ตอนที่ 1,197 แผนการขั้นต่อไป
“ติ๊ง!”
เสียงเตือนที่คุ้นเคยดังขึ้น
‘ตรวจพบการอัปเดตระบบใหม่ล่าสุด ต้องการอัปเดตเลยหรือไม่?’
ข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มด้วยความดีใจ
นับตั้งแต่การอัปเกรดโทรศัพท์ครั้งที่แล้ว การอัปเดตระบบเช่นนี้ก็แทบไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลย
คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้…
หรือมันจะเป็นของรางวัลที่หลินเป่ยเฉินสามารถกวาดล้างสำนักหนามทมิฬได้สำเร็จ?
ดูเหมือนคงต้องรีบกวาดล้างสำนักอันธพาลอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ซะแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินกดเลือกอัปเดตโดยไม่ลังเล
‘อัตราการโอนถ่ายข้อมูลในการอัปเดตระบบรอบนี้อยู่ที่ 20 GB จะใช้เวลาในการดาวน์โหลดสามสิบนาที กรุณาตรวจสอบพลังงานแบตเตอรี่และสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้พร้อมสำหรับการใช้งาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดระหว่างการดาวน์โหลด… ต้องการเริ่มดาวน์โหลดเลยหรือไม่เจ้าคะ?’
เสียงของเสี่ยวจี้ ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะดังขึ้น
หลินเป่ยเฉินกดเริ่มดาวน์โหลดทันที
และความรู้สึกของการถูกดูดพลังที่คุ้นเคยก็บังเกิดขึ้น
“เจ้าเป็นอะไรไป?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของหลินเป่ยเฉิน
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอก พอดีข้าเป็นช่วงวันนั้นของเดือนน่ะ”
หลินเป่ยเฉินตอบออกไปตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “ว่าแต่แผนการต่อจากนี้ ท่านจะเอาอย่างไรต่อ?”
“เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันใด นางคิดว่าตนเองเป็นบุคคลที่ไร้ความรับผิดชอบและพึ่งพาไม่ได้ผู้หนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อนำพาหลินเป่ยเฉินขึ้นมาสู่ดินแดนทวยเทพ เขาจะสร้างปัญหามากมายถึงเพียงนี้
“พวกท่านจะทำอะไรก็ทำกันไปเถอะ ครั้งนี้ข้าได้รู้แล้วว่าการขึ้นมาสู่ดินแดนทวยเทพไม่เห็นมีอะไรดีสักนิด หากพวกท่านไม่มีอะไรแล้ว ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน”
หลินเป่ยเฉินพยายามอดทนอดกลั้นต่อการถูกดูดพลังและเสแสร้งแกล้งทำสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและ ‘แผนการ’ ก็ปรากฏขึ้นมาทันที
“ข้ามีวิธีแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกลัวว่าหลินเป่ยเฉินจะยุติความร่วมมือจริงๆ จึงกล่าวว่า “อิ๋นหวงไหอู่อาจจะมีแผนการบางอย่างก็ได้ นางมีเครือข่ายเทพเจ้ามากกว่าข้า”
“เครือข่ายเทพเจ้า?”
หลินเป่ยเฉินทวนคำด้วยความไม่เข้าใจ
มันคืออะไรกัน?
เป็นวิชาเวทมนตร์หรือขอบเขตขั้นพลังใช่หรือไม่?
“เจ้าเด็กโง่ หากเป็นมนุษย์ก็ต้องเรียกว่ามีเส้นสาย เมื่อเป็นเทพเจ้าก็ต้องเรียกว่ามีเครือข่ายไงล่ะ” เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความเหยียดหยาม
เล่นมองกันด้วยสายตาเช่นนี้…
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผู้ที่พึ่งพาไม่ค่อยได้และมีสติปัญญาโง่เขลา จะกล้าเรียกหาเขาเป็นเจ้าเด็กโง่คนหนึ่ง
นางถามหลินเป่ยเฉินต่อไปว่า
“ก่อนที่เราจะได้แผนการจากอิ๋นหวงไหอู่ เจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ข้าวางแผนที่จะกวาดล้างสำนักอันธพาลในเขตพื้นที่ระดับ 3 ที่เหลืออยู่อีกสองแห่งให้สิ้นซาก” หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเสยผมวางมาดเท่
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือกุมหน้า
“ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเพิ่งก่อปัญหาดีกว่า”
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ “แค่เจ้ากวาดล้างสำนักหนามทมิฬ เขตพื้นที่ระดับ 3 ก็วุ่นวายมากแล้ว อีกสองสำนักอันธพาลที่เหลืออยู่คงแย่งชิงอาณาเขตกันอย่างดุเดือด หากเจ้ากวาดล้างพวกมันทั้งหมด คิดดูสิว่าเขตพื้นที่ระดับ 3 จะวุ่นวายขนาดไหน? แทนที่เจ้าจะได้ช่วยเหลือพลเมืองบริสุทธิ์ เจ้ากลับจะทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนด้วยซ้ำ”
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ถึงกับตกตะลึง “ข้าไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อน คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าท่านจะสามารถอ่านสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้”
“ฮ่า ๆๆ เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครรึ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยกมือปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างผู้ชนะ “แค่เพราะว่าปกติข้าไม่ค่อยชอบใช้สมอง ผู้คนเลยเข้าใจว่าข้าเป็นตัวโง่งมต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินลอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ “ถ้าอย่างนั้น ท่านมีคำแนะนำใดบ้างหรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงนิ่งเงียบใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ข้าขอแนะนำให้เจ้าไปที่หุบเขาอเวจี และปรับตัวให้เข้ากับการต่อสู้บนดินแดนทวยเทพ หากเจ้าโชคดี เจ้าก็จะได้ล่าอสูรอเวจีเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนเป็นอาวุธ หรือคะแนนศรัทธาเอาไว้ใช้ซื้อหาสิ่งของอื่น ๆ ได้เช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินตบต้นขาอย่างแรง “ประเสริฐ เอาเช่นนั้นก็แล้วกัน”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสมือร้อนอุ่นของเด็กหนุ่มที่ต้นขาตนเอง จึงพ่นลมผ่านทางจมูก มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาดุดันและกล่าวว่า “ต้นขาของข้าไม่ใช่สิ่งของสาธารณะ เอามือของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ ระวังมือจะระเบิดตายไม่รู้ตัว…”
“อ้อ ขอโทษที พอดีข้าตื่นเต้นไปหน่อย”
หลินเป่ยเฉินรีบดึงมือของตนเองกลับมา แต่ก็ยังกล่าวด้วยสีหน้าไร้ยางอายว่า “หากข้าต้องมือระเบิดตายเพราะจับต้นขาของท่านจริง ๆ ข้าก็คงเป็นวิญญาณคนตายที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้ว”
“เจ้าอยากจะลองจับอีกสักรอบไหมเล่า?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดพร้อมกับยื่นขาเรียวยาวออกมาข้างหน้า
แต่หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่ไหลเวียนอยู่รอบกาย
“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินพูด “ท่านยังมัวรออะไรอยู่อีก พวกเรารีบไปกันเถอะ”
…
หุบผาอเวจีตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดินในเมืองเยี่ยเฉิง
เคยมีข่าวลือว่าเมืองเยี่ยเฉิงนั้นเดิมทีก็สร้างขึ้นมาจากหุบผาอเวจีแห่งนี้
และแล้วบรรดาผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในหุบผาอเวจี ก็ได้ครอบครองกุญแจคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าผู้อยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้นไป
ต่อมา สภาเทพเจ้าจึงถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลประชากร หลังจากนั้น พวกเขาจึงขึ้นมาจากโลกใต้ดินและสำรวจเมืองที่อยู่ด้านบน เมื่อซ่อมแซมและทำความสะอาดเมืองร้างแห่งนี้เรียบร้อย กลุ่มคนที่เคยอาศัยอยู่ในหุบเขาอเวจีก็สถาปนาที่นี่เป็นเมืองเยี่ยเฉิง
และพวกเขาก็เรียกตนเองว่าเทพเจ้า
เมืองเยี่ยเฉิงบรรจุประชากรกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้คนในดินแดนทวยเทพ
แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนประวัติศาสตร์ ไม่มีผู้ใดสามารถยืนยันได้ว่าเรื่องเล่าเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่
เอกสารโบราณบางฉบับในดินแดนทวยเทพถึงขั้นระบุว่าหุบผาอเวจีคือประตูที่เชื่อมต่อกับอีกภพภูมิหนึ่ง
เมื่อประตูบานนั้นเปิดออก อสูรจำนวนมากในภพภูมิอเวจีก็จะหลบหนีออกมาและพวกมันก็มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสามารถทำลายล้างดินแดนทวยเทพได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นบรรดาตระกูลนักรบเทวะและเทพเจ้าจำนวนมากจึงใช้หุบผาอเวจีเป็นหินลับมีด ลงมาไล่ล่าฆ่าอสูรเพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้ของตนเอง
นอกจากนี้ ผลึกศิลาที่นำมาทำเป็นศิลาเทวะส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนได้มาจากในหุบผาอเวจีนี่เอง
ว่ากันตามความเข้าใจของหลินเป่ยเฉิน ความสำคัญของการล่าอสูรและการค้นหาผลึกศิลาเทวะนั้น แทบไม่ต่างจากการขุดเจาะบ่อน้ำมันในโลกใบเก่าของเขาเลย
“ด้วยขั้นพลังในปัจจุบันของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าคงเข้าไปล่าอสูรในเขตแดนระดับ 4 ได้ไม่มีปัญหา”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงซึ่งพาหลินเป่ยเฉินมาส่งที่หน้าวิหารเทพเจ้าสาขา 98 พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าไม่สะดวกเข้าไปในวิหาร จากนี้เจ้าเข้าไปจัดการด้วยตนเองแล้วกัน การเดินทางเข้าสู่หุบผาอเวจีมีค่าใช้จ่ายเป็นคะแนนศรัทธาสิบแต้ม เมื่อจ่ายคะแนนศรัทธาเสร็จแล้ว เจ้าก็จะสามารถไปที่เขตแดนระดับ 4 ของหุบผาอเวจีได้ทันที”
“ทำไมต้องเป็นเขตแดนระดับ 4 ด้วย?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
“เจ้ายังจะต้องถามอีกหรือ? จริง ๆ เลยนะ… โปรดจำเอาไว้ให้ดี หุบผาอเวจีจะแบ่งออกเป็นเก้าชั้น ระดับความแข็งแกร่งและความน่ากลัวของอสูรในนั้นจะแบ่งตามระดับชั้นของเขตแดน พิจารณาจากขั้นพลังของเจ้าในขณะนี้ เจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสังหารอสูรในเขตแดนระดับ 4 ได้อย่างไม่มีปัญหา”
“หากเจ้าระมัดระวังตัวมากพอ ก็จะไม่มีสิ่งใดสามารถทำอันตรายเจ้าได้ และเจ้าจะได้รับประสบการณ์ต่อสู้ที่แท้จริงกับอสูรเหล่านั้น บัดนี้เจ้าได้ตำแหน่งเทพเจ้ามาครอบครองแล้ว ยิ่งฆ่าอสูรเหล่านั้นได้มากเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งของเจ้าก็จะยิ่งเพิ่มพูนมากเท่านั้น”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอธิบายพร้อมกับสอดส่ายสายตาไปรอบตัวด้วยความหวาดระแวง
หลินเป่ยเฉินอยากจะถามคำถามเพิ่มเติม แต่ทันใดนั้น สายตาก็หันไปเห็นว่านักบวชสาวแสนสวยในชุดเสื้อคลุมสีดำขลิบทองกำลังก้าวเดินออกมาจากวิหารเทพเจ้าสาขาที่ 98 แล้ว
“นางพญาอินทรีมาแล้ว ข้าต้องรีบหนีไปก่อน เดี๋ยวจะติดต่อเจ้าอีกทีก็แล้วกัน”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดจบก็รีบหันหลังกลับวิ่งหนีไปด้วยความร้อนรน
หลินเป่ยเฉินยังคงอยากจะสอบถามคำถามเพิ่มเติม แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่นักบวชสาวแสนสวยเดินมาถึงตรงหน้าเขาพอดี
“เจ้ามาหาข้าหรือ?”
นางมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายดีใจ
นี่ย่อมเป็นนักบวชเซียงเหยียน ผู้ที่เคยช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินทำเรื่องขึ้นทะเบียนพลเมืองนั่นเอง
‘หากไม่ใช่มาหาท่าน แล้วข้าน้อยจะมาหาผู้ใดล่ะขอรับ?’
กลุ่มตัวอักษรปรากฏขึ้นคั่นกลางระหว่างคนทั้งสอง
หลินเป่ยเฉินยอมรับออกมาง่าย ๆ เช่นนั้นเอง