ตอนที่ 1,195 สะท้านแผ่นดิน
ถึงเขาจะรู้ว่าเจ้าเด็กใบ้แข็งแกร่งผิดปกติ และด้วยจิตใจอันกล้าหาญนั้น เจ้าเด็กใบ้ก็คงต้องต่อสู้กับกลุ่มคนของสำนักหนามทมิฬโดยไม่ลังเล และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าเด็กใบ้จะรอดชีวิต
แต่ใครจะไปคิดเลยว่าสำนักหนามทมิฬกลับถูกกวาดล้างโดยน้ำมือของเจ้าเด็กใบ้ผู้นี้
หรานจื่อชุนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นตัวตลก
เขาเศร้าเสียใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘นึกกลัวขึ้นมาแล้วล่ะสิ?’
‘ไม่ทำตัวดุร้ายแล้วหรือ?’
ข้อความสองบรรทัดนั้นปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหรานจื่อชุน
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยมันไม่ใช่คน ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย…”
หรานจื่อชุนรีบโขกศีรษะคำนับพื้นดินด้วยความบ้าคลั่ง ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของตนเองอีกแล้ว
เขาหันหน้าไปหาฮันลั่วเซวี่ยและร่ำร้องว่า “เสี่ยวเซวี่ย เจ้าจำได้หรือไม่? ข้าเคยช่วยเหลือครอบครัวของเจ้ามากมายเพียงใด และเพื่อปกป้องเจ้า ข้าถึงกับยอมถูกพวกอันธพาลรุมทำร้าย…”
หรานจื่อชุนหมุนตัวหันไปโขกศีรษะคำนับให้กับอู๋เหว่ยและกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว แต่ข้าคอยช่วยเหลือพวกท่านมาหลายปี ท่านแม่ได้โปรดเมตตาข้าด้วย…”
‘ตอนที่เจ้าวางยาพิษท่านผู้เฒ่าฮัน ทำไมถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าท่านผู้เฒ่าดีกับเจ้ามากเพียงใด?’
ตัวอักษรลอยขึ้นมาในอากาศอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่หรานจื่อชุนด้วยแววตาคมกริบยิ่งกว่ากระบี่
“สัตว์นรก”
ฮันลั่วเซวี่ยจ้องมองชายฉกรรจ์ด้วยแววตาอาฆาตแค้น
อู๋เหว่ยกัดฟันกรอดกล่าวว่า “ถึงเราเลี้ยงดูเจ้ามาอย่างดีเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจที่โหดร้ายอำมหิตของเจ้าได้ หากไม่ใช่เพราะว่าตาเฒ่าฮันช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ เจ้าก็คงนอนแข็งตายอยู่ข้างถนนไปแล้ว ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเด็กน้อยที่พวกเรารับมาเลี้ยงในวันนั้น สุดท้ายจะกลายมาเป็นงูพิษเนรคุณคนเช่นนี้”
‘หากให้ข้าฆ่าเขาเอง เขาคงตายสบายเกินไปหน่อย’
กลุ่มตัวอักษรลอยตัวขึ้นในอากาศ หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าฮันลั่วเซวี่ยและตวัดปลายนิ้ว ‘เจ้าอยากจะแก้แค้นให้แก่บิดาหรือไม่?’
กระบี่เล่มหนึ่งถูกส่งให้ฮันลั่วเซวี่ย
ฮันลั่วเซวี่ยไม่ลังเล
นางยื่นมือมารับกระบี่ด้วยมือที่ขาวซีดและสั่นเทา
“เสี่ยวเซวี่ย ไม่นะ…”
หรานจื่อชุนเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนก
แต่หลินเป่ยเฉินก็ปลดปล่อยพลังคุกคาม ทำให้ชายฉกรรจ์ไม่สามารถพูดออกมาได้อีก
“ตายซะเถอะ เจ้าคนเนรคุณ”
ฮันลั่วเซวี่ยร่ำร้องออกมาด้วยเสียงอันแหบแห้ง ก่อนที่กระบี่ในมือของนางจะแทงเข้าใส่ร่างกายของหรานจื่อชุน
สวบ! สวบ! สวบ! สวบ! สวบ!
บุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมไม่เคยฆ่าคนมาก่อน มือที่ถือกระบี่ของนางจึงสั่นไหวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่คมกระบี่ทิ่มแทงร่างกายฝ่ายตรงข้าม
หรานจื่อชุนเลือดไหลท่วมตัว ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความทรมาน
เนื่องจากกระบี่ในมือของฮันลั่วเซวี่ยไม่ได้แทงเข้าสู่จุดตาย
ไม่ทราบเลยว่าหรานจื่อชุนถูกแทงไปทั้งหมดกี่กระบี่ เสียงร่ำร้องขอความเมตตาจึงเงียบลง
ร่างกายของเขาเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต ชายฉกรรจ์ไม่รู้เลยว่าตนเองถูกแทงไปกี่กระบี่ สุดท้ายร่างของเขาก็ล้มลงไปกับพื้นดิน
ในที่สุด ฮันลั่วเซวี่ยก็ได้แก้แค้นแล้ว
นางยังคงถือกระบี่ในมือไม่ยอมปล่อย
อีกทั้งยังไม่ได้มีสีหน้าคลื่นไส้อาเจียนหลังจากฆ่าคนอีกด้วย
เด็กสาวมีสีหน้าหนักแน่นมั่นคงมากกว่าที่เคยเป็นมา
อู๋เหว่ยผู้ยืนอยู่ด้านข้างพยายามซ่อนเร้นสีหน้าที่เศร้าโศก
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปมองทางกลุ่มคนที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าโลงศพ
คนเหล่านี้ร่วมมือกับหรานจื่อชุนปั่นป่วนสถานการณ์ เมื่อพบว่าหลินเป่ยเฉินกำลังจ้องมองมาที่ตนเอง กลุ่มสหายของหรานจื่อชุนก็รู้สึกไม่ต่างจากกำลังสบตาอยู่กับความตาย พวกมันได้แต่ส่งเสียงอ้อนวอนร้องขอชีวิต
วูบ! วูบ! วูบ!
ลำแสงกระบี่พุ่งเข้ามา
ทะลวงศีรษะของชายฉกรรจ์เหล่านั้น
หลินเป่ยเฉินไม่เคยมีความเมตตาให้แก่คนชั่วร้ายเช่นนี้
สำหรับกลุ่มคนเช่นพวกของหรานจื่อชุน หากปล่อยให้รอดชีวิตต่อไป ก็มีแต่จะเป็นภัยคุกคามต่ออู๋เหว่ยกับฮันลั่วเซวี่ยสองแม่ลูกในอนาคตเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลินเป่ยเฉินตัดสินใจกวาดล้างสำนักหนามทมิฬในวันนี้
เขาไม่ได้จะอยู่ในดินแดนทวยเทพตลอดไป
หากหลินเป่ยเฉินไม่กำจัดพวกมันทิ้งให้สิ้นซาก ตอนที่เขาไม่อยู่แล้ว สำนักหนามทมิฬก็จะกลับมาคุกคามอู๋เหว่ยกับฮันลั่วเซวี่ยได้อีกครั้ง ดังนั้นการถอนรากถอนโคนจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
แต่หลังจากนี้ หลินเป่ยเฉินจะทำอย่างไรต่อไป?
เมื่อไม่มีผู้เฒ่าฮัน สองแม่ลูกก็คงอยู่ที่นี่ไม่ได้อีก เพราะมันจะไม่ปลอดภัยสำหรับชีวิตพวกนาง แต่หากจะให้พวกนางย้ายไปอยู่ที่อื่น สองแม่ลูกจะย้ายไปอยู่ที่ไหน?
อีกอย่าง วันนี้หลินเป่ยเฉินฆ่าคนจำนวนมากในไม่กี่ลมหายใจ นี่ถือเป็นเรื่องที่จะละเมิดกฎทวยเทพหรือไม่?
หากนี่เป็นการละเมิดกฎ ไม่ทราบว่าอู๋เหว่ยกับฮันลั่วเซวี่ยจะพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่?
เอ่อ…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
ไม่ทราบเลยว่ากฎหมายในดินแดนทวยเทพ แตกต่างจากกฎหมายบนโลกมนุษย์มากเพียงใด
ตึก! ตึก! ตึก!
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ห้วงคิดของหลินเป่ยเฉินถูกทำลายลง เขาหันหน้ามองไปทางเสียงฝีเท้าด้วยความตื่นตระหนก
ต่อจากนั้นจึงได้เห็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ยักษ์ที่สูงมากกว่าเก้าเซี๊ยะผู้หนึ่งเดินเข้ามา ชายฉกรรจ์คนนี้สวมใส่เสื้อคลุมสีดำปิดบังใบหน้า มองเห็นแต่เพียงหนวดเคราใต้คางที่งอกยาวออกมาเท่านั้น
นี่ไม่ใช่คนธรรมดา
พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายแข็งแกร่งมากกว่าประมุขน้อยเจี๋ยหร่าเสียอีก
“ไม่ต้องกลัว ข้ามาดี”
ชายฉกรรจ์เครายาวพูดภาษาเทพออกมา
เขาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน จากนั้นจึงล้วงหยิบแผ่นหยกครึ่งซีกออกมาจากด้านในอกเสื้อและถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่เฒ่าฮันรู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”
อู๋เหว่ยมองแผ่นหยกนั้นด้วยความสงสัย แต่แล้วนางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า “นี่คือ… ขอข้าดูใกล้ ๆ ได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหยิบแผ่นหยกออกมาจากมือของชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำ หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าหยกชิ้นนี้ไม่มีปัญหา เขาจึงส่งมอบไปให้แก่อู๋เหว่ย
“ข้าจำได้แล้ว ท่านพ่อมีแผ่นหยกเช่นนี้อยู่อีกครึ่งหนึ่งเช่นกัน”
หลังฮันลั่วเซวี่ยจ้องมองแผ่นหยกอยู่หลายรอบ นางก็ตัดสินใจพูดออกมา
อู๋เหว่ยจ้องมองชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อคลุมสีดำด้วยความสงสัยและไต่ถามว่า “ท่านเป็นใครหรือ? ใช่แล้ว สามีของข้ามีหยกอีกครึ่งชิ้นอยู่จริง ๆ มันสามารถนำมาประกบกับหยกแผ่นนี้ได้พอดี”
“แม่เฒ่าและคุณหนูรู้ใช่ไหมขอรับว่าท่านผู้เฒ่าฮันมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง น้องชายของท่านผู้เฒ่าเป็นมือกระบี่นักผจญภัย ภายหลังได้พเนจรออกไปจากแดนพายัพ…”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็หัวใจกระตุกวูบ
อู๋เหว่ยนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่างขณะกล่าวว่า “หรือว่า… ท่านคือน้องชายของเขา?”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่รีบก้มศีรษะลงประสานมือคำนับและอธิบายว่า “ข้าน้อยเป็นเพียงคนรับใช้ของใต้เท้าฮันเท่านั้น บัดนี้ ใต้เท้าได้เดินทางกลับมาที่แดนพายัพแล้ว ใต้เท้าสั่งให้ข้าน้อยมารับตัวพวกท่านไปให้เร็วที่สุด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าข้าน้อยจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง ท่านผู้เฒ่าฮันจึงได้… จากพวกเราไปเสียแล้ว”
หืม?
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง
ดูจากสีหน้าและแววตาของอู๋เหว่ยกับฮันลั่วเซวี่ยสองแม่ลูก หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่พูดออกมาคือความจริง
ในที่สุด น้องชายของท่านผู้เฒ่าฮันก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว?
น่าเสียดาย
ที่มาช้าเกินไป
หลังจากปรึกษาหารือกันอยู่สักครู่ อู๋เหว่ยผู้เป็นมารดาก็ตัดสินใจจะเดินทางออกจากเขตพื้นที่ระดับ 3 ไปพร้อมกับชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำนั้นเมื่อพิธีศพของฮันหลี่เสร็จสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น การได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเขตแดนระดับ 2 ยังทำให้ชีวิตของพวกนางปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย
ตระกูลฮันทำงานมาทั้งชีวิตก็เพื่อสิ่งนี้
พวกเขามีความฝันที่จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเขตพื้นที่ระดับ 2
ดังนั้น ในเมื่อขณะนี้โอกาสมาถึงแล้ว อู๋เหว่ยจึงไม่คิดปฏิเสธ
“พี่ใบ้ ท่านก็ไปกับพวกเราด้วยสิ”
ฮันลั่วเซวี่ยเชิญชวน
ชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อคลุมสีดำก็เอ่ยปากชวนเช่นกัน “น้องชายท่านนี้มีฝีมือยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากเจ้ายินดีติดตามพวกเราไปรับใช้นายท่านของข้า ข้าก็เชื่อว่านายท่านจะต้องยินดีต้อนรับเจ้าแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะ
‘ภรรยาของข้ากำลังรอข้าอยู่’
กลุ่มตัวอักษรปรากฏขึ้นในอากาศ
เขายังคงเลือกที่จะอยู่ข้างเทพีกระบี่หิมะไร้นามและจัดการเรื่องราวของแม่นางหมิงต่อไป
ขอแค่อู๋เหว่ยกับฮันลั่วเซวี่ยสองแม่ลูกมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย เด็กหนุ่มก็โล่งใจแล้ว ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องติดตามไปด้วยอีก
“พี่ใบ้ ท่านจะมาหาข้าบ้างหรือไม่?”
ฮันลั่วเซวี่ยถามออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ก่อนเกิดความเปลี่ยนแปลง นางเคยพูดออกมาแล้วว่าตั้งใจจะพาเขาย้ายไปอยู่ด้วยกัน
แต่หลังเกิดเหตุการณ์ในวันนี้ เด็กสาวก็ได้เติบโตขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉิน ฮันลั่วเซวี่ยก็รู้แล้วว่านางกับเขาไม่ใช่คนโลกเดียวกัน นางกับเขาเปรียบดั่งเส้นขนานที่ไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้เด็ดขาด
‘ต้องไปหาอยู่แล้ว’
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยการเขียนข้อความในอากาศ
…
แอ๊ด! แอ๊ด แอ๊ด!
รถม้าสีดำแล่นออกไปอย่างช้า ๆ
“เหตุการณ์ในวันนี้ พวกเราจะช่วยกลบเกลื่อนร่องรอยให้เป็นอย่างดี รับรองว่าไม่มีใครตามมาเอาเรื่องท่านแน่นอน”
เสียงของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ดังออกมาจากรถม้าที่กำลังแล่นห่างออกไป
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจ
เขาอดรู้สึกดีไม่ได้ที่ไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใดเลยกับการกวาดล้างสำนักอันธพาลเหล่านี้
หลินเป่ยเฉินไม่ได้อยู่ที่โรงเตี๊ยมอีกต่อไป แต่เขารีบมุ่งหน้าตรงไปยังฐานบัญชาการของสำนักหนามทมิฬ
เพื่อเก็บกวาดทรัพย์สมบัติของพวกมัน
ในเวลาเดียวกันนี้ ในที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยก็แพร่กระจายออกไป และได้สร้างความสะท้านสะเทือนแผ่นดินในพื้นที่เขต 3 เป็นอย่างยิ่ง
หนึ่งในสามสำนักอันธพาลใหญ่อย่างสำนักหนามทมิฬถูกกวาดล้างและกลายเป็นเพียงอดีต
ผู้คนจากอีกสองสำนักใหญ่ที่เหลืออยู่อย่างสำนักไพรเถื่อนและสำนักเงาภูตต่างก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“กระจายข่าวออกไป บอกพวกเราอย่าไปมีเรื่องกับเจ้าเด็กใบ้เด็ดขาด”
“หากใครกล้าไปมีเรื่องกับมัน ข้าจะสังหารทิ้งทั้งครอบครัว”
สมาชิกระดับสูงของทั้งสองสำนักใหญ่ต่างก็ออกกฎเข้มงวดไม่ให้คนของตนเองไปมีเรื่องกับหลินเป่ยเฉิน
ในเวลาเดียวกันนี้ สำนักต่างๆ ในแดนพายัพล้วนแจ้งเตือนต่อกันถึงการดำรงอยู่ของเด็กหนุ่มชุดขาวในฐานะ ‘ผู้ที่ไม่ควรไปเกี่ยวข้องด้วยเป็นอันขาด’
นอกจากนี้ บางคนยังตั้งฉายาให้แก่หลินเป่ยเฉินว่า ‘นักรบเทวะอันดับหนึ่งแห่งเขตพื้นที่ระดับ 3’ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่แอบเรียกขานเขาเป็น ‘เจ้าบ้าใบ้’ เช่นกัน