สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 799 ฮ่องเต้หมดสติ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 799 ฮ่องเต้หมดสติ

ฝั่งตำหนักกั๋วซือ ซ่างกวานเยี่ยนค่อยๆ ‘ฟื้น’ ขึ้น เริ่มแรกตื่นเพียงวันละครั้ง ครั้งละสิบห้านาที จากนั้นจึงกลายเป็นวันละหนึ่งชั่วยาม

ฮ่องเต้ไปเยี่ยมนางสองครั้ง หวังเสียนเฟยและพรรคพวกต่างนอนไม่หลับ กลัวว่าซ่างกวานเยี่ยนจะคิดสั้น ตัดสินใจพาพวกนางลงนรกไปด้วยกัน

ต่งเฉินเฟยปรึกษากับครอบครัว หาทางแก้ไขได้เป็นคนแรก และข่าวนี้ถึงหูหวังเสียนเฟยอย่างรวดเร็ว

หวังเสียนเฟยก็ทำตามนาง

หยางเต๋อเฟยที่คอยจับตาดูหวังเสียนเฟยอยู่ รู้ทันว่านางกำลังวางแผนอะไร นางก็เห็นด้วยกับวิธีนี้เช่นกัน

ในตอนแรกเฉินซูเฟยและเฟิ่งเจาอี๋ก็ไม่รู้ว่าพวกนางสามคนกำลังยุ่งอยู่กับอะไร แต่หลังจากสังเกตความเคลื่อนไหวของตระกูลชั้นสูงทั้งสามแล้ว พวกนางก็พอจะเดาออกได้คร่าวๆ

ตอนแรกทั้งห้าคนก็ไม่ยอมรับ แต่พอสืบหาไปเรื่อยๆ เรื่องราวก็ยิ่งบานปลาย ในเมื่อมิอาจปกปิด สุดท้ายก็เลยตัดสินใจร่วมมือกัน!

จึงเกิดเหตุการณ์ที่ห้าพระสนมกลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่ตำหนักกั๋วซือในตอนปลายเดือนเจ็ด

เหล่าข้าหลวงถูกไล่ออกไปหมดแล้ว

ซ่างกวานเยี่ยนนั่งบนเก้าอี้ อดกลั้นความอยากจะควักกินแตงโมครึ่งลูกด้วยช้อนไม่ไหว มองไปที่ทั้งห้าคนตรงข้ามด้วยท่าทีเย็นชาแสนเบื่อหน่าย “พวกเจ้ามาทำอะไรอีก”

หวังเสียนเฟย ในฐานะพระสนมที่มีอาวุโสสูงสุด ยังคงเป็นผู้เอ่ยในนามของทั้งห้าคน

นางเอ่ยขึ้น “ซ่างกวานเยี่ยน ข้ารู้ดีว่าเจ้าเองก็ไม่อยากตาย ที่เจ้าพูดเมื่อคราวก่อน ล้วนแต่เพียงเพื่อขู่พวกข้าเท่านั้น”

พูดเสียสวยหรู ถ้าหากซ่างกวานเยี่ยนไม่มีการเตรียมตัวมาล่วงหน้า เป็นอันต้องหลงกลนางแน่นอน

ซ่างกวานเยี่ยนเอ่ยอย่างเนิบนาบ “ในเมื่อพวกเจ้าคิดว่าข้าเสแสร้งแกล้งทำ แล้วเหตุใดถึงยังมาพบข้าอีก ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีจุดอ่อนใดให้ข้าใช้เล่นงาน เหตุใดต้องแยแสด้วยเล่า”

ต่งเฉินเฟยฮึดฮัด “ซ่างกวานเยี่ยน เห็นแก่ที่พวกเราเคยเลี้ยงดูเจ้ามา จึงรู้สึกเห็นใจเจ้าบ้าง ถึงได้มาช่วยเจ้าก็เท่านั้น!”

ซ่างกวานเยี่ยนยิ้มอย่างเย็นชา “โอ้ พวกเจ้านี่เจ้าบทบาทกันเสียจริง ละครเรื่องนี้ข้ารู้ตอนจบแล้ว ออกประตูไปทางออกเลี้ยงขวา เดินทางโดยสวัสดิภาพ ไม่ส่ง”

ทุกคนหน้าแดงก่ำคอเป็นเอ็น

ซ่างกวานเยี่ยนคนเดิมไม่ใช่คนหยาบคายที่ใช้แต่กำลังหรอกหรือ เหตุใดถึงกลายเป็นคนปากคอเราะร้ายเช่นนี้ไปได้

หวังเสียนเฟยเอ่ย “เอาละ พวกข้ามาที่นี่ก็เพราะตั้งใจจะมาเจรจากับเจ้าจริงๆ ”

เมื่อกลยุทธ์โน้มน้าวของพวกนางไม่ได้ผลกับซ่างกวานเยี่ยน คงต้องพูดกันตามตรงเสียดีกว่า

หวังเสียนเฟยเอ่ยต่อ “ซ่างกวานเยี่ยน เจ้าสามารถสละชีวิตของตัวเองได้ แต่เจ้าจะละเลยชื่อเสียงอันดีงามของตระกูลเซวียนหยวนได้หรือเรื่องราวของตระกูลเซวียนหยวนในอดีต พวกข้ารู้ดีกันอยู่ ตระกูลเซวียนหยวนถูกตระกูลชั้นนำอื่นๆ ใส่ร้ายป้ายสี เจ้าจะเลือกให้ตระกูลเซวียนหยวนสืบเกียรติยศไปช้านาน หรือจะเลือกให้ตระกูลเซวียนหยวนถูกจดจำในฐานะคนเลว เจ้าก็ตัดสินใจเขาเองก็แล้วกัน!”

ซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ กับถ้อยคำเหล่านั้น “หวังเสียนเฟย ตอนนี้พวกเจ้าเป็นฝ่ายขอร้องข้า ไม่ใช่ข้าที่ขอร้องพวกเจ้า เจ้าควรปรับท่าทีของตัวเองให้ดีกว่านี้”

หวังเสียนเฟยกำผ้าเช็ดหน้าแน่นจนเกือบแทบขาด

นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ต้องการหลักฐานพวกนั้นแล้วสินะ”

ซ่างกวานเยี่ยนตอบอย่างไม่ใส่ใจ “หลักฐานแค่ตระกูลชั้นสูงสองสามตระกูล คงไม่มีความหมายอะไร”

ทั้งห้าแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างเงียบๆ

เกิดอะไรขึ้นกับซ่างกวานเยี่ยน เหตุใดนางถึงเดาได้ว่าพวกนางตั้งใจจะมอบหลักฐานของตระกูลชั้นสูงอื่นๆ ให้นาง

พวกนางคิดว่าอย่างน้อยก็ควรจะรักษาตระกูลของตัวเองไว้ และภาวนาให้ซ่างกวานเยี่ยนหลงกล ยอมแลกเปลี่ยนหลักฐานกับพวกนาง

ซ่างกวานเยี่ยนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง เสียงน่าเกรงขามดังกังวาลไปทั่วห้อง “พวกเจ้าอยากพลิกคดีให้ตระกูลเซวียนหยวนก็เอาหลักฐานทั้งหมดมาเสีย! สามสิบกว่าข้อกล่าวหาของตระกูลเซวียนหยวน ห้ามขาดแม้แต่ข้อเดียว! อย่ามาหยั่งเชิงข้า และอย่าคิดว่าจะต่อรองกับข้าได้ หากเป็นวันพรุ่งนี้ สิ่งที่ข้าต้องการอาจมิได้มีเพียงเท่านั้น!”

“เจ้า!” เฉินซูเฟยโกรธจนเท้ากระตุก

ผลที่ออกมามิได้เหนือความคาดหมาย พวกนางคิดไว้แล้วว่าซ่างกวานเยี่ยนน่าจะเรียกร้องให้พวกนางหาหลักฐานทั้งหมด

หวังเสียนเฟยกลั้นความโมโหเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกข้าให้หลักฐานเจ้าได้ แต่เจ้าก็ต้องเอาสัญญาที่มีลายมือชื่อของพวกข้าคืนมาด้วย!”

สามชั่วยามต่อมา หลังจากที่เซียวเหิงและจี้จิ่วอาวุโสที่อยู่เรือนหลังถัดกันได้ตรวจบัญชี จดหมายและหลักฐานอื่นๆ ทั้งหมดแล้ว ก็ยืนยันว่าเป็นของจริง

ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนกันอย่างเสร็จสมบูรณ์

หวังเสียนเฟยและพวกห้าคนจากไปด้วยความโกรธ

หลักฐานเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ซ่างกวานเยี่ยนแทบไม่อยากจะเชื่อหากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง

“แม้แต่แม่ทัพเวยอู่ก็ยังเกี่ยวข้องด้วย” ศัตรูนั้นมิเคยทำให้เจ็บใจ แต่สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดมักจะเป็นการทรยศจากคนที่เรารัก

ซ่างกวานเยี่ยนพึมพำ “แม่ทัพเวยอู่เป็นลูกน้องของท่านลุงและเคยสอนวิชากการต่อสู้ให้เซวียนหยวนเซิ่ง ใครจะคิดว่าเขาจะเผาคลังอาหารของตระกูลเซวียนหยวนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาเอง”

เซียวเหิงปลอบโยน “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นอีก”

ซ่างกวานเยี่ยนเก็บความหม่นหมองในใจไว้พลางเอ่ยกับลูกชาย “หลักฐานเหล่านี้ น่าจะเพียงพอที่จะล้างมลทินให้กับตระกูลเซวียนหยวนได้แล้ว”

เซียวเหิงหยุดคิดไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “ยังไม่พอ ยังไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับข้อหากบฏ”

เพราะว่าข้อหากบฏนั้นเป็นความจริง

เว้นแต่ว่าฮ่องเต้จะยอมรับว่าตนเองวางแผนให้ตระกูลเซวียนหยวน และตระกูลเซวียนหยวนถูกบีบให้ก่อกบฏ

แต่สิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง

เซียวเหิงเสนอ “เช่นนั้นลองเช่นนี้ดีไหม ท่านแม่เก็บหลักฐานเหล่านี้ไว้เป็นเครื่องแสดงความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ เพื่อแลกกับตำแหน่งรัชทายาทไท่หนี่ว์ เรื่องอื่นยังไม่ต้องรีบ รอจนท่านแม่ได้เป็นไท่หนี่ว์แล้ว ค่อยหาทางควบคุมอำนาจของฮ่องเต้อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็สามารถล้างมลทินให้กับตระกูลเซวียนหยวนได้”

ซ่างกวานเยี่ยนเห็นด้วยพยักหน้ารับ “ข้าเห็นด้วย รอจนฟ้าสาง ข้าจะนำหลักฐานเหล่านี้เข้าวังทูลต่อหน้าพระพักตร์”

ณ วังหลวง

ฮ่องเต้กำลังจะพักผ่อน จางเต๋อเฉวียนรีบเดินเข้ามาด้วยท่าทางกระวนกระวาย เขาเหลือบมองไปที่องค์หญิงน้อยบนเตียงที่นอนหลับสนิทอยู่ ก่อนจะก้มตัวลงกระซิบรายงาน “ฝ่าบาท หันกุ้ยเฟยจากตำหนักเย็นกำลังโวยวายขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นางทำเช่นนี้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว”

จางเต๋อเฉวียนไม่กล้าตอบคำถาม ได้แต่ก้มหน้าก้มตารายงาน “หันกุ้ยเฟยกราบทูลว่า นางมีเรื่องลับเกี่ยวกับฮองเฮาอยู่ในมือ”

นี่คือคำเอ่ยของนางกำนัล จางเต๋อเฉวียนไม่ได้เติมแต่งคำเอ่ยแม้แต่คำเดียว

เมื่อได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับฮองเฮาเซวียนหยวน ฮ่องเต้ก็อดทนอดกลั้น เดินทางไปยังตำหนักเย็น

หวั่นเฟยถูกปลดเป็นท่านหญิงหวั่น พักทางทิศตะวันตกของตำหนักเย็น ส่วนหันกุ้ยเฟยถูกกักขังอยู่ทางทิศตะวันออก

ฮ่องเต้เสด็จไปหาหันกุ้ยเฟยโดยตรง

ถึงแม้จะถูกส่งไปอยู่ตำหนักเย็น แต่เมื่อต้องเข้าเฝ้าหันกุ้ยเฟยก็ยังแต่งตัวให้ดูสง่างาม แต่จะแต่งตัวอย่างไรก็ไร้ความหมาย ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะชายตามองนาง

นางนั่งลงบนแท่นหินเก่าผุ แย้มยิ้มให้ฮ่องเต้พลางเอ่ย “ฝ่าบาท หม่อมฉันชงชาไว้แล้ว ชาตำหนักเย็นมิได้ชั้นเลิศไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะโปรดไหมเพคะ”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วถาม “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”

หันกุ้ยเฟยไปหาเขาด้วยท่าทางอ่อนหวาน “ฝ่าบาท พระองค์มาที่นี่เพียงเพราะความลับที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮาเท่านั้นหรือ ฝ่าบาทไม่ถามไถ่หม่อมฉันเลยว่าใช้ชีวิตในตำหนักเย็นนี้เป็นอย่างไรบ้าง พระองค์ช่างโหดร้ายเสียจริง”

ชายคนหนึ่งจะรู้สึกสงสารหญิงสาวก็ต่อเมื่อเขารักนาง

แต่เมื่อไร้เยื่อใยต่อกัน สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่ละครเสแสร้งคร่ำครวญไร้สาระ

แววตาของฮ่องเต้ยิ่งดูหงุดหงิดมากขึ้น

หันกุ้ยเฟยราวกับไม่รู้สึกถึงความไม่พอใจของฮ่องเต้ นางเอ่ยต่อ “ก็จริงอยู่ ใจฝ่าบาทมีเพียงเซวียนหยวนหันเยี่ยน มิเคยมีพระสนมคนอื่นอยู่ในสายตา ถึงแม้กับคนที่รัก ฝ่าบาทยังลงมือทำร้ายได้ ใจฝ่าบาท… จริงๆ แล้วมีเพียงพระองค์เอง”

ฮ่องเต้เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “ถ้าไม่มีอะไรจะพูด เราก็จะกลับแล้ว!”

หันกุ้ยเฟยรินน้ำชาให้ตัวเอง “ก่อนสิ้นใจ ฮองเฮาเคยบอกข้าด้วยความจริงใจว่า นางเสียใจที่ได้อภิเษกกับฝ่าบาท ถ้าเป็นไปได้ นางขอให้ข้าหาทางไม่ให้นางถูกฝังรวมกับฝ่าบาทในสุสานหลวง นางไม่อยากพบเจอฝ่าบาทอีกบนทางสู่ปรโลก”

หัวใจของฮ่องเต้สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

เขารู้ว่าเซวียนหยวนหันเยี่ยนเกลียดชังเขา แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกลียดชังกันถึงขนาดนี้!

หันกุ้ยเฟยยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ฝ่าบาทรู้สึกเจ็บปวดในใจหรือไม่ หรือว่าฝ่าบาทไม่เชื่อคำของข้า ก็จริงอยู่ ฝ่าบาทเคยเชื่อข้าบ้างหรือไม่ แม้แต่ครั้งนี้ที่ข้าถูกใส่ร้ายอย่างโจ่งแจ้ง ฝ่าบาทก็ยังเลือกที่จะตาบอดใจบอด”

“จนกระทั่งถึงค่ำคืนนี้ หม่อมฉันยังคงรอ รอให้ฝ่าบาทเสด็จมาเยี่ยมหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยากทำถึงขั้นนี้ ฝ่าบาทบีบคั้นหม่อมฉันเอง!”

“หม่อมฉันเข้าวังด้วยความชื่นชมฝ่าบาท เมื่อหลายปีก่อน หม่อมฉันเฝ้ารอคอยที่จะเป็นคู่สามีภรรยาที่แท้จริงกับฝ่าบาท เซวียนหยวนหันเยี่ยนนางทำอะไรบ้าง หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลนางสนมของฝ่าบาทมาโดยตลอด หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทน่าจะมีใจให้ข้าบ้าง แต่ทว่าสุดท้าย หม่อมฉันก็เพิ่งรู้ว่าฝ่าบาททรงห่วงใยเซวียนหยวนหันเยี่ยนเพียงใด”

“แต่หญิงผู้นั้นไม่เคยหันกลับมามองฝ่าบาทเลย หม่อมฉันเกลียดนาง! ดังนั้น หม่อมฉันจึงสั่งให้คนลักพาตัวซ่างกวานเยี่ยน ขายนางไปที่ยาหางให้กลายเป็นทาสหญิง!”

ฮ่องเต้รู้สึกตกตะลึงถึงขีดสุด “เจ้าเองหรือ!”

หันกุ้ยเฟยยิ้ม “หม่อมฉันเองเพคะ!”

ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรง เดินฉับไปข้างหน้า บีบคอของนางแน่น “เราจะฆ่าเจ้า!”

หันกุ้ยเฟยถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก ใบหน้ากลายเป็นสีแดงจนเกือบเป็นสีม่วง แต่นางกลับยิ้มอย่างน่ากลัว “สายไปเสียแล้ว… ฝ่าบาท… สายเกินไปเสียแล้ว… ท่าน… ฆ่าหม่อมฉันไม่ได้แล้ว!”

ทันทีที่นางเอ่ยจบ เงาดำก็ทะยานลงมาจากท้องฟ้า ฟันมีดสั้นเข้าที่ท้ายทอยของฮ่องเต้

ร่างกายของฮ่องเต้ชาวาบทันที เขาคลายมือบนลำคอของหันกุ้ยเฟย ไปด้านข้างแล้วล้มลงกับพื้น

เขาเห็นชายเสื้อคลุมสีดำและรองเท้าสีดำประดับหมุดทอง จากนั้นเปลือกตาก็หนักอึ้ง ก่อนสิ้นสติไปโดยสมบูรณ์

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท