ตอนที่ 1,192 เรื่องราวบานปลาย
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่กลุ่มชาวบ้าน
ในกลุ่มชาวบ้านเหล่านั้นมีผู้คนส่วนหนึ่งที่พยายามปลุกปั่นสถานการณ์ตลอดเวลา
หลินเป่ยเฉินกระโดดเข้าใส่กลุ่มชาวบ้าน
ทุกคนเห็นโลหิตสาดกระจาย
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
ชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งลอยกระเด็นออกไป
“โอ๊ย”
“อ๊าก…”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ก่อนที่ร่างของชายฉกรรจ์เหล่านั้นจะตกกระแทกพื้นดิน
พวกเขาถูกเท้าของหลินเป่ยเฉินเตะกระเด็นออกมา
‘เสี่ยวเซวี่ย เจ้ามาดูหน่อยสิว่าพอจะจดจำผู้ใดได้บ้างหรือไม่’
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความในอากาศ
“พี่สื่อซัน พี่ต้าหรง… พี่จางชุน พวกท่าน…”
ฮันลั่วเซวี่ยจดจำหนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ได้ดี เพราะพวกเขาคือเพื่อนสนิทของหรานจื่อชุนนั่นเอง
“ส่วนคนที่เหลือข้าไม่รู้จัก”
นางหันกลับมาพูดกับหลินเป่ยเฉิน
‘พวกเขานี่แหละที่คอยยุแหย่ชาวบ้าน’
‘พวกเขาและหรานจื่อชุนร่วมมือกันใส่ร้ายป้ายสีเจ้ากับข้า’
‘ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของหรานจื่อชุนมาตั้งแต่ต้น’
หลินเป่ยเฉินใช้ปลายนิ้วเขียนข้อความในอากาศอย่างต่อเนื่อง
“ว่าไงนะ?”
“ไม่มีทาง ผู้เฒ่าฮันเก็บจื่อชุนมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กนะ”
“จื่อชุนเป็นคนจิตใจดีงามถึงเพียงนี้ เขาจะสามารถทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
บรรดาเพื่อนบ้านยังคงส่งเสียงคัดค้าน
แต่ก็เริ่มมีชาวบ้านบางส่วนที่มีจิตใจเคลือบแคลงสงสัย หลังจากลอบปรึกษาหารือกันแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าสิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดออกมาไม่ใช่เรื่องโกหก
‘เสี่ยวเปา’
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความในอากาศอีกครั้ง ‘ออกมานี่’
เด็กน้อยยังคงซ่อนตัวอยู่ด้านหลังป้าหลิวด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าอย่าได้ข่มขู่เด็กน้อย…” ป้าหลิวส่งเสียงตวาด
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปจ้องมองด้วยแววตาอำมหิต
ป้าหลิวตื่นกลัวจนตัวแข็งค้างและไม่กล้าพูดคำใดออกมาอีก
หลินเป่ยเฉินหยิบลูกอมออกมาเม็ดหนึ่งและยื่นส่งให้แก่ฮันลั่วเซวี่ย ก่อนจะเขียนข้อความต่อไป ‘เจ้าไปถามเขาว่าผู้ใดเป็นคนสั่งให้พูดเช่นนั้น ตราบใดที่เสี่ยวเปาพูดความจริงออกมา ลูกอมเม็ดนี้จะเป็นของเขา แต่ถ้าเขายังไม่ยอมเปิดปากพูด ข้าจะสังหารครอบครัวของเขาทั้งหมด’
ฮันลั่วเซวี่ยเข้าใจดีว่าหลินเป่ยเฉินมีเจตนาเพียงต้องการข่มขู่ แต่นางยังไม่ทันได้ขยับเท้าก้าวออกไปข้างหน้าด้วยซ้ำ
“พี่จื่อชุนเป็นคนบอกให้ข้าพูดเช่นนั้น”
เสี่ยวเปามีอายุได้สิบขวบแล้ว เขาจึงพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินแสดงสีหน้าดุร้ายอำมหิตถึงเพียงนี้และได้รู้ว่าตนเองจะได้รับประทานขนมแสนอร่อย เด็กน้อยจึงพูดความจริงออกมาโดยไม่ปิดบัง
หรานจื่อชุนมอบเค้กน้ำตาลให้เด็กน้อยหกชิ้นเพื่อขอให้เขาพูดตามที่บอก
ทันใดนั้น กลุ่มเพื่อนบ้านล้วนตกตะลึง แทบพูดอะไรไม่ออก
ความจริงได้เปิดเผยออกมาแล้วว่าแผนการทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของหรานจื่อชุนมาตั้งแต่ต้น และชายหนุ่มก็มีเจตนาใส่ร้ายป้ายสีฮันลั่วเซวี่ย
“ถ้าอย่างนั้น ความตายของเฒ่าฮันก็…”
ใครคนหนึ่งกระซิบบอกมา
ใช่แล้ว
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ หรานจื่อชุนจึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในการวางยาพิษฮันหลี่
“ท่านมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ฮันลั่วเซวี่ยเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหรานจื่อชุน ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง น้ำเสียงที่ถามออกมาแข็งกระด้างเย็นชา
หรานจื่อชุนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา
แสยะยิ้ม
“ข้าไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้น”
“เหอเหอเหอ เจ้าคิดหรือว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะจบลงแต่เพียงเท่านี้? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”
หรานจื่อชุนหันหน้าไปจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเย้ยหยัน “เจ้าใบ้น้อย เจ้าไม่รู้เสียแล้วว่าตนเองกำลังเล่นอยู่กับผู้ใด ฮ่า ๆๆ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าข้าเป็นคนของสำนักหนามทมิฬ”
หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็รอที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
แต่เด็กใบ้ก็ยังคงมีสีหน้าสงบสุขุมดังเดิม
ในทางกลับกัน กลุ่มเพื่อนบ้านเมื่อได้ยินคำนั้น พวกเขาก็แตกฮือราวกับผึ้งแตกรัง
บางคนรีบหันหลังวิ่งหนีไปทันที
สีหน้าของฮันลั่วเซวี่ยแปรเปลี่ยนไปแล้ว
สำนักหนามทมิฬก็เป็นเช่นเดียวกับสำนักไพรเถื่อนและสำนักเงาภูต พวกมันถือเป็นสำนักอันธพาลที่ใหญ่ที่สุดในเขตพื้นที่ระดับ 3 พลเมืองธรรมดาไม่กล้าไปมีเรื่องกับพวกมันเด็ดขาด กล่าวได้ว่าสำนักอันธพาลเหล่านี้ คือเนื้อร้ายที่คอยกัดกินสังคมพลเมืองตลอดมา
ในเขตพื้นที่ระดับ 3 แห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือ มีผู้ใดบ้างกล้ามีปัญหากับพวกมัน?
สำนักอันธพาลสามารถกระทำได้ทุกอย่าง
“ฮ่า ๆๆ เจ้าใบ้หน้าโง่ เจ้าตายแน่ เจ้าต่อสู้เก่งนักใช่ไหม? คอยดูเถอะ เมื่อคนจากสำนักหนามทมิฬมาถึงเมื่อไหร่ ข้าจะให้เจ้าได้สู้จนตัวตาย”
หรานจื่อชุนพูดออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างอำมหิต
แต่เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
เพียะ!
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นตบหน้าหรานจื่อชุนฉาดใหญ่
หรานจื่อชุนถูกตบจนหน้าหัน เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจมูก ฟันสีขาวกระเด็นหลุดออกจากปาก
แต่ก็ยังฝืนยิ้มออกมาได้
เขาหันกลับมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาดุร้ายไม่กลัวเกรง
นับว่าใจแข็งน่าชื่นชม
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจอะไรอีก
สำหรับบุคคลใจทมิฬเช่นนี้ การฆ่าให้ตายออกจะเป็นการลงโทษที่สบายมากเกินไป
ต้องทรมานให้ตายอย่างช้า ๆ เท่านั้น
“พี่ใบ้ พี่รีบหนีไปเถอะ”
ฮันลั่วเซวี่ยสลัดหลุดออกมาจากความตกตะลึง นางรีบวิ่งเข้ามาเขย่าแขนหลินเป่ยเฉิน “นี่คือเรื่องราวของตระกูลฮัน ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับท่าน ท่านรีบหนีไป…”
“หา? จะให้มันหนีไปตอนนี้เนี่ยนะ สายเกินไปแล้วกระมัง?”
“เจ้าทำร้ายพวกเรา เจ้าทำร้ายพี่ใหญ่จื่อชุน เจ้าลบหลู่ดูหมิ่นสำนักหนามทมิฬ แล้วเจ้าจะหนีไปที่ไหนได้อีก? ครั้งนี้แหละ เจ้าหนีไม่รอดแน่”
“เจ้ากล้ามีเรื่องกับพวกเรา ในพื้นที่เขต 3 แห่งนี้… ไม่ใช่สิ ในแดนพายัพแห่งนี้ ไม่มีที่ให้เจ้าสามารถหลบหนีไปอีกแล้ว”
บรรดากลุ่มชายฉกรรจ์ที่ถูกหลินเป่ยเฉินเตะกระเด็นออกไปก่อนหน้านี้กลับลุกขึ้นมาส่งเสียงด้วยความเกรี้ยวกราด
หลินเป่ยเฉินไม่พูดคำใด แต่เดินตรงไปหาพวกเขา
กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ! กร๊อบ!
ชายฉกรรจ์เหล่านั้นถูกเตะเข้าไปที่หัวเข่า กระดูกหัวเข่าแตกหัก ส่งผลให้ตัวคนล้มลงไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าโลงศพของฮันหลี่หมดสิ้น
หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว จึงร้องเสียงโหยหวนออกมาขณะล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นดิน
ป๊อก!
หลินเป่ยเฉินยกมือดีดนิ้วหนึ่งครั้ง
รังสีกระบี่สายหนึ่งพุ่งเข้าไปหาศีรษะของชายฉกรรจ์คนนั้น
บังเกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้นในกระท่อมตั้งศพ
เป็นเสียงกรีดร้องของชาวบ้านที่ถอยหนีออกไปด้วยความตื่นกลัว
ไม่มีใครคิดเลยว่าหนุ่มใบ้ผู้นี้จะมีความอำมหิตถึงขั้นที่สามารถฆ่าคนได้ไม่ต่างจากฆ่ามดแมลงตัวหนึ่ง
เมื่อพวกของหรานจื่อชุนคนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่กล้าก่อกวนสถานการณ์อีกต่อไป ทุกคนได้แต่ทนเจ็บปวดนั่งคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพ ต่อให้เจ็บปวดแสนสาหัส ก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมาสักคำ…
หรานจื่อชุนยังคงจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาโกรธแค้น
สีหน้าของเขาบอกชัดถึงความท้าทายในทำนองที่ว่า “หากเจ้าแน่จริง ก็ฆ่าข้าสิ”
ค่อนข้างเหิมเกริม
หลินเป่ยเฉินเลิกให้ความสนใจไปที่หรานจื่อชุน
แต่เขากำลังจ้องมองไปทางประตู
“ไปเถอะ เจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย”
อู๋เหว่ยเข้ามาช่วยเกลี้ยกล่อมอีกคน “เจ้าใบ้ เจ้าเป็นคนดี รีบหนีไป อย่าต้องมาเดือดร้อนเพราะพวกเราตระกูลฮันเลย”
‘ท่านป้า’
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างอบอุ่นให้แก่หญิงชรา ก่อนจะเขียนข้อความในอากาศว่า ‘ข้าเองก็ยึดถือตนเป็นหนึ่งในคนของตระกูลฮันเช่นกัน ท่านกับท่านลุงเลี้ยงดูข้าไม่ต่างจากบุตรชายแท้ ๆ ไม่ใช่หรือ? นับจากนี้ไป ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ข้าในฐานะบุตรบุญธรรมของพวกท่าน ก็จะขอแบกรับทุกอย่างเอาไว้เอง’
ดวงตาของฮันลั่วเซวี่ยพลันกลับมาแดงก่ำอีกครั้ง
ทันใดนั้น ดูเหมือนนางจะกลับมามีสติแจ่มใส เด็กสาวรวบรวมความกล้าหาญโผเข้าไปสวมกอดหลินเป่ยเฉินแนบแน่น
หลินเป่ยเฉินเพียงยกมือขึ้นลูบศีรษะนางและเขียนข้อความว่า ‘ไม่ต้องห่วง วันนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะต้องมอบคำอธิบายให้แก่บิดาของเจ้าให้จงได้’
…
ด้านนอกโรงเตี๊ยม
บนถนนสายหนึ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นในลานด้านหลังโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย อยู่ภายใต้การเฝ้ามองของผู้คนตลอดเวลา
มือกระบี่จำนวนมากเมื่อได้ยินเรื่องราวนี้ พวกเขาต่างก็อยากมาสังเกตการณ์เพื่อค้นหาความจริง
โดยเฉพาะผู้เฒ่าฮันเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาธรรม คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากไม่เคยขาดหาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชายชราจึงอยู่ในใจของมือกระบี่นักผจญภัยเสมอ
แต่เมื่อได้ข่าวว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับสำนัก ‘หนามทมิฬ’ บรรดามือกระบี่นักผจญภัยเหล่านั้นกว่าเก้าจากสิบส่วนก็ถึงกับหันหลังหนีไปแล้ว
ในห่วงโซ่อาหารชั้นล่างสุดของเมืองเยี่ยเฉิง สำนักอันธพาลเช่นนี้ไม่ต่างไปจากงูพิษ พวกมันซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดอย่างดุร้ายอำมหิต และสามารถเล่นงานทุกคนที่ขวางหน้าโดยไม่ต้องอาศัยเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น
ดังนั้นทุกคนจึงหลีกเลี่ยงที่จะไม่ข้องเกี่ยวกับพวกมัน
สำนักอันธพาลเหล่านี้สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการวางยาพิษ วางกับดัก ลักพาตัว ลอบสังหาร… แม้แต่ตระกูลขุนนางเทวะระดับสูงก็ยังเคยเสียชีวิตด้วยฝีมือของสำนักอันธพาลเหล่านี้มาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นมือกระบี่นักผจญภัยที่เก่งกาจเพียงใด ก็ไม่มีใครอยากจะข้องเกี่ยวกับสำนักอันธพาลเหล่านี้… หรือถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาไม่อยากจะอยู่ร่วมสถานที่เดียวกันกับผู้คนของสำนักอันธพาลด้วยซ้ำ
หลงเหลือมือกระบี่นักผจญภัยอยู่สังเกตการณ์ต่อไปเพียงไม่กี่คน
เมื่อพวกเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนก็นิ่งเงียบ
ดวงตาจ้องมองตรงไปที่หลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้หล่อเหลาราวกับเทพเจ้า
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าประตูกระท่อมตั้งศพ ด้านหลังเป็นพวกของหรานจื่อชุนที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าโลงศพ โลหิตไหลทะลักออกมาจากหัวเข่าของกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นไหลนองเต็มพื้นดิน ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มในชุดขาวดูงามสง่าน่าเคารพเลื่อมใสมากกว่าเดิม
ด้วยความหล่อเหลาและบุคลิกที่สูงเช่นนี้ เด็กหนุ่มไม่ควรมาปรากฏกายอยู่ที่นี่เลย
แต่เขาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว
เด็กหนุ่มกำลังรอคอย
เขากำลังรอคอยผู้ใด?
ใช่กำลังรอคอยการมาถึงของกลุ่มคนจากสำนักหนามทมิฬหรือไม่?
นับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีขวัญกำลังใจกล้าหาญนัก
แต่ในโลกใบนี้ ขวัญกำลังใจกล้าหาญแต่เพียงอย่างเดียวมีประโยชน์อันใด?
บรรดามือกระบี่นักผจญภัยที่อยู่สังเกตการณ์ต่อไปอดถามตนเองออกมาไม่ได้
ด้านนอกกำแพงลานด้านหลัง มีรถม้าสีดำคันหนึ่งจอดอยู่
มันเป็นรถม้าที่ไม่มีตราสัญลักษณ์ของผู้ใดแปะอยู่ทั้งสิ้น ทว่า สัตว์อสูรที่นำมาฉุดลากรถม้านั้นเป็นอสูรลมกรดที่ถูกจับตัวออกมาจากหุบเขาอเวจี ซึ่งเพียงเท่านี้ก็แสดงให้ทุกคนได้รู้แล้วว่าผู้ที่อยู่ในรถม้าย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดา
สารถีผู้ควบคุมรถม้าสวมใส่เสื้อคลุมสีดำปิดบังใบหน้า มองเห็นเพียงหนวดเคราสีแดงที่งอกยาวลงมาจากใต้คาง ลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต สองแขนอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อปูดโปน ข้างเอวสะพายกระบี่เล่มหนึ่ง ในมือถือแส้ตีม้าอยู่ด้ามหนึ่ง…
“กราบเรียนนายหญิง คนของสำนักหนามทมิฬกำลังจะมาถึงแล้ว พวกเรารีบไปก่อนดีหรือไม่?”
คนขับรถม้ากระซิบถามแผ่วเบา
“อยู่สังเกตการณ์ไปก่อน”
เสียงที่อ่อนหวานของสตรีนางหนึ่งดังตอบกลับมาจากด้านในห้องโดยสาร “เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้น่าสนใจยิ่ง มาดูกันเถอะว่าเขาวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไป”
“รับทราบขอรับ”
คนขับรถม้าตอบรับด้วยความเคารพ
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
พื้นดินพลันเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย
มันคือแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจากการเดินขบวนของกลุ่มคนจำนวนมาก
โดยเฉพาะกลุ่มคนเหล่านี้ที่เป็นมือกระบี่ พวกเขามีพลังปราณรุนแรง เสียงฝีเท้าที่กระทบพื้นดินนับพันคนส่งผลให้พื้นดินสั่นสะเทือน ย่อมสามารถข่มขวัญกำลังใจของผู้คนธรรมดาได้มากมายแล้ว
นี่คือกลุ่มคนของสำนักหนามทมิฬ
พวกมันมาถึงแล้ว
บรรดาผู้คนที่อยู่สังเกตการณ์เริ่มหัวใจสั่นไหวด้วยความตื่นตระหนก
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นว่าสำนักหนามทมิฬยกกำลังพลมามืดฟ้ามัวดิน ปิดล้อมทางเข้าออกของโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยทั้งสี่ทิศแปดทาง ไม่เปิดโอกาสให้มีผู้ใดหนีรอดออกไปได้แม้แต่คนเดียว
นี่คือการรวมพลคนของสำนักหนามทมิฬครั้งใหญ่มากที่สุดใช่หรือไม่?
“ดูสิ นั่นมันเจี๋ยหร่า ประมุขน้อยของสำนักหนามทมิฬไม่ใช่หรือ?”
มือกระบี่หนุ่มผู้หนึ่งที่สังเกตการณ์อยู่บนหลังคาตึกอุทานออกมา
ประมุขน้อยของสำนักหนามทมิฬถึงขั้นออกโรงเองเชียวหรือ?
เหตุการณ์ครั้งนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน!!