ตอนที่ 1,179 เขาแตกต่างจากบุรุษอื่น
“พวกเรามาถึงแล้ว”
ครอบครัวของฮันลั่วเซวี่ยเดินตรงไปที่ลานจัตุรัสขนาดเล็ก ใจกลางลานจัตุรัสตั้งไว้ด้วยวิหารหินขาวที่มีความสูงเท่ากับตึกสิบชั้น และบรรยากาศที่หมองมัวของพื้นที่เขต 3 ก็ดูจะสว่างไสวขึ้นมาได้ด้วยวิหารหลังนี้
กระแสพลังศักดิ์สิทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมาจากวิหารหินขาวตลอดเวลา
“นี่คือวิหารสาขาที่ 98 เป็นสถานที่สักการะบูชาสำหรับสาวกที่อยู่ประจำเขตถนนจูหมิงและถนนสื่อเฟิง สำหรับผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย สามารถมารับยารักษาโรคได้ที่วิหารนี้ ตราบใดที่มีความเคารพศรัทธาในเทพพงไพร ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปด้วยดี…”
ฮันลั่วเซวี่ยอธิบายให้หลินเป่ยเฉินฟัง
“อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างมีความสุข ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับอย่างคนที่ไร้เดียงสาและพร้อมที่จะบูชาเทพพงไพรด้วยชีวิต
“แต่ว่าพี่ใบ้ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นพลเมือง ท่านจะเข้าไปในวิหารไม่ได้ โปรดรอพวกเราอยู่ตรงนี้ ข้าจะพาท่านพ่อท่านแม่เข้าไปรับยาก่อน… จำไว้นะจ๊ะว่าท่านต้องรอข้าอยู่ตรงนี้ ห้ามเดินไปไหนเด็ดขาด หากท่านหลงทางขึ้นมา อาจได้รับอันตรายเอาได้”
ฮันลั่วเซวี่ยจูงมือหลินเป่ยเฉินมายืนรอที่หน้าประตูทางเข้าวิหารและพยายามกำชับกับเขาด้วยความอดทน หลังจากนั้น นางก็ถือป้ายหมายเลขของตนเองและพาฮันหลี่กับภรรยาเข้าไปยืนต่อแถว
เมื่อคืนนี้ อยู่ดี ๆ อาการของฮันหลี่ก็ทรุดหนักมากขึ้น เขาไอออกมาอย่างรุนแรง ไอไม่หยุดแทบทั้งคืน ก่อนรุ่งเช้าถึงกับกระอักเลือดออกมาหลายครั้ง ด้วยอาการที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้ ชายชราจึงไม่สามารถมาที่วิหารด้วยตนเอง อู๋เหว่ยและบุตรสาวจึงต้องพาฮันหลี่เข้าไปรับยาก่อนเป็นลำดับแรก
แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการยาจากวิหารไม่น้อยเช่นกัน
วิหารหินขาวหลังใหญ่แห่งนี้มีประตูเก้าบานติดตั้งอยู่รอบด้าน ทุกประตูล้วนมีไว้ให้ผู้คนยืนต่อแถวสำหรับเข้าไปรับยารักษาโรค
หลินเป่ยเฉินเดินมานั่งรออยู่บนเก้าอี้หินตัวหนึ่ง ในเวลาเดียวกันนี้ ก็ใช้สายตาสอดส่องผู้คนโดยรอบด้วยความสงสัยใคร่รู้
ความจริง เขากำลังพยายามสัมผัสดูว่ามีพลังแปลกปลอมพุ่งออกมาจากด้านในวิหารหรือไม่
ถ้ามี เขาจะได้เตรียมตัวหลบหนีให้ทันการ
แม้หลินเป่ยเฉินจะไม่กลัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ระวังตัว
โชคดีที่ไม่มีผู้ใดค้นพบความผิดปกติของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มพบว่านักบวชในวิหารจะมีอยู่ด้วยกันสามประเภท
ประเภทแรก เป็นนักบวชที่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำขลิบทอง ลักษณะคงแก่เรียน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชายหนุ่มหญิงสาวหน้าตาดี ท่าทางถือเนื้อถือตัวมากกว่าคนทั่วไป ร่างกายตลอดศีรษะจรดปลายเท้าตกแต่งด้วยอาภรณ์สีดำสนิท ในมือจะถือคัมภีร์วิเศษอยู่เล่มหนึ่ง ไม่ว่าเดินผ่านไปตรงบริเวณใด กลุ่มสาวกที่มารวมตัวกันหน้าวิหารก็จะประสานมือคำนับและก้มศีรษะทำความเคารพ
หรือต่อให้มองไม่เห็น นักบวชชุดดำเหล่านี้ก็จะมีราศีบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างกาย ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเขาได้อย่างน่ามหัศจรรย์…
นี่อาจจะเรียกว่าเป็นนักบวชระดับสูงกระมัง?
นักบวชประเภทที่สอง จะสะพายกระบี่อยู่ข้างเอวและสวมใส่ชุดเกราะสีดำ ส่วนใหญ่แล้วจะมีร่างกายกำยำล่ำสัน ร่างกายแผ่รังสีอำมหิต แข็งแกร่งไม่อ่อนแอ แต่ไม่ทราบเลยว่าฝีมือการต่อสู้จะเป็นอย่างไร ทว่าหลินเป่ยเฉินก็คาดเดาว่านักบวชผู้สะพายกระบี่เหล่านี้น่าจะมีฝีมือไม่ต่ำต้อยทีเดียว
ส่วนนักบวชประเภทที่สาม จะมีลำดับชั้นต่ำต้อยที่สุด พวกเขาสวมใส่เสื้อคลุมสีดำธรรมดา รับหน้าที่คอยดูแลทำความสะอาดทั้งด้านในและด้านนอกวิหาร รวมถึงคอยจัดระเบียบกลุ่มสาวกและเก็บเงินค่าผ่านประตู รวมถึงรับหน้าที่เคลื่อนย้ายสิ่งของอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่ามีฐานะเป็นคนรับใช้
ส่วนบรรดานักบวชที่มีลำดับชั้นสูงมากกว่านี้ หลินเป่ยเฉินยังไม่พบเห็นเลยสักคน
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ตัวบอสที่ไหนจะออกมาเดินเพ่นพ่านกันง่าย ๆ ล่ะ?
เมื่อเวลาผ่านไปได้หนึ่งก้านธูป ครอบครัวของฮันลั่วเซวี่ยก็ได้เข้าสู่ด้านในวิหารเพื่อไปรับยา หลินเป่ยเฉินจึงมองไม่เห็นพวกนางอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกผูกพันกับครอบครัวนี้อย่างอธิบายไม่ถูก
เขาหวังว่าวิหารเทพเจ้าแห่งนี้จะสามารถรักษาโรคร้ายของฮันหลี่ได้สำเร็จ
หลินเป่ยเฉินนั่งรอคอยอยู่บนเก้าอี้หินด้วยความเงียบงัน
แต่หลังจากนั้น ก็จะมีหญิงสาวจำนวนมากแวะเวียนมาชวนเขาพูดคุยเป็นระยะ
ดูเหมือนผู้คนในดินแดนทวยเทพจะมีจิตใจเปิดกว้างมากกว่าผู้คนในแผ่นดินตงเต้า
ตอนแรกหลินเป่ยเฉินก็รู้สึกสนุกอยู่หรอก
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พบว่าหญิงสาวเหล่านี้ใจกล้ามากกว่าที่คิด มือของพวกนางเริ่มป่ายเปะปะไปทั่ว และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกลวนลามอยู่อย่างไรชอบกล…
นี่เขาทะลุมิติมาเป็นหนุ่มบาร์โฮสต์หรือไง?
อีกอย่าง ถ้าเป็นหนุ่มบาร์โฮสต์จริง อย่างน้อยพวกนางก็ต้องจ่ายเงินให้เขาก่อนสิ…
จังหวะที่หลินเป่ยเฉินกำลังเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่นั้น…
“เจ้าก็มารับยาที่นี่เหมือนกันหรือ?”
เสียงสตรีที่อ่อนหวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
น้ำเสียงที่อ่อนหวานของนางทำให้ความขุ่นเคืองใจของหลินเป่ยเฉินสลายหายไปทันที
เมื่อเขาหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นหญิงสาวอายุยี่สิบปีผู้หนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำขลิบทองสวยงาม ดวงตาของนางเป็นประกายสว่างไสว กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความสงสัย
นางอยู่ในลำดับชั้นนักบวชที่ถือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
เป็นนักบวชระดับสูงที่มีหน้าตางดงาม
หากเยว่เว่ยหยางมีคะแนนความงามหนึ่งร้อยคะแนนเต็ม นักบวชสาวผู้นี้ก็ต้องได้ไม่ต่ำกว่าแปดสิบห้าคะแนน
เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดสาวงามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
แต่กระนั้น แม้นางจะมีหน้าตางดงาม ทรวดทรงองค์เอวน่ามองน่าชม และถึงเขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูดสักคำ แต่ก็หลินเป่ยเฉินสามารถสังเกตเห็นได้จากส่วนลึกของแววตาว่านางกำลังสำรวจมองเรือนร่างของเขาอยู่
เฮ้อ เกิดเป็นคนหล่อมันก็ลำบากแบบนี้เองสินะ
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ ปั้นยิ้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ ก่อนพูดว่า “อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”
นักบวชสาวขมวดคิ้ว
นางหันมองนักบวชชายที่สะพายกระบี่อยู่ด้านข้างและนักบวชชายผู้นั้นก็ตอบออกมาทันทีว่า “กราบเรียนท่านนักบวชเซียงเหยียน เขาเป็นคนใบ้ขอรับ”
นักบวชสาวยังคงขมวดคิ้ว สายตาที่หันกลับมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินปรากฏความสงสารเวทนาขึ้นเล็กน้อย
นางพึมพำคาถาออกมาจากปาก มือขวากดลงไปบนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถืออยู่ในมือซ้าย แล้วคลื่นพลังสีทองก็ไหลเวียนออกมาครอบคลุมร่างกายของหลินเป่ยเฉิน
เดี๋ยวก่อนนะ?
ก่อนหน้านี้ เขาพยายามหลีกเลี่ยงการถูกจับได้มาตลอด แต่เพียงพริบตาเดียว หลินเป่ยเฉินก็พบว่าตนเองตกอยู่ในม่านพลังทองคำของนักบวชสาวเรียบร้อยแล้ว
ม่านพลังสีทองคำนั้นค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในลำคอของเขา
ความรู้สึกซาบซ่านแผ่กระจายไปทั่วแขนขา
ไม่ต่างไปจากตอนที่ใช้พลังวารีบำบัด
แต่มันก็ไม่สมควรเป็นเรื่องที่น่าสบายใจอยู่ดี
หลินเป่ยเฉินหัวใจเต้นระทึก พอจะคาดเดาได้แล้วว่านักบวชสาวผู้นี้ตั้งใจจะใช้พลังของนางรักษาอาการเป็นใบ้ของเขา
“เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
นักบวชสาวเซียงเหยียนถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
กิริยาของนางทำให้นักบวชมือกระบี่หนุ่มที่ตอบคำถามของนางก่อนหน้านี้ถึงกับงงงันไป
สำหรับผู้คนในวิหารสาขาที่ 98 แห่งนี้ต่างทราบดีว่าท่านนักบวชเซียงเหยียนไม่เคยสนใจบุรุษมาแต่ไหนแต่ไร นางคือนักบวชระดับสูงที่ไม่ใกล้ชิดกับผู้ใดง่าย ๆ และแทบจะไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
แต่ทว่า…
เหตุไฉนนางถึงใจดีต่อเด็กหนุ่มนิรนามผู้นี้?
หรือเป็นเพราะเด็กผู้นี้มีหน้าตาหล่อเหลา?
คนเราเมื่อเกิดมาหล่อเหลา ก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการจริง ๆ หรือ?
“อะแบ๊ะ อะแบ๊ะ…”
ระหว่างที่เสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนใบ้ต่อไป หลินเป่ยเฉินก็ตีสีหน้าเศร้าสลด หยิบกิ่งไม้แถวนั้นมาเขียนข้อความบนพื้นดินว่า ‘กราบเรียนท่านนักบวชผู้ทรงเสน่ห์ สุภาพอ่อนหวานและเลอโฉมที่สุดในปฐพี ข้าน้อยเป็นใบ้หูหนวกมาตั้งแต่กำเนิด หาใช่ได้รับบาดเจ็บไม่ มันจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรักษาได้ ขอบคุณท่านที่เมตตาข้าน้อย’
“เจ้าอ่านออกเขียนได้ด้วยหรือ?”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันสวยงามของนักบวชสาว
เนื่องจากว่าในพื้นที่เขต 3 จำนวนประชากรที่รู้หนังสือนั้นมีน้อยนิด
และที่สำคัญก็คือ จากมุมมองของนักบวชเซียงเหยียน ตัวอักษรที่หลินเป่ยเฉินเขียนออกมามีความถูกต้องและยังสวยงามอีกด้วย นี่ไม่ใช่ความรู้ความสามารถในระดับอ่านออกเขียนได้ธรรมดา แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ต้องได้รับการศึกษาระดับสูงมาแล้ว
เด็กหนุ่มพิการโดยกำเนิดที่ขยันเรียนรู้เช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
นางจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเวทนามากกว่าเดิม ก่อนจะพูดปลอบใจเขาว่า “เจ้ามีหน้าตาหล่อเหลาราวกับรูปปั้นแกะสลัก นี่คือของขวัญจากสวรรค์ ข้าเชื่อว่าเทพพงไพรของพวกเราคงไม่ใจร้ายกับเจ้าตลอดไป อีกไม่ช้าก็เร็ว สักวันหนึ่ง เจ้าจะต้องได้รับการรักษาจนหายดีอย่างแน่นอน…”
แต่พูดมาถึงตรงนี้ นางจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นใบ้และหูหนวก เขาอาจจะไม่ได้ยินสิ่งที่นางกล่าว
ดังนั้น นักบวชสาวจึงหยิบกิ่งไม้มาเขียนข้อความลงบนพื้นดิน
นักบวชมือกระบี่หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับอ้าปากค้าง ราวกับว่ามีคนจับเขาง้างขากรรไกรก็ไม่ปาน
หลินเป่ยเฉินแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจออกมา ก่อนจะเขียนข้อความเยินยอตอบกลับนักบวชสาวไปอีกหลายประโยค
แม้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์จากนักบวชสาวเซียงเหยียนจะไม่สามารถรักษาอาการของเด็กหนุ่มใบ้ผู้นี้ได้ แต่ถ้อยคำเยินยอที่เด็กหนุ่มเขียนตอบกลับไปนั้น กลับสามารถทำให้นักบวชสาวผู้เย็นชาแห่งวิหารสาขา 98 รู้สึกอบอุ่นและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พวกเขาจึงเขียนข้อความโต้ตอบกันบนพื้นดินเป็นระยะเวลานาน
หลังจากได้รู้ว่าหลินเป่ยเฉินมาที่นี่พร้อมกับครอบครัวของ ‘พี่สาว’ และตัวเขาเองก็มาเพื่อทำเรื่องขึ้นทะเบียนพลเมือง นักบวชสาวเซียงเหยียนก็ไม่ไถ่ถามรายละเอียดเกี่ยวกับพี่สาวของเขาสักนิด นางแทบไม่ถามที่มาที่ไปของเขาด้วยซ้ำ นักบวชสาวเซียงเหยียนก็นำตัวหลินเป่ยเฉินไปทำเรื่องขึ้นทะเบียนพลเมืองทันที…
และด้วยความช่วยเหลือจากนักบวชสาวเซียงเหยียน ขั้นตอนที่ยุ่งยากทั้งหลายก็ถูกยกเลิกไป หลินเป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งใดยืนยันตัวตนแม้แต่ชิ้นเดียว การทำเรื่องขึ้นทะเบียนพลเมืองซึ่งปกติต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์ถึงจะสำเร็จ ก็เสร็จสิ้นลงในเวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
มิหนำซ้ำ เด็กหนุ่มยังได้รับการประทับตราให้เป็นพลเมืองชั้นสูงอีกด้วย
สุดท้าย เมื่อเสียงระฆังดังกังวานเป็นสัญญาณเรียกรวมตัวนักบวชระดับสูง หลินเป่ยเฉินกับนักบวชสาวเซียงเหยียนก็ถึงคราวต้องแยกจากกัน
แต่ก่อนจากกัน นางยังได้มอบเครื่องรางชิ้นหนึ่งให้แก่หลินเป่ยเฉิน ซึ่งมันเป็นเครื่องรางที่จะอนุญาตให้เขามาพบนางในวิหารแห่งนี้ได้ตลอดเวลา
“ท่านนักบวชเซียงเหยียน วันนี้ท่านดูแปลก ๆ ไปนะขอรับ”
นักบวชมือกระบี่หนุ่มย้ำเตือนด้วยความร้อนรน
ในวิหารเทพพงไพรส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่เป็นนักบวชระดับสูงจะมีพลังต่อสู้อ่อนแอ จึงต้องได้รับการคุ้มครองโดยนักบวชมือกระบี่ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ
นักบวชมือกระบี่หนุ่มผู้นี้มีนามว่าหยางซัว เขารับหน้าที่เป็นองครักษ์ให้แก่นักบวชเซียงเหยียนเต็มเวลา ดังนั้นจึงมีสิทธิ์กล่าวเตือนเมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
“เขาแตกต่างจากบุรุษอื่น”
นักบวชสาวเซียงเหยียนก้าวเดินกลับเข้าไปในวิหารขณะลดเสียงลงเป็นกระซิบ “เขาคือของขวัญจากสวรรค์ เขามีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ เจ้าน่าจะเห็นแววตาของเขา มันช่างใสกระจ่างราวกับทะเลสาบพันปี ดวงตาของเขามีประกายระยิบระยับยิ่งกว่าดวงดาราบนฟากฟ้า… เขาไม่เหมือนผู้ใดที่ข้าเคยพบเห็นมาก่อน”
ความสงสัยปรากฏขึ้นบนสีหน้าของหยางซัว
เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
ตัวเขาเองไม่ทันได้สังเกต
เพราะหากจะให้หยางซัวไปยืนมองตาเด็กหนุ่มแล้วล่ะก็ มันก็คงเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ?
และสำหรับในสายตาของเขา เด็กใบ้ผู้นั้นนอกจากหน้าตาที่หล่อเหลาแล้ว ก็หาข้อดีอื่นใดไม่ได้อีกเลย
ดังนั้นเขาจึงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเพราะเหตุใดนักบวชเซียงเหยียนจึงประเมินค่าเจ้าเด็กใบ้สูงส่งถึงเพียงนี้?
หยางซัวรู้สึกว่าตนเองสมควรเดินย้อนกลับไปพิจารณาเด็กใบ้ผู้นั้นดูใหม่อีกสักรอบ
ในเวลาเดียวกันนี้
บริเวณหน้าประตูทางเข้าวิหาร
“ว่าไงนะ? ท่านทำเรื่องขึ้นทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ?”
เมื่อฮันลั่วเซวี่ยกลับมาจากการรับยา นางก็ตกตะลึงไม่น้อยเมื่อได้ทราบเรื่องเล่าจากข้อความของหลินเป่ยเฉิน “ทะ… ท่านสามารถทำได้อย่างไร?”
โดยปกติแล้ว การขอขึ้นทะเบียนสำหรับบุคคลนิรนามนั้นถือเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก วันนี้ ฮันลั่วเซวี่ยจึงได้นำเงินออมของตนเองที่เก็บหอมรอมริบตลอดหลายปีออกมา เตรียมใช้เป็นสินบนให้แก่เสมียนในวิหารเพื่อทำเรื่องขึ้นทะเบียนให้แก่หลินเป่ยเฉิน แต่ถึงกระนั้น เด็กสาวก็ยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าการขึ้นทะเบียนจะสำเร็จลงด้วยดีหรือไม่
ใครเลยจะคิดว่าหลินเป่ยเฉินกลับได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างราบรื่นเช่นนี้
ซ้ำเขายังได้รับการตีตราให้เป็นพลเมืองชั้นสูงอีกด้วย
“พี่ใบ้ช่างโชคดีจังเลย”
ฮันลั่วเซวี่ยมองป้ายประจำตัวพลเมืองชั้นสูงในมือของหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “เมื่อมีป้ายประจำตัวชิ้นนี้ ท่านก็สามารถเข้าไปในพื้นที่เขต 2 โดยไม่ต้องเสียค่าผ่านทางแล้ว”