ตอนที่ 1,185 โฉมงามอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือ
“การที่เจ้าเป็นเทพเซียนนั้น หมายความว่าเจ้าจะมีสาวกเพิ่มมากขึ้น เจ้าจะสามารถทำเงินได้มากขึ้น และสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น เหมือนกับเจ้าเข้าหอนางโลมและสามารถสั่งสุดยอดนางคณิกาให้มาปรนนิบัติเจ้าได้พร้อมกันถึงสองคนนั่นแหละ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ต้องอิจฉาเจ้าแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอธิบายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วคิดตามที่นางพูด
บางทีการได้ตำแหน่งเซียนกระบี่บนโลกมนุษย์และได้ตำแหน่งเทพเจ้าบนดินแดนทวยเทพ อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้กระมัง?
“ไม่ทราบว่ามีสิ่งต้องห้ามอันใดบ้างหรือไม่?”
เด็กหนุ่มถามออกมาอย่างระมัดระวัง
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบว่า “เจ้าเป็นถึงเทพเซียน ยังมีอะไรต้องห้ามอีกหรือ? อีกอย่าง ต่อให้เจ้าทำแล้วไม่พูดออกมา ผู้ใดจะไปรู้?”
ฟังดูมีเหตุผลแฮะ
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาถูกเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโน้มน้าวใจได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินยังเป็นกังวลอยู่ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นในโลกไหน ความสำเร็จทุกอย่างคงไม่ได้มาโดยไม่ต้องแลกบางสิ่งบางอย่างกลับคืนไป
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดต่ออีกครั้ง “เจ้าวางใจเถอะ สภาเทพเจ้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเคยเป็นเซียนกระบี่บนโลกมนุษย์มาแล้วหรือไม่ อันที่จริง พวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน”
“ถ้าอย่างนั้น ตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนมีสถานะใดในดินแดนทวยเทพกันแน่? แล้วข้าจะสามารถใช้ประโยชน์จากตำแหน่งนี้ได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มถามออกมาอีกครั้ง
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เดี๋ยวข้าจะจัดการให้เอง”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือตบหน้าอกด้วยความมั่นใจ ส่งผลให้หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลง ดึงดูดสายตาหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าแค่จ่ายค่าดำเนินการมาอย่างเดียวก็พอแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
จ่ายค่าดำเนินการ?
ค่าดำเนินการเรื่องการเปิดใช้งานตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนเนี่ยนะ?
“เท่าไหร่?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบว่า “ตีเป็นตัวเลขกลม ๆ ก็ประมาณศิลาเทวะหนึ่งร้อยก้อน”
“ข้าไม่มีศิลาเทวะ”
“อ้อ จริงด้วยสินะ ข้าลืมไปเสียสนิทเลย… ถ้าอย่างนั้น เจ้าเอาศิลาบูชามาแลกก็ได้ เจ้าต้องจ่ายศิลาบูชาประมาณหนึ่งหมื่นก้อนนั่นแหละ”
“ราคานี้ถือว่าไม่แพงแล้วนะ”
“เร็วเข้าสิ รีบจ่ายออกมาได้แล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและกระตือรือร้น
หลินเป่ยเฉินมองสีหน้าของเทพธิดาสาวสวย จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง “เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง… นี่ท่านกำลังหลอกเงินข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
ยัยเทพธิดาคนนี้ยิ่งมีประวัติไม่ค่อยดีอยู่ด้วย
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแสดงสีหน้ารู้สึกผิดออกมาทันที “ฮ่า ๆๆ คิดไม่ถึงเลยนะว่าเจ้าจะฉลาดขนาดนี้ แต่กราบเรียนน้องเป่ยเฉิน อันราคาศิลาเทวะหนึ่งร้อยก้อนนี้ พี่สาวจะหักค่าดำเนินการจากเจ้าเข้ากระเป๋าเพียงห้าก้อนเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จ่ายให้เจ้าหน้าที่ตามปกติ… เจ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้เลย เพียงเท่านี้ข้าก็เสี่ยงมากพอแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าต้องติดสินบนเจ้าหน้าที่มากมายเพียงใด…”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนหัวเราะเยาะ “เหอเหอเหอ ท่านจะโกหกใครก็ได้ แต่ท่านโกหกข้าไม่ได้เด็ดขาด ในเมื่อท่านยินยอมพูดความจริงออกมาเช่นนี้ ข้าก็จะจ่ายให้ท่านเต็มราคาก็แล้วกัน”
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงกัดฟันจ่ายศิลาบูชาไปหนึ่งหมื่นก้อน
นั่นเท่ากับเป็นจำนวนหนึ่งในสามของศิลาบูชาที่เขามีอยู่ทั้งหมด
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินสามารถค้าขายในแอป Xianyu จนมีเงินเก็บเป็นศิลาบูชาถึงสามหมื่นห้าพันก้อน
ด้วยเหตุนี้ ถึงศิลาบูชาจำนวนหนึ่งหมื่นก้อนจะไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ
แต่ใช่ว่าหลินเป่ยเฉินจะจ่ายไม่ได้
เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หลินเป่ยเฉินจึงยอมกัดฟันจ่ายออกไป
แม้ในใจจะรู้สึกเจ็บปวดก็ตาม
“เอาล่ะ นับจากนี้ไป ข้าจะดูแลเรื่องตำแหน่งเซียนกระบี่ให้เจ้าเอง ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น ข้ารับปากเลยว่าเจ้าจะสามารถปลดผนึกพลังทั้งหมดของตำแหน่งเซียนกระบี่ได้อย่างครบถ้วน” เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเก็บศิลาบูชาไปอย่างรวดเร็ว ก่อนพูดต่อ “ที่เหลือเจ้าก็แค่ต้องจ่ายค่าลงทะเบียนเท่านั้น”
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
“เจ้าอย่าได้มองพี่สาวเช่นนี้ คราวนี้ ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริง ๆ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรีบอธิบายด้วยความลนลาน “มันคือค่าลงทะเบียนเข้าร่วมแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ เจ้าจะเข้าร่วมแข่งขันด้วยไม่ใช่หรือไร?”
“เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ทำไมข้าถึงต้องเป็นคนจ่ายค่าลงทะเบียนด้วย?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับตนเองด้วยความปวดหัว “ข้าเพียงแอบลักลอบเข้ามาในดินแดนทวยเทพเพื่อค้นหาความสนุกเท่านั้น ไม่ได้จะมาเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อพวกท่านสักหน่อย อีกอย่าง การแข่งขันเหล่านี้เป็นแผนการของท่าน แล้วทำไมท่านไม่จ่ายเอง?”
“น้องชาย พูดเช่นนี้ออกจะทำร้ายจิตใจกันเกินไปหน่อยแล้วกระมัง”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเศร้าทั้งโกรธเคือง “ข้าพาเจ้ามาที่ดินแดนทวยเทพ โดยที่เจ้าไม่ต้องเสียอะไรเลยสักเหรียญเดียว อีกทั้งข้ายังต้องหาเส้นสายนำชื่อเจ้าไปเข้าร่วมการแข่งขัน เจ้าคิดว่าทั้งหมดนี้ไม่ต้องใช้เงินหรือ? และข้าก็กำลังจะซื้ออาวุธชิ้นใหม่ให้กับเจ้า เจ้าคิดว่ามันไม่ต้องใช้เงินใช่หรือไม่? น้องชาย เจ้าจะรู้ไหมนะว่าเงินเก็บของข้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ต้องหมดไปเพราะเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะขึ้นทันควันโดยการถามว่า “เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่จะเป็นผู้สนับสนุนของเราไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมท่านไม่ให้นางเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดล่ะ?”
“บอกตามตรง เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่นางยังไม่ได้รับปากว่าจะเป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าหรือไม่ การแข่งขันในครั้งนี้ มีพลเมืองอัจฉริยะมากมายต่างก็มาขอให้นางเป็นผู้สนับสนุน ที่นางยอมมาพบเจ้าในวันนี้ ก็เพราะเห็นแก่หน้าข้าล้วน ๆ ตอนนี้อย่าหวังพึ่งพาผู้อื่นเลย เจ้าจ่ายค่าลงทะเบียนมาก่อนเถอะ อย่างน้อยต่อให้เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนของพวกเรา เจ้าก็ยังได้เข้าร่วมการแข่งขันอยู่ดี”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอธิบายทุกอย่างด้วยความชัดเจนและตรงไปตรงมา
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วขบคิดอย่างระมัดระวัง
ดูเหมือนนางคงไม่ได้หลอกลวงเขา
“ค่าลงทะเบียนเท่าไหร่?”
หลินเป่ยเฉินถามหน้าบึ้ง
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่ม หัวใจก็กระตุกวูบ พูดออกมาว่า “ค่าลงทะเบียนไม่แพง ใช้ศิลาเทวะเพียงสามสิบก้อนเท่านั้น”
ศิลาเทวะสามสิบก้อน?
เท่ากับศิลาบูชาสามพันก้อน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจอีกครั้ง
เด็กหนุ่มลังเลใจอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็กลั้นใจนำศิลาบูชาสามพันก้อนออกมาจ่ายแต่โดยดี
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรับศิลาบูชาเหล่านั้นไปเก็บด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข “เจ้าวางใจเถอะ เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลง การลงทุนของเจ้าในครั้งนี้จะได้ผลตอบแทนกลับคืนมามหาศาล… ส่วนเรื่องราวต่อจากนี้ ขอให้เจ้าทำตามแผนของข้าก็พอ”
“เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่จะยอมเป็นผู้สนับสนุนให้เราหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเจ้าหลังจากนี้ ในพื้นที่เขต 2 ของแดนตะวันตกเฉียงเหนือมีหอสุราอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าของหอสุราแห่งนี้ทุกคนต่างก็เรียกขานนางว่าแม่นางหมิง งานอดิเรกของนางคือการชอบรับบุตรบุญธรรมหนุ่ม ๆ ดังนั้น…”
ว่าไงนะ
หลินเป่ยเฉินลุกพรวดขึ้นยืนโวยวายว่า “ช้าก่อน ท่านคงไม่ได้อยากให้ข้าไปสมัครเป็นบุตรบุญธรรมของแม่นางหมิงหรอกกระมัง?”
นี่มันมากเกินไปแล้ว
เขาย่อมรู้ดีว่าบุตรบุญธรรมนั้นคงไม่ได้เป็นบุตรบุญธรรมจริง ๆ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงต้องการจะให้เขาทำเรื่องบัดสีเช่นนั้นหรือ?
ไม่มีทางเด็ดขาด
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวว่า “แม่นางหมิงผู้นี้เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเยี่ยเฉิง และนางก็ยังไม่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน”
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนพูด “แต่งงานแล้วหรือยังไม่แต่งงานหาใช่สิ่งสำคัญไม่ นางจะสวยงามหรือขี้ริ้วขี้เหร่ก็หาใช่สิ่งสำคัญไม่ เพราะหลินเป่ยเฉินคนนี้จะไม่ยอมเอาตัวเข้าแลกเด็ดขาด หากไม่เห็นแก่หน้าท่าน ข้าก็คงไม่มีทางยอมเข้าพบแม่นางหมิงอะไรนั่นเด็ดขาด…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกนิ้วโป้งเป็นเชิงชื่นชมเขา “สมแล้วที่เป็นน้องชาย คำพูดของเจ้านี่ช่างยืดได้หดได้ทุกสถานการณ์จริง ๆ…”
“เดี๋ยวก่อน คำว่ายืดได้หดได้มันเอามาใช้กับคำพูดไม่ได้นะ”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเคยเรียนหนังสือบ้างไหมเนี่ย นางรู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังพูดอะไรออกมา?
“มันก็ความหมายเดียวกันนั่นแหละน่า”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงทำสีหน้าเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
นางสะบัดผมทวินเทลของตนเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงคึกคักแจ่มใส “ในเมื่อเจ้าไม่คัดค้าน ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน เจ้าอยากแต่งกายอย่างไรล่ะ ข้าจะไปหาเสื้อผ้ามาให้ หลังจากนั้น พวกเราก็รอฟังข่าวจากเทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่… หืม? ข้าไม่ทันได้สังเกต นี่เจ้าสวมใส่เสื้อผ้าของผู้คนบนดินแดนทวยเทพแล้วหรือ อย่าบอกนะว่าก่อนที่เจ้าจะขึ้นมาที่นี่ เจ้าได้ซื้อหาเสื้อผ้าเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว?”
เตรียมเอาไว้ล่วงหน้ากับผีน่ะสิ
เป็นเพราะท่านคนเดียวแท้ ๆ ที่ไม่มารอรับตามคำสัญญา ข้าจึงต้องไปหาเสื้อผ้าของผู้คนบนดินแดนทวยเทพมาสวมใส่เช่นนี้
หลินเป่ยเฉินอดคิดด้วยความโกรธแค้นไม่ได้
ดังนั้น เขาจึงบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกไป
“เจ้ามาถึงก่อนกำหนดอย่างนั้นหรือ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าทำอะไรที่ข้าไม่รู้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ได้ทำ”
“ถ้าอย่างนั้นประตูมิติจะส่งเจ้าเดินทางมาถึงก่อนกำหนดได้อย่างไร? หรือว่าเจ้ามีคนรู้จักอยู่ในดินแดนทวยเทพ?”
ไม่ว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
สุดท้าย นางก็เลิกคิดและเลิกตั้งคำถาม
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือลูบผมทวินเทลของตนเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “หากเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องรีบแยกตัวออกมาจากตระกูลฮันให้เร็วที่สุด สิ่งที่พวกเรากำลังจะทำมีความเสี่ยงมากเกินไป หากผู้คนรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ลักลอบเข้าเมือง ตระกูลฮันที่ช่วยเหลือเจ้าก็อาจจะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย”
“หืม? นี่ท่านรู้จักเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นด้วยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่ายัยเทพีจอมหลอกลวงจะมีมุมนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน