ตอนที่ 1,183 พบเจอตัวจริงของเทพีกระบี่หิมะไร้นาม
ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย ฮันหลี่กับภรรยายกย่องชมเชยหลินเป่ยเฉินไม่ขาดปาก
ผู้อาวุโสทั้งสองท่านล้วนคิดไม่ถึงว่าเด็กใบ้ผู้นี้จะมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขาถึงกับวิ่งไล่ตามหัวขโมยไปเพียงตัวคนเดียว แม้จะถูกทำร้าย แต่หลินเป่ยเฉินก็สามารถทวงคืนถุงเงินกลับมาได้สำเร็จ
ถึงจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่เด็กใบ้ก็มีความกล้าหาญ
บัดนี้ บิดาของฮันลั่วเซวี่ยจึงเกิดความลังเลแล้วว่าตนเองสมควรเปลี่ยนคู่ครองให้แก่บุตรสาวดีหรือไม่
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือระหว่างหรานจื่อชุนกับหลินเป่ยเฉิน ฮันหลี่สังเกตดูจากท่าทีของฮันลั่วเซวี่ยผู้เป็นบุตรสาวแล้ว นางจะมีความสุขอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อได้อยู่กับหลินเป่ยเฉินเท่านั้น
ในไม่ช้า ‘โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย’ ก็ปรากฏในสายตา
พวกเขามองเห็นตั้งแต่ไกลว่าหรานจื่อชุนออกมายืนรอรับอยู่หน้าโรงเตี๊ยมด้วยความตื่นเต้น
“จื่อชุน เด็กคนนี้ก็น่าสงสารไม่แพ้กัน”
ฮันหลี่เห็นดังนั้นก็รู้สึกเวทนาหรานจื่อชุนขึ้นมาจับใจ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มทำงานรับใช้โรงเตี๊ยมของพวกเขาอย่างขยันขันแข็ง จึงทำให้เขากลายเป็นบุตรเขยในอุดมคติของฮันหลี่
แต่ทุกสิ่งย่อมมีความเปลี่ยนแปลงเสมอ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เสี่ยวเซวี่ย ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ได้รับยากลับมาบ้างหรือไม่?”
หรานจื่อชุนรีบวิ่งเข้ามาช่วยพวกเขาถือข้าวของโดยไม่ชำเลืองมองหลินเป่ยเฉินแม้แต่นิดเดียว
“พวกเราได้ยามาแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ท่านพ่อต้องหายดีในไม่ช้า”
อู๋เหว่ยพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หรานจื่อชุนยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “ประเสริฐมากขอรับ ประเสริฐมาก”
ช่างเป็นรอยยิ้มที่ใสซื่อและจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
ฮันลั่วเซวี่ยไม่พูดอะไรออกมา
ฮันหลี่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วยความกระตือรือร้น โดยเฉพาะวีรกรรมแสนกล้าหาญของหลินเป่ยเฉินผู้วิ่งตามไปไล่จับหัวขโมยจนตนเองถูกทำร้าย แต่ในที่สุด หนุ่มใบ้ก็สามารถทวงคืนถุงเงินกลับมาได้สำเร็จ ระหว่างที่บอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ดวงตาของชายชราก็เป็นประกายระยิบระยับอยู่หลายครั้ง
หรานจื่อชุนไม่พูดคำใดออกมา
หลินเป่ยเฉินเองก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน
เขาเข้าใจได้ว่าหรานจื่อชุนคงกำลังหน้ามืดตามัวด้วยความอิจฉาริษยา
ก่อนหน้านี้ หรานจื่อชุนเคยมีเจตนาแอบกลั่นแกล้งหลินเป่ยเฉินมาแล้วหลายครั้ง แต่ด้วยความที่ชายหนุ่มถือเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลฮัน และทำงานรับใช้ตระกูลฮันมาอย่างยาวนาน หลินเป่ยเฉินจึงขี้เกียจที่จะใส่ใจ
เมื่อไปถึงลานที่พักด้านหลังโรงเตี๊ยม ฮันลั่วเซวี่ยก็จัดแจงปรุงยาให้แก่บิดา โดยที่มีหลินเป่ยเฉินคอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง หลังปรุงยาออกมาเสร็จเรียบร้อย ฮันลั่วเซวี่ยก็รีบนำยาที่ได้มาไปให้ฮันหลี่รับประทานโดยทันที
อานุภาพของยาต้มจากวิหารเทพเจ้าน่ามหัศจรรย์มากทีเดียว
เมื่อฮันหลี่รับประทานยาต้มถ้วยนั้นเข้าไปแล้ว ชายชราก็มีเหงื่อออกท่วมตัว หลังจากนั้น เขาก็กลับมาสดชื่นแจ่มใส ไม่มีอาการไอ ใบหน้ามีเลือดฝาดมากขึ้น กำลังวังชาที่เคยสูญหายก็หวนคืนกลับมาดังเดิม
ทุกคนในครอบครัวโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน
เดิมที เขาตั้งใจว่าหากอาการป่วยของฮันหลี่ไม่ดีขึ้น หลินเป่ยเฉินก็จะสั่งซื้อยาจากแอปเถาเป่าเพื่อช่วยเหลือชายชราโดยเฉพาะ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงอาศัยยาสมุนไพรจากวิหารเทพพงไพรสาขาที่ 98 มันก็เพียงพอแล้วที่จะบรรเทาอาการของฮันหลี่ให้ดีขึ้นมาทันตาเห็น หลินเป่ยเฉินจึงเกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมาว่าหากเขาสามารถล่วงรู้สูตรปรุงยาเหล่านี้ บางทีอาจจะนำไปทำเงินในแผ่นดินตงเต้าได้กระมัง?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกคึกคักขึ้นมาทันที
อันที่จริง หลายวันที่ผ่านมา เขากำลังคิดหาทางกอบโกยผลประโยชน์จากดินแดนทวยเทพให้ได้มากที่สุด
บัดนี้ ดูเหมือนว่าสถานะ ‘ผู้ลักลอบเข้าเมือง’ จะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
เพราะมันทำให้เขาไม่มีตัวตนในสายตาผู้ใด
ยิ่งส่งผลดีต่อการหาเงินมากขึ้น
‘นับดูเวลา เหลืออีกแค่สองวันเท่านั้นก็จะถึงกำหนดนัดหมายกับเทพีกระบี่หิมะไร้นามแล้ว สงสัยเราคงต้องไปเจอยัยนั่นที่ตรอกขี้หมูสักหน่อย’
หลินเป่ยเฉินวางแผนการอยู่ในใจเงียบ ๆ
ค่ำคืนนี้ ยังคงมีลูกค้ามารับประทานอาหารที่โรงเตี๊ยมมากมายเช่นเคย
การปรากฏตัวของหลินเป่ยเฉินทำให้บรรดาลูกค้าหญิงที่มารวมตัวกันในโรงเตี๊ยมแทบเสียสติ และยิ่งชื่อเสียงเรื่องความหล่อเหลาของเขาระบือเลื่องลือไปมากเท่าใด ลูกค้าหญิงในโรงเตี๊ยมก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากเท่านั้น
ฮันหลี่ถึงกับต้องนำโต๊ะมาตั้งเสริมบริเวณหน้าประตูโรงเตี๊ยมเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
“หากทุกอย่างยังดำเนินไปเช่นนี้ อีกไม่นาน พวกเราก็จะเก็บเงินได้มากพอไปตั้งหลักใหม่ในพื้นที่เขต 2 ได้แล้ว…”
ดวงตาของฮันลั่วเซวี่ยเป็นประกายอย่างมีความหวัง
ความปลอดภัยของผู้คนและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตในพื้นที่เขต 2 นั้นดีมากกว่าพื้นที่เขต 3 หลายเท่า
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในพื้นที่เขต 2 แทบไม่มีพวกสำนักอันธพาล ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ในพื้นที่เขต 3 จึงเกิดโรคระบาดแพร่กระจาย ว่ากันว่าแม้แต่เทพเจ้าก็ยังติดเชื้อโรคร้ายเหล่านี้เสียชีวิตไปเช่นกัน นั่นจึงสร้างความตื่นตระหนกให้แก่บรรดาพลเมืองเป็นอย่างยิ่ง
หากผู้ใดสามารถย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่เขต 2 ได้ ชีวิตของคนผู้นั้นก็จะปลอดภัยขึ้นแล้ว
…
“หมายความว่าอย่างไรไม่พบผู้ใดเลย?”
ณ ฐานบัญชาการของสำนักหนามทมิฬ เจิ้งซานถงกำลังอุ้มแมวสามหางอยู่ในอ้อมอก หัวคิ้วขมวดมุ่นหลังจากรับฟังการรายงานของลูกสมุน “ถึงหวังฉีฉงจะเป็นเพียงมือกระบี่ธรรมดา แต่เขาสามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้ แม้แต่เขาเองก็หายตัวไปเช่นกันหรือ?”
“กราบเรียนพี่ใหญ่เจิ้ง พวกเราตรวจค้นทั่วบริเวณนั้นแล้ว แต่กลับไม่พบตัวพวกของหัวหน้าหวังและลูกสมุนของเขาเลย พวกเราไม่พบแม้แต่ศพคนตาย กระทั่งเจ้าลูกสุนัขจากเผ่าหมาไนเทวะพวกเราก็ไม่พบเจอตัวเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้… ข้าน้อยคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของพวก ‘สำนักเงาภูต’ หรือไม่ก็ ‘สำนักไพรเถื่อน’ แน่นอนขอรับ”
ลูกสมุนของเจิ้งซานถงรายงานต่อ
สำนักไพรเถื่อนและสำนักเงาภูตถือเป็นสองสำนักอันธพาลที่กว้างขวางในพื้นที่เขต 3 ประจำแดนตะวันตกเฉียงเหนือ และตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็เคยมีเรื่องบาดหมางกับสำนักหนามทมิฬมาแล้วหลายครั้ง
พวกเขาทั้งสามถือเป็นสำนักใหญ่ที่แย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรกันมาโดยตลอด
“แต่พวกมันจะทำไปเพราะเหตุใด?”
นิ้วที่หยาบกร้านของเจิ้งซานถงลูบไล้ไปตามลำคอของเจ้าแมวสามหางด้วยความอ่อนโยน
“ในเขตพื้นที่ระดับ 3 มีอีกหกสำนักที่สามารถกวาดล้างพวกของหัวหน้ากลุ่มย่อยหวังและลูกสมุนได้อย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ และในกลุ่มสำนักใหญ่เหล่านั้น วิหารสาขาที่ 98 ไม่มีเหตุผลให้ลงมือมากที่สุด เช่นเดียวกับสำนักศิลาดำ สำนักเถาวัลย์เวทย์ และอีกสามสำนักที่เป็นสำนักคุ้มภัย ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องลงมือเช่นกัน เพราะพวกเราไม่เคยขัดแย้งกันมาก่อน”
“ด้วยเหตุนี้ ผู้ต้องสงสัยหลักจึงเหลืออยู่เพียงสองสำนักเท่านั้น คือสำนักไพรเถื่อนและสำนักเงาภูต นอกจากนี้ ข้าน้อยยังเคยสงสัยว่าหนุ่มใบ้ที่มาปรากฏตัวในโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยอย่างลึกลับนั้น อาจจะเป็นสายลับที่หนึ่งในสองสำนักนี้ส่งมาแฝงตัวก็เป็นได้…”
ลูกสมุนกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“มีเหตุผล มีเหตุผล แต่ถ้าอย่างนั้นทำไม 9527 ถึงไม่รู้ตัว? หรือพวกมันจะล่วงรู้แผนการของเรา?”
เมื่อเจิ้งซานถงคิดได้ดังนั้น เขาก็อุ้มแมวสามหางลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “ส่งคนไปบอกให้ 9527 เร่งมือได้แล้ว ภายในสามวัน ข้าต้องได้โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยมาอยู่ในการครอบครอง”
“ข้าน้อยรับคำบัญชา”
ลูกสมุนก้มหน้ารับคำสั่งด้วยความเชื่อฟัง
…
‘นี่ก็ผ่านมาได้แปดวันแล้วตั้งแต่ที่เรามาถึงดินแดนทวยเทพ วันนี้เราก็ลองไปที่ตรอกขี้หมูดูอีกครั้ง… แต่ก็ยังไม่เจอเทพีกระบี่หิมะไร้นามอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องฆ่าเวลาโดยการเดินเล่นในตลาดแถวนั้น’
‘วันที่ 9 ยังคงไม่เจอตัวเทพีกระบี่หิมะไร้นาม… แต่วันนี้เราได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหุบผาปีศาจว่าในส่วนลึกของเมืองเยี่ยเฉิง ได้มีอสูรจำนวนมากหลุดออกมาจากถ้ำใต้ดิน ถ้าเราสามารถไปฆ่าอสูรเหล่านั้นได้สำเร็จ ก็จะได้ทั้งอำนาจ ชื่อเสียงและเงินทอง นี่มันระบบเดียวกับการลงดันเจี้ยนเลยใช่ไหมหว่า? น่าสนใจแฮะ ถ้าเราหาตัวเทพีกระบี่หิมะไร้นามไม่พบจริง ๆ สงสัยคงต้องออกไปแสวงโชคที่หุบผาปีศาจซะแล้ว…’
‘วันที่ 10 ยังคงไม่เจอตัว… แม่งเอ๊ย อย่าบอกนะว่ายัยเทพีฝึกหัดคนนี้ลืมเราไปแล้ว? น่ารำคาญจริง ๆ ทนไม่ไหวแล้วโว้ย อย่าให้เจอหน้านะ พ่อจะโบกให้หัวทิ่ม’
‘เช้าวันที่ 11… ยังคงไม่เจอตัว เราเริ่มสงสัยแล้วว่าหรือจะต้องขออนุญาตในการเจอตัวอีกทีวะ… คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับยัยนั่นหรอกใช่ไหม?’
‘บ่ายวันที่ 11 ยังคงไม่เจอตัว เริ่มรู้สึกเป็นห่วงยัยนั่นขึ้นมาเล็กน้อยแล้วสิ’
‘วันที่ 12 ในที่สุด เราก็ได้เจอตัวเทพีกระบี่หิมะไร้นามแล้ว’
ข้อความจากแอปสมุดบันทึกในโทรศัพท์มือถือของหลินเป่ยเฉินหยุดลงตรงนี้
เพราะครั้งนี้ที่ตรอกขี้หมู การรอคอยของหลินเป่ยเฉินก็ประสบผลสำเร็จ
เขากำลังจ้องมองไปยังหญิงสาวผู้ไว้ผมทวินเทลผู้หนึ่ง เด็กหนุ่มต้องใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียวกว่าจะเชื่อมโยงนางเข้ากับเทพธิดาผู้สุดแสนจะเย้ายวนใจในวิดีโอคอลล์ของแอปวีแชทได้สำเร็จ
ใช่แล้ว
เป็นนางจริง ๆ ด้วย
เทพีกระบี่หิมะไร้นาม เทพีฝึกหัดที่เคยร่วมตกระกำลำบากกับเขามาแล้วหลายครั้ง
บัดนี้ นางกำลังอยู่ในภาพลักษณ์แอ๊บหวานไร้เดียงสาสุดชีวิต อะไรดลใจให้เทพีกระบี่หิมะไร้นามแต่งตัวเหมือนตุ๊กตาและไว้ผมทวินเทลเช่นนี้หนอ?
นี่ต้องเรียกว่าใบหน้ามัธยม ทรวดทรงมหาลัยที่แท้จริง
อยากลองจับผมทวินเทลของนางดูจังเลยแฮะ
หลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ให้ตายสิ
ความหงุดหงิดใจก่อนหน้านี้สลายหายไปสิ้น
“เป็นเจ้าเองหรือ?”
ทันใดนั้น เทพธิดาสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าอีกผู้หนึ่งจ้องมองใบหน้าของหลินเป่ยเฉินและนางก็อดอุทานออกมาไม่ได้ ริมฝีปากสีกุหลาบของนางกลายเป็นรูปตัวโอ บ่งบอกชัดเจนถึงความประหลาดใจสุดขีด