีภูเขาเขียวขจี ไม่มีแม่น้ำใสสะอาด ไม่มีธรรมชาติอันบริสุทธิ์
นี่แท็กซี่ตี๋น้อยพาเขามาส่งผิดที่หรือเปล่า?
แต่เมื่อสั่งให้เสี่ยวจี้ลองฉายข้อมูลของแอปแท็กซี่ตี๋น้อยขึ้นมาในอากาศ หลินเป่ยเฉินก็พบว่าจุดหมายปลายทางถูกต้องหมดทุกอย่าง
ใช่แล้ว
ที่นี่คือดินแดนทวยเทพจริง ๆ
เป็นที่อยู่ตามที่เทพีกระบี่หิมะไร้นามให้มา
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความมึนงง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังมากที่สุดก็คือหลินเป่ยเฉินพบว่าตนเองไม่สามารถขยับร่างกายได้
ถูกต้อง ร่างกายของเขาในขณะนี้รู้สึกเหมือนมีภูเขาขนาดใหญ่ยักษ์ทับอยู่ทั้งลูก ราวกับว่าแรงโน้มถ่วงของดินแดนทวยเทพจะมีมากกว่าแรงโน้มถ่วงบนโลกมนุษย์หลายพันเท่า บัดนี้ หลินเป่ยเฉินจึงได้แต่นอนจมอยู่ในแอ่งน้ำโคลน ไม่สามารถกระดิกนิ้วมือได้ด้วยซ้ำ
แค่หายใจยังยากลำบาก
สภาพไม่ต่างจากทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา
“สภาพเราในตอนนี้ ถ้าเจอหมาจรจัดหิวโซสักตัว มันก็สามารถฆ่าเราได้แล้ว… ว่าแต่ในดินแดนทวยเทพจะมีหมาจรจัดหรือเปล่านะ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น
เทพีกระบี่หิมะไร้นามหลอกลวงเขาอีกแล้วใช่หรือไม่?
ไหนบอกว่าจะมารับกันไงล่ะ?
นางไม่ได้มารอเขาอยู่ที่ปลายทางหรอกหรือ?
พึ่งพาไม่ได้จริง ๆ พึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย!
ในอนาคตหลังจากนี้ หลินเป่ยเฉินจะไม่มีทางเชื่อถือคำพูดของนางอีกแล้ว
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงอันตราย
ในโลกแปลกหน้า การที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
หลินเป่ยเฉินพยายามควบคุมตนเองให้ใจเย็นลง
“มันต้องมีเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงขยับตัวไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเราขึ้นมาสู่ดินแดนทวยเทพเร็วมากเกินไป สภาพแวดล้อมของที่นี่แตกต่างจากโลกมนุษย์ ร่างกายจึงยังปรับตัวไม่ทัน…”
“เหมือนคนที่ไปปีนเขาที่ทิเบตไงล่ะ คนพวกนั้นยังเกิดภาวะร่างกายขาดออกซิเจนได้เลย นับประสาอะไรกับการเดินทางจากโลกมนุษย์ขึ้นมาอยู่ในดินแดนทวยเทพ”
“แต่ในเมื่อเราเดินทางมาสำเร็จแล้ว อีกไม่นานร่างกายก็คงปรับตัวได้เอง”
หลินเป่ยเฉินพยายามปลอบใจตนเองเช่นนั้น
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็ลองโคจรพลังลมปราณ
แต่ปรากฏว่าพลังลมปราณในร่างกายกลับแข็งค้าง ไม่สามารถโคจรได้ตามปกติ… เช่นเดียวกับพลังปราณธาตุทั้งห้าชนิดของเขา
“หรือว่าพลังลมปราณของมนุษย์จะไม่สามารถใช้ได้ในดินแดนเทพ?”
“ถ้าอย่างนั้นลองใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า…”
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีผู้ติดตามในแอปเว่ยป๋อหลายล้านคน แรงศรัทธาจากกลุ่มสาวกจึงทำให้เขามีพลังศักดิ์สิทธิ์สูงส่งพอสมควร
แต่ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็พบว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถใช้งานได้เช่นกัน
หลินเป่ยเฉินพยายามลองหลายวิธีการ
แต่ก็ไร้ประโยชน์
เขาไม่สามารถโคจรพลังในร่างกายได้เลย
หลินเป่ยเฉินพยายามตรวจสอบพลังปราณที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างระมัดระวัง
พลังปราณของดินแดนทวยเทพก็มีลักษณะไม่ต่างไปจากพลังปราณของโลกมนุษย์ เพียงแต่ว่ามันมีความเข้มข้นมากกว่ากันหลายเท่า
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจเข้าลึก ๆ
หลังจากนอนแช่แอ่งน้ำโคลนเป็นเวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม ในที่สุด เขาก็เริ่มกระดิกนิ้วมือได้แล้ว
ผ่านไปอีกสองชั่วยาม
เขาสามารถขยับคอได้
สามารถยกแขนยกขาได้นิดหน่อย
แต่ยังไม่มีแรงมากพอที่จะลุกขึ้นนั่ง
“ถ้าฟื้นตัวช้าขนาดนี้ กว่าเราจะลุกนั่งได้ก็คงต้องใช้เวลาอีกสามวัน แต่ไม่รู้ทำไม เราถึงรู้สึกว่าที่นี่มันอันตรายเกินไป เหมือนกับว่ากำลังจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นงั้นแหละ…”
หลายครั้งที่ผ่านมา สัญชาตญาณของหลินเป่ยเฉินค่อนข้างแม่นยำมากทีเดียว
ป่านนี้เทพีกระบี่หิมะไร้นามมัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมถึงยังไม่มารับเขาอีก?
ทันใดนั้น หูของเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดิน
ใครบางคนเหยียบเท้าลงไปในแอ่งน้ำโคลนและกำลังเดินตรงมาทางนี้
เป็นใครกันนะ?
หัวใจของหลินเป่ยเฉินเต้นตึกตักด้วยความลุ้นระทึก