บทที่ 761-2 หนังสือปฐพีและคนเฝ้าประตู (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 761 หนังสือปฐพีและคนเฝ้าประตู (2)

‘ที่แท้ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนี่เอง ชักน่าสนใจแล้วสิ ตั้งแต่ออกมาจากคุก ความลับที่ข้ารู้มาจากภายในของพรรคฟ้าดินนั้นมากกว่าข้อมูลที่ข้าสะสมมากว่าพันปีเสียอีก’…จู่ๆ อาซูหลัวก็ได้ลิ้มรสความหวานของความราบรื่น

หลังจากใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือนกับกลุ่มเผ่ามนุษย์ระดับลูกกระจ๊อก ทำให้เขาได้เข้าใจอะไรหลายอย่างและรับรู้ความลับระดับสูงมากมาย

‘พวกเขากำลังพูดถึงอะไร รู้สึกได้ถึงความร้ายแรง แต่ข้ากลับไม่ค่อยเข้าใจอะไรเลย’…ลี่น่าเกาศีรษะด้วยความกังวลเล็กน้อย แต่ก็กลัวว่าจะถูกสมาชิกพรรคฟ้าดินหัวเราะเยาะ นางจึงกลั้นใจที่จะไม่ถามออกไป

อย่างไรนางก็แสร้งทำว่าตนเองฉลาดพอๆ กับสวี่ชีอันมาโดยตลอด จนถึงตอนนี้ก็ยังแสร้งทำได้แนบเนียนมาก ไม่มีใครจับได้เลย

ไต้ซือเหิงหย่วนประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากประหลาดใจแล้ว เขาก็ไม่สนใจมันมากนัก เพียงแค่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

สมแล้วที่เป็นใต้เท้าสวี่!

ลั่วอวี้เหิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นและมองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างเหม่อลอย

ด้วยสติปัญญาของนาง แน่นอนว่านางสามารถตีแผ่ความจริงออกมาภายใต้ข้อมูลที่สวี่ชีอันให้มาได้อย่างง่ายดาย

ความจริงที่ทำให้ความรู้สึกว่าในกะโหลกศีรษะถึงจุดสูงสุด

สำหรับบทสนทนาในหนังสือปฐพีวันนี้ หากไม่ได้บำเพ็ญร่วมกับไอ้บ้าหื่นกามนี่พอดี ต่อให้เป็นตำแหน่งที่นางอยู่ก็ยังยากที่จะล่วงรู้ความลับเหล่านี้

ระดับบุคลิกของกลุ่มคนในพรรคฟ้าดินมีความสะเพร่าเป็นส่วนใหญ่ ระดับการติดต่อก็ยิ่งใหญ่เกินจริง

ในขณะที่ความคิดของนางกำลังโลดแล่นอยู่นั้นก็รู้สึกว่ามีฝ่ามือร้อนๆ ยื่นเข้ามาบริเวณต้นขา

ลั่วอวี้เหิงจึงระเบิดโทสะอย่างแรง “ไปให้พ้น!”

กระบี่เทพซึ่งตกทอดมาจากบรรพบุรุษแล่นผ่านม่านเตียงดัง ‘ฝวับ’ เจาะเข้าที่ท้องน้อยของสวี่ชีอันสามนิ้วอย่างแม่นยำ ‘แขวก’ ผ้าห่มขาดวิ่นและเสียงเจาะก็ดังออกมาจากด้านใน

‘ฉึกฉึกฉึก’…ครั้งนี้ลั่วอวี้เหิงลงมืออย่างโหดเหี้ยม กระบี่เทพแทงไม่หยุด

มาเลย แทงมาเลย…ในใจสวี่ชีอันกลับไม่มั่นใจว่าร่างขั้นสองของตนเองจะแข็งแกร่งกว่าอาวุธเทพไร้เทียมทาน

แต่เขารู้ว่าการกระทำอย่างสนิทสนมเมื่อครู่ทำให้ลั่วอวี้เหิงรู้สึกว่าตนเองถูกหยอกเล่น

ต้องรีบพูดดีๆ เพื่อเกลี้ยกล่อมนาง อ้อนวอนขอความเมตตาและยอมรับความผิดพลาด

ปลาตัวนี้ต้องกินเหยื่อนี้แน่นอน

“ราชครู ข้ายังพูดไม่จบเลย เดี๋ยวค่อยคิดบัญชีข้าทีหลังได้หรือไม่”

ลั่วอวี้เหิงสบถด้วยความเย็นชา ปล่อยให้กระบี่เทพปลิวตกก่อนจะล้มตัวลงนอนที่ข้างหมอนพลางอ่านข้อความของพรรคฟ้าดินต่อไป

หมายเลขเจ็ด ‘นี่ๆ นักบวชเต๋าจินเหลียน ท่านรู้มานานแล้วว่าระบบโหรในยุคโบราณกับวิถีแห่งควันธูปที่หายไปมีความเกี่ยวข้องกันใช่หรือไม่? เอาล่ะ พวกเราปฏิบัติต่อท่านด้วยความจริงใจ ท่านกลับซ่อนความลับไว้ ราวกับไม่คิดว่าพวกเราคือคนของท่านโดยสิ้นเชิง ข้าหลี่หลิงซู่กำลังแนะนำว่าควรให้นักบวชเต๋าจินเหลียนออกจากพรรคฟ้าดิน’

หมายเลขสอง ‘ข้าเห็นด้วย’

หมายเลขสี่ ‘ข้าเห็นด้วย’

กลุ่มคนทั้งสามกำลังแก้แค้น

นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อยและส่งข้อความว่า ‘ประการแรก ระดับของพวกเจ้าต่ำเกินไป การรับรู้สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรกับพวกเจ้า ประการที่สอง ตอนแรกท่านโหราจารย์ไม่ได้ถูกปิดผนึก ใครจะกล้าเปิดเผยความลับของระบบโหรออกไป? ตาแก่นั่นดูท่าทางใจดีและมีเมตตามาโดยตลอด แต่ความจริงเขาโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด’

อย่างไรก็ไม่มีท่านโหราจารย์แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดในคำพูดมากนัก

นักบวชเต๋า ท่านชะล่าใจเกินไปแล้ว ท่านโหราจารย์เพียงแค่ถูกปิดผนึก ไม่ได้ตายจริงๆ สักหน่อย…จิตใจของสวี่ชีอันสั่นสะท้านแต่ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องตักเตือนนักบวชเต๋าจินเหลียนแต่อย่างใด

หมายเลขหนึ่ง ‘พวกเจ้ามีแผนอย่างไรต่อไป?’

ฮว๋ายชิ่งส่งข้อความไปถาม

หมายเลขสอง ‘ข้าวางแผนจะนำทหารภายใต้บังคับบัญชาของข้าไปทำสงครามที่ยงโจว’

คนอื่นๆ ก็คิดเช่นเดียวกับหลี่เมี่ยวเจิน หลังจากฝึกฝนและสร้างสมกำลังทหารมาหลายวัน ตอนนี้ถึงเวลาที่จะลงสู่สนามรบแล้ว

หมายเลขหนึ่ง ‘ถึงแม้จะได้ชัยชนะครั้งใหญ่ที่สวินโจว แต่นี่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากไป๋ตี้กลับมา ต้าฟ่งจะเผชิญกับวิกฤตใหญ่อีกครั้ง ทุกท่านต้องมีวิธีการและแผนการที่จะรับมือ’

ช่องว่างในพลังอันแข็งแกร่งนั้น ยากที่จะชดเชยด้วยกลอุบาย

สวี่ชีอันก็ไร้หนทางเช่นกัน ทั้งจิตใจและศีรษะรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อย

หมายเลขหนึ่ง ‘ไม่เป็นไร ในเมื่อไป๋ตี้ยังไม่กลับมา เช่นนั้นก็ยังพอมีเวลา ถ้ามีแผนอะไรในช่วงเวลานี้ก็แนะนำขึ้นมาในหนังสือปฐพีได้ แล้วพวกเราค่อยมาหารือกัน’

การประชุมภายในของพรรคฟ้าดินสิ้นสุดลงแล้ว

หลังจากเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้ว ลั่วอวี้เหิงก็รับรู้ถึง ‘ความผิดปกติ’ บางอย่าง ในขณะที่นางกำลังบิดสะโพกเพื่อลุกขึ้นไปแต่งตัว จู่ๆ ก็ได้ยินสวี่ชีอันถอนหายใจกล่าวว่า “อันที่จริงเมื่อครู่ข้ายังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้พูด”

ลั่วอวี้เหิงหันศีรษะไปด้านข้างในขณะที่ยังคงนอนทอดกายอยู่บนเตียง

“ในที่สุดตอนนี้ข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพระพุทธเจ้าและเทพพ่อมดถึงต้องการช่วงชิงที่ราบกลาง ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขารวบรัดดวงชะตาแต่กลับยังคงมีชีวิตยืนยาวได้”

หัวใจของลั่วอวี้เหิงกระตุกวูบ

“เจ้าพูดเองไม่ใช่รึ ว่าพวกเขาก็ใช้วิธีการของวิถีแห่งควันธูปเช่นเดียวกัน?”

สวี่ชีอันพยักหน้า

“มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะสามารถรวบรัดดวงชะตาได้โดยไม่ต้องติดพันธนาการเรื่องอายุยืน จนถึงตอนนี้ข้าก็เพิ่งเข้าใจว่าในบรรดาผู้คน สิ่งของหรือระบบที่มีความเกี่ยวข้องกับดวงชะตา ลัทธิขงจื๊อเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุด วิธีการรวบรัดดวงชะตาของลัทธิขงจื๊ออาจจะแตกต่างกับวิถีแห่งควันธูปอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้ยังทำให้ลัทธิขงจื๊อมีอายุสั้นแต่กลับทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว”

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของเขา

“ช่างเถอะ สิ่งเหล่านี้ยังห่างไกลจากตัวข้ามาก”

จู่ๆ สวี่ชีอันก็ทำตัวนอกรีตอีกครั้งพลางหัวเราะเฮอะๆ “ราชครู ต้าฟ่งขึ้นอยู่กับท่านแล้ว พวกเรามาระงับไฟแห่งกรรมกันต่อเถอะ”

ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“เจ้าลืมที่เพิ่งพูดไปเมื่อวานแล้วรึ?”

สวี่ชีอันไม่ยอมรับ

“แต่เมื่อครู่ข้าก็พูดแล้วเช่นกัน หากข้าสามารถตอบข้อสงสัยของพวกเขาได้ ท่านจะบำเพ็ญคู่กับข้าอีกครั้ง”

ลั่วอวี้เหิงตะคอกด้วยความเย็นชา “ข้ารับปากรึ?”

“แต่ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน” สวี่ชีอันกล่าวอย่างฉะฉาน ก่อนจะกล่าวด้วยความน้อยใจอีกครั้งว่า “หรือว่าไม่ใช่รู้ๆ กันอยู่รึ? อีกอย่าง พวกเราก็ยังไม่ได้ลุกออกจากเตียงนี่ ไม่นับว่าเป็นครั้งที่สอง ข้าสัญญา แค่ครั้งเดียว ลุกออกจากเตียงแล้ว ข้าจะไม่รบกวนท่านอีก”

ในขณะที่กล่าว เขาก็เลื่อนไหล่ของลั่วอวี้เหิง พยายามให้นางนอนราบลงไป

ท่านน้ารีบหันข้างเพื่อไม่ให้เขาทำสำเร็จ และหันหลังให้เขาทันที

แต่ทันทีที่ตระหนักได้ว่าท่าทีอันตรายยิ่งกว่าก็รีบหันกลับมาอีกครั้ง เบิกตาโพลงและจ้องมองเขาด้วยความเกรี้ยวกราด

สวี่ชีอันสูดกลิ่นหอมจากเส้นผมของนางเบาๆ ใช้แขนโอบรอบเอวอันบอบบางและเนียนนุ่มของนางไว้แน่น

“แค่ครั้งเดียว ครั้งนี้ครั้งเดียวจริงๆ”

ลั่วอวี้เหิงถอนหายใจออกช้าๆ ราวกับทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย นางหันศีรษะไปด้านข้างและกล่าวด้วยความเย็นชา “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”

สวี่ชีอันดันตัวขึ้นและใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบเอวของนางทันที

ในที่พักยังมีทาสรับใช้ ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดูแลสิ่งจำเป็นพื้นฐานของเจ้านาย

เมื่อหยางกงยังหนุ่ม เขาก็เป็นปัญญาชนผู้รักอิสระที่ร่าเริงเช่นกัน สิ่งที่เขาจัดเตรียมให้ฆ้องเงินสวี่ทั้งหมดจึงล้วนเป็นสตรีที่งดงาม

เดิมทีเขาใช้เพื่อให้ฆ้องเงินสวี่อุ่นเตียง

ต้องรู้ก่อนว่าบรรดาสตรีสาวที่ถูกส่งไปปรนนิบัติรับใช้ฆ้องเงินสวี่ต่างก็ตื่นเต้นมาก หากฆ้องเงินสวี่ถูกใจและพาเข้าไปในห้อง ก็จะเปลี่ยนจากไก่ดินเป็นนกฟีนิกซ์ และต้องโรจน์รุ่งพุ่งแรงตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป

ใครจะไปคิดว่าวันที่ฆ้องเงินสวี่เข้ามาอยู่ก็พาเทพธิดาที่สวยสดงดงามกลับมาด้วย มองแวบเดียวก็รู้ว่านางไม่ธรรมดา

ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงโด่งนานแล้ว จวนถึงเวลาอาหารกลางวัน นางยังตรึงฆ้องเงินสวี่ไว้บนเตียงอย่างแน่นหนา

นางคือปีศาจตัวร้ายอย่างแท้จริง ชัดเจนว่านางดูเหมือนเทพธิดาไม่มีผิด แต่ความเจ้าเล่ห์เต็มร้อย

เหล่าสาวใช้แสร้งทำงานตามหน้าที่อยู่ในจวน ฟังเสียงเตียงในห้องดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ในใจคิดว่าทนได้จริงๆ ทว่าตั้งแต่เช้าตรู่จนใกล้เที่ยง กลับไม่มีเสียงอื่นเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย

เช้าวันเดียวกัน

จวนตระกูลสวี่ ณ เมืองหลวง อาสะใภ้สวมเสื้อผ้าของฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่งภายใต้การปรนนิบัติของลวี่เอ๋อและสาวใช้จำนวนหนึ่ง

หลังจากฮว๋ายชิ่งขึ้นครองบัลลังก์ นางก็ได้รับพระราชทานยศเป็นฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง สวี่ชีอันไม่มีพ่อแม่ ถูกเลี้ยงดูโดยท่านอาและอาสะใภ้ ดังนั้นผลประโยชน์นี้ย่อมตกสู่ท่านอาสะใภ้ของเขาโดยธรรมชาติ

ตราตั้งขั้นหนึ่งมีความหมายว่าอะไร?

สามีหรือลูกชายต้องเป็นข้าราชการระดับหนึ่ง ผู้หญิงถึงจะได้รับพระราชทานยศเป็นฮูหยินตราตั้ง

ข้าราชการระดับหนึ่งคือขุนนางระดับซานกง ฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่งของยุคสมัยนี้จึงล้วนมีผมสีขาวแกมเทา หรือไม่ก็เข้าสู่วัยชรา หรือล่วงลับไปนานแล้ว และทั้งหมดล้วนเป็นภรรยา ไม่มีมารดา

แต่ใครก็ตามที่ปีนขึ้นไปจนถึงขั้นที่หนึ่ง ไม่ใช่ขาเข้าไปอยู่ในโลงศพครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ทั้งร่างล้วนเข้าไปในโลงศพแล้วต่างหาก แน่นอนว่าพ่อแม่ต้องเข้าไปนอนในโลงศพและเวียนว่ายตายเกิดนานแล้ว

อาสะใภ้น่าจะเป็นบุคคลอัจฉริยะเพียงคนเดียวที่ได้รับพระราชทานยศตราตั้งขั้นหนึ่งในฐานะ ‘มารดา’ ที่อายุน้อยที่สุดในยุคสมัยนี้

ในโลกของการบำเพ็ญธรรม เหล่าสหายต้องหัวใจตกไปถึงตาตุ่มและกล่าวว่า ‘สตรีผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก!’

แต่แท้จริงแล้วอาสะใภ้ไม่ได้ทำอะไรเลย นางปลูกดอกไม้ ให้อาหารปลาอยู่ในจวนก็ทุบสังเวียนได้อย่างงงๆ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร

แม้แต่อารองสวี่ เมื่อได้ยินว่าอาสะใภัได้รับพระราชทานยศฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่งก็ยังอดที่จะเกิดความรู้สึกลึกๆ ในใจไม่ได้

‘คนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่!’

แน่นอนว่าปากก็พูดไปว่า ‘ฮูหยินเป็นคนมีโชคจริงๆ’

เครื่องแบบของฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่งมีความหรูหรามากเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่จำนวนเครื่องประดับศีรษะไปจนถึงการใช้ผ้าและลายปัก ทุกอย่างล้วนมีข้อกำหนดที่เข้มงวด

ตัวอย่างเช่น มงกุฎหงส์ชุบทองอร่ามที่สวมอยู่บนศีรษะของอาสะใภ้ในตอนนี้ ด้วยความงดงามหรูหราและน้ำหนักของมัน ทำให้อาสะใภ้ต้องบิดลำคอแก้เมื่อยในทุกย่างก้าวที่เดิน

“หลิงเยวี่ย เจ้าเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?”

อาสะใภ้ที่สวมเครื่องแต่งกายอันงดงามหรูหรานำเหล่าสาวใช้ผลักประตูเข้าไปในห้องของสวี่หลิงเยวี่ย

เดิมทีอาสะใภ้เป็นสตรีที่งดงามและมีเสน่ห์อยู่แล้ว หลังจากสวมเครื่องแต่งกายอันหรูหราเหล่านั้นก็ยิ่งทำให้นางดูงดงามมากขึ้นไปอีก

เมื่อเห็นลูกสาวคนโตสวมชุดกระโปรงธรรมดานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ อาสะใภ้ก็โกรธขึ้นมาทันที

“ที่ข้าพูดกับเจ้า เจ้าได้ฟังบ้างหรือไม่? ทำไมยังไม่เปลี่ยนชุดอีก ใกล้จะต้องเข้าวังแล้ว”

สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวเบาๆ ว่า “สวมเสื้อผ้าเช่นนี้ ท่านแม่ไม่สามารถเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ ได้อีก ภาษาที่หยาบคายจะเป็นการเสียมารยาท”

อาสะใภ้ตกตะลึงกับการต่อต้านของลูกสาว นางไม่รู้จะตอบอย่างไรชั่วขณะ จึงทำได้เพียงกล่าวว่า “ลวี่เอ๋อ รีบช่วยคุณหนูเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า อีกครู่ก็ต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮา เพื่อหารือเรื่องการแต่งงานของพี่ใหญ่ของเจ้ากับองค์หญิงหลิงอันแล้ว”

สวี่ชีอันและหลิงอันหมั้นกันแล้วภายใต้การจัดการของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย

งานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นหลังจากเทศกาลไหว้วสันต์ครึ่งเดือน และตอนนี้อีกครึ่งเดือนก็จะถึงเทศกาลไหว้วสันต์แล้ว

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ งานแต่งงานของสวี่ชีอันและองค์หญิงหลินอันจะถูกจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า

อาสะใภ้ในฐานะ ‘มารดา’ ตอนนี้ก็ต้องไปที่วังเพื่อหารือกับฮองเฮาเกี่ยวกับรายละเอียดพิธีรีตองของงานแต่งงาน

นี่คือการขายผ้าเอาหน้ารอดระหว่างผู้อาวุโสที่จำเป็นต้องดำเนินการ

สวี่หลิงเยวี่ยวางหนังสือลงและกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“วันนี้ข้าปวดหัวก็เลยไม่ไปแล้ว ข้าบอกท่านแม่ไปตั้งแต่ตอนรับอาหารมื้อเช้าแล้วไม่ใช่รึ”

อาสะใภ้ตกตะลึงอีกครั้งและกล่าวด้วยความงุนงงว่า “นี่ข้าลืมไปรึ”

สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่โทษท่านแม่หรอก”

…อาสะใภ้น้ำท่วมปากจนพูดไม่ออกและเกิดสงสัยในใจว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวคนนี้ ลูกสาวคนโตที่แสนอ่อนแอของข้า วันนี้นางกลับปากคอเราะร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

น้อยครั้งมากที่แม่จะไร้คำพูดไร้คำตอบเช่นนี้

สวี่หลิงเยวี่ยดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี น้ำเสียงของนางก็ฟังดูเรียบนิ่งไม่แยแส

“ท่านพี่ซือมู่จะไปเป็นเพื่อนท่านแม่ไม่ใช่รึ”

นางมองไปที่มารดา ก่อนจะอุทาน “โอ้” และกล่าวอีกว่า

“ท่านแม่ประหม่าและหวาดกลัวเลยอยากดึงลูกสาวไปช่วยพยุงสถานการณ์ แต่ลูกสาวที่แสนอ่อนแอไร้ความสามารถจะเคยเผชิญหน้ากับโลกเช่นนั้นที่ไหนกัน ไม่ไปก็คือไม่ไป”

“ข้าหวาดกลัวรึ? พูดจาไร้สาระ!”

อาสะใภ้ยืนเท้าสะเอวและรู้สึกว่าลูกสาวกำลังดูถูกนาง ถึงแม้นางจะหวาดกลัวจริงๆ ก็ตาม

สวี่หลิงเยวี่ยนึกถึงสายใยรักระหว่างแม่ลูก ถึงแม้อารมณ์จะไม่ดีมากก็ตาม แต่นางก็ยังคงบอกเคล็ดลับกับมารดาว่า “ท่านแม่ไม่ต้องพูดอะไรมาก ใบหน้าต้องเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ หากมีคำถามที่ตอบไม่ได้ก็หันไปมองท่านพี่ซือมู่ก็พอ นางจะเป็นคนช่วยท่านจัดการเอง”

‘มองซือมู่’…อาสะใภ้ได้ยินก็ถ่มน้ำลายกล่าวว่า “แม่หนูน้อยเอ๋ย แสดงความคิดไม่เข้าท่าให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ช่างเถอะ ช่างเถอะ เจ้าไม่ไปก็ไม่ไป ข้า…จะไปเองในฐานะแม่”

นางพาเหล่าสาวใช้เข้าไปในห้องโถงทันที ขณะเรียกให้คนเตรียมรถม้าก็รอหวางซือมู่ไปด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน หวางซือมู่ที่สวมชุดกระโปรงสีสันสดใสและรักษาท่าทีสง่างามก็มาถึงจวนตระกูลสวี่ นางเดินเข้าไปในห้องโถงและกล่าวอย่างเชื่อฟังว่า “อาสะใภ้ ได้เวลาแล้ว พวกเราเข้าวังกันเถอะเจ้าค่ะ”

อาสะใภ้เงยหน้าขึ้น เชิดคางขึ้นเล็กน้อยและกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งยโส

“อืม!”

ความกดดันอันมหาศาล…หวางซือมู่ชำเลืองมองแม่สามีในอนาคตที่กำลังเปลี่ยนสีหน้าและสูดหายใจเข้าลึกๆ

สวินโจว

การบำเพ็ญคู่ของสวี่ชีอันและราชครูถูกขัดจังหวะล่วงหน้า ซุนเสวียนจีพาผู้พิทักษ์หยวนมาเยี่ยมเยียนเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องการสร้างค่ายกลส่งตัว

ศิษย์พี่ซุน ทำเกินไปแล้วกระมัง…สวี่ชีอันสาปแช่งในใจ เดิมทีเขาอยากให้สาวใช้ไปส่งสารให้ศิษย์พี่ซุนรออีกสักสองสามชั่วโมง

แต่ลั่วอวี้เหิงกลับไม่ให้โอกาสเขาด้วยการเตะผู้ชายระยำที่ความต้องการมากเกินพอผู้นี้ออกไป ก่อนจะรีบสวมเสื้อชั้นใน กางเกงชั้นใน กระโปรงและเสื้อขนนกอย่างรวดเร็ว

และร่ายวิชาเล็กน้อยเพื่อกลบกลิ่นบนร่างตนเอง

สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงต้อนรับซุนเสวียนจีและผู้พิทักษ์หยวนอยู่ในห้องโถงโดยมีเหล่าสาวใช้คอยเสิร์ฟชาร้อน

“สำนักอวิ๋นลู่ สำนักโหราจารย์ อารามรัตนะ และพระราชวัง ล้วนต้องการสร้างค่ายกลส่งตัว”

สวี่ชีอันมีฝ่ายที่สอดคล้องกันอยู่ในใจนานแล้ว เขากล่าวว่า “ในบรรดาพวกเขา ค่ายกลส่งตัวที่ถูกส่งไปยังสำนักโหราจารย์และพระราชวังถูกมอบให้ข้า ค่ายกลที่ถูกส่งไปยังสำนักอวิ๋นลู่มอบให้กับเจ้าสำนักศึกษา ค่ายกลที่ถูกส่งไปยังอารามรัตนะมอบให้กับราชครู”

ส่งไปยังพระราชวัง…ลั่วอวี้เหิงชายตามองเขาด้วยความเย็นชา

“สำหรับยงโจว ก่อนอื่นต้องมีค่ายกลส่งตัวที่บ้านของข้าหลังนี้ ถึงจะสามารถกลับจากเมืองหลวงมายังที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ในแต่ละคูเมืองและกำแพงเมืองบนแนวป้องกันยงโจวล้วนต้องมีค่ายกลส่งตัว เพื่อให้แน่ใจว่าราชครูและเจ้าสำนักศึกษาสามารถให้การสนับสนุนได้ทุกที่ทุกเวลา”

ซุนเสวียนจีพยักหน้าและชำเลืองมองผู้พิทักษ์หยวน

ผู้พิทักษ์หยวนกางแผนที่ออกและกล่าวว่า “หยางกงทำเครื่องหมายบนแผนที่ไว้แล้ว เพียงแค่ตัดสินใจเลือกสถานที่ที่จะสร้างค่ายกลส่งตัวเท่านั้น”

นี่ต้องพิถีพิถันกว่าสิ่งที่สวี่ชีอันพูดไว้มาก

จริงสิ เมื่อมีค่ายกลส่งตัวเหล่านี้ ความคล่องตัวของฝั่งเราจะแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้กองทัพอวิ๋นโจวสิ้นหวัง หากวิชาส่งตัวสามารถส่งกองกำลังทหารได้ก็คงดี…สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยความพอใจ

ผู้พิทักษ์หยวนกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับเสียงอ่านของซุนเสวียนจีจึงไม่ได้สนใจเขา

ค่ายกลส่งตัวคือสิ่งของที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว จำเป็นต้องกลั่นอย่างต่อเนื่อง ราคาที่ต้องจ่ายไม่แพง แต่ก็ไม่ถูกเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พลทหารจำนวนเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นยึดถือไว้พร้อมกัน

และถึงแม้โหรก็สามารถส่งตัวคนได้เช่นกัน แต่ด้วยบุคลิกขั้นสามของซุนเสวียนจี การนำคนหลายสิบคนมาพร้อมกันในครั้งเดียวเป็นเรื่องที่มีขีดจำกัด เป็นการยากที่จะแบกรับภาระในการส่งตัวผู้คนนับหมื่น

“ข้าก็ต้องการค่ายกลส่งตัวของพระราชวังสักอัน” ลั่วอวี้เหิงกล่าวเบาๆ

ซุนเสวียนจีหันไปมองสวี่ชีอันทันที ฝ่ายหลังจึงรีบกล่าวว่า “ความต้องการของราชครู แน่นอนว่าข้าต้องรับปาก”

ซุนเสวียนจีพยักหน้าและไม่แสดงความเห็นใดๆ

เหล่าสาวใช้ที่สวยหยาดเยิ้มขนผ้าปูที่นอนและผ้านวมออกจากประตูห้องทางทิศตะวันออก เดินผ่านลานบ้านและไปยังลานซักล้างที่เงียบสงบ

พวกนางสะบัดคลี่ผ้าปูที่นอนออกและตากไว้บนราวไม้ไผ่ จากนั้นก็พบว่าผ้าปูที่นอนมีคราบเปรอะเปื้อนราวกับถูกแช่อยู่ในน้ำจนมีคราบน้ำเปื้อนอยู่ครึ่งหนึ่ง

“โอ้!”

สาวใช้คนสวยที่เป็นผู้สะบัดผ้าปูที่นอนหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “นึกว่านางเป็นเทพธิดาผู้เย็นชาและสูงส่ง ดูผ้าปูที่นอนนี่สิ”

“คนเราไม่อาจตัดสินกันด้วยหน้าตาจริงๆ ผู้หญิงปกติธรรมดาที่ไหนจะมีพรสวรรค์เหมือนนางกัน มิน่านางทำให้ฆ้องเงินสวี่ลุกจากเตียงไม่ขึ้นเลย”

เหล่าสาวใช้มุงกันอยู่รอบผ้าปูที่นอนพลางอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ มองดูอย่างพิจารณาและพูดจาหยาบคาย

ในห้องโถง

จู่ๆ ใบหน้าของลั่วอวี้เหิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและจ้องไปที่สวี่ชีอันอย่างโหดเหี้ยม ท่าทางของนางราวกับต้องการต่อสู้กับสวี่ชีอันจนสุดชีวิต

พฤติกรรมอันสุขุมและเย็นชาของราชครูถูกทำลายลงในพริบตา

ด้วยการบำเพ็ญของพวกเขา ไม่ว่าเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ อะไรในบ้านล้วนไม่สามารถรอดพ้นจากประสาทสัมผัสทั้งห้าได้

มีครั้งใดบ้างที่เจ้าบำเพ็ญคู่กับข้าแล้วผ้าปูที่นอนไม่เปียกครึ่งหนึ่ง ยังไม่ชินอีกรึ? ทำเป็นจริงจังไปได้…สวี่ชีอันบ่นพึมพำในใจ แต่สีหน้าแสดงความละอายใจราวกับจะยอมรับความผิดพลาดและพูดคำพูดดีๆ

ดวงตาสีครามของผู้พิทักษ์หยวนเป็นประกายระยิบระยับ เขาจ้องมองสวี่ชีอันและกล่าวเสียงทุ้มว่า “หัวใจของฆ้องเงินสวี่บอกข้าว่า มีครั้งใดบ้างที่เจ้าบำเพ็ญคู่กับข้าแล้วผ้าปูที่นอนไม่เปียกครึ่งหนึ่ง ยังไม่ชินอีกรึ? ทำเป็นจริงจังไปได้…”

??? สวี่ชีอันเกร็งลำคอแข็งทื่อ ดวงตาของเขาเลื่อนออกจากใบหน้าของลั่วอวี้เหิงและค่อยๆ หันไปทางผู้พิทักษ์หยวนทีละน้อย

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที

‘ปัง!’

จู่ๆ หลังคาของห้องโถงชั้นในก็ปลิวว่อน แผ่นไม้และกระเบื้องแตกกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง

ร่างสีทองเข้มลอยขึ้นไปและหลบหนีขึ้นไปบนท้องฟ้า

สตรีในชุดขนนกไล่ตามไปติดๆ และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “กระบี่จงมา!”

ลำแสงกระบี่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ตกอยู่ในมือของลั่วอวี้เหิงก่อนจะหายไปในท้องฟ้าสีครามพร้อมกับนาง

ในห้องโถงชั้นใน การอ่านใจที่ควบคุมไม่ได้ของผู้พิทักษ์หยวนสิ้นสุดลง เขาหันไปมองพื้นที่รอบๆ ที่เต็มไปด้วยเศษกระเบื้องและเศษไม้หักก็ตระหนักได้ว่าตนเองได้ก่อหายนะครั้งใหญ่

เขามองซุนเสวียนจีด้วยสีหน้าซีดเซียวและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“สะ ศิษย์พี่ซุน ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้า ข้าควบคุมตนเองไม่ได้…”

ซุนเสวียนจีส่ายศีรษะพลางตบหัวไหล่เขาเบาๆ ด้วยสีหน้าอบอุ่น

ผู้พิทักษ์หยวนอ่านใจเขา “ไม่เป็นไร”

ในขณะที่ผู้พิทักษ์หยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็ได้ยินประโยคครึ่งหลังว่า “ชาตินี้เจ้าเลือกไม่ได้ ชาติหน้าเจ้าก็เลือกเกิดเป็นลิงที่ดีแล้วกัน”

…………………………………..………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท