ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 309 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-6

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 309 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-6

เมื่อเห็นดวงตาที่สับสนของหลินหานซิง ไหวเต๋อจึงค่อยๆ ลุกขึ้น

เขาพาหลินหานซิงที่พูดไม่เก่งมายังเนินเขาข้างหลังคฤหาสน์

ที่นั่นมีหลุมฝังศพหนึ่ง

หน้าหลุมศพสลักไว้ว่า ‘หลิงหลิน ผู้รับใช้ที่ภักดี’

วันนั้น หลิงหลินผู้เป็นหัวหน้าผู้ดูแลบ้าน เสี่ยงชีวิตหลบหนีเพื่อปกป้องทายาทตระกูลหลินไว้

ทำอย่างไรได้ในเมื่อเจ้านายจากไปแล้ว นายน้อยยังเยาว์วัยนัก

หนทางข้างหน้ามิอาจคาดเดา หนทางข้างหลังถูกตัดขาด

เขาจึงหมดลมหายใจหน้าประตูคฤหาสน์

ใช้หนึ่งชีวิตเพื่อแลกกับการนอนหลับสบายของนายน้อยที่ยังอยู่ในห่อผ้าอ้อม

หลินหานซิงกราบไหว้หลิงหลินด้วยความเคารพนับถือแล้วจึงอำลาเหล่าอาจารย์

แววตาของเขามุ่งมั่นแต่เยือกเย็น

สายตาที่เย็นชานั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่น

แต่เขาก็ยังยึดมั่นในคำสั่งสอนของบรรพบุรุษเช่นเดียวกับบิดาของเขา

หลินหานซิงยังคงจดจำคำพูดของอาจารย์ ‘ขจัดความชั่วร้าย ผดุงสันติสุข ใต้หล้าปรองดอง’

เขาจึงลงจากเขาพร้อมกับคำแนะนำของเหล่าอาจารย์

หน้าคฤหาสน์ตระกูลหลิน

มีคนผู้หนึ่งกำลังเดินเนิบนาบ

เขาตรวจสอบคฤหาสน์ที่พังทลายอย่างละเอียดทีละชุ่น

แววตาของคนผู้นี้คมกริบ จิตกระบี่เป็นอนันต์

จากนั้นจึงหันหลังกลับและเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย

มุมปากของเขาเม้มเป็นเส้นตรง

ยังคงเป็นคนคนเดียว

บนทางภูเขาที่ขรุขระ

เขาก้าวเดินอย่างรวดเร็วราวกับเหาะเหิน

เห็นเพียงเขาสะบัดแขนเบาๆ ทั้งยังไม่สนใจการเคลื่อนไหวของฝีเท้า

ในชั่วพริบตา เขาก็ลอยข้ามถนนบนภูเขาไปจนสุดหุบเขาแล้ว

ท่ามกลางมวลบุปผา มีกระท่อมหญ้าเรียบง่ายหลังหนึ่ง

ข้างๆ กระท่อมมีหลุมศพหนึ่งปกคลุมด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง

ชายชราร่างผอมยืนค้ำไม้เท้าอยู่หน้าหลุมศพ แผ่นหลังงองุ้มไปตามวัย

เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะคุกเข่าลง

น่าเสียดายที่ร่องรอยวันเวลาบนตัวเขานั้นหนักหนาเกินไป

หนักหนาเกินกว่าจะคุกเข่าลงได้

ไกลออกไปหลินหานซิงมองไปยังเงาร่างของชายชราผู้นั้น

ตบะของเขาเพียงพอที่จะได้ยินคำพูดพึมพำของชายชราอย่างชัดเจน

“ศิษย์น้องหญิง เจ้าอภัยให้ข้าแล้วใช่หรือไม่ ข้าละทิ้งความมั่งคั่งและคนในครอบครัว ทั้งยังทำลายวรยุทธที่ปลายหุบเขานี้จนหมดสิ้น ข้าสำนึกผิดทุกวัน…”

รักคือสิ่งใด

คือปีศาจในใจ?

คือเปลวเพลิงลุกโชน?

หลินหานซิงไม่รู้ แต่ความรักนี้สุดท้ายก็เผาผลาญและทำลายทุกอย่าง!

ได้ยินจนถึงตรงนี้ หลินหานซิงก็หันหลังและเดินจากไปอย่างไม่ลังเล

ขจัดความชั่วร้าย ผดุงสันติสุข ใต้หล้าปรองดอง

คำสั่งสอนของอาจารย์เหมือนระฆังที่ดังก้องอยู่ในหูเขาไม่หยุด

เมื่อใช้ก้าวย่างวิญญาณผยอง ก็ก้าวข้ามไปยืนบนยอดเขายอดหนึ่งในทันที

ชั้นเมฆสูงเสียดฟ้า ขุนเขาเล็กจ้อย

เขาถอนหายใจยาว

ข้างหลังภูเขาฝั่งนั้นเป็นสถานที่ที่อาจารย์เรียกว่าโลกมนุษย์

แต่ตอนนี้ เขาที่เดินทางผ่านทุกหนแห่งในโลกมนุษย์กลับไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ

ขจัดความชั่วร้าย ผดุงสันติสุข?

ต่อให้โลกจะสงบสุขเพียงใดก็ยังไม่ขาดนักย่องเบา

ในอดีตหลินหานซิงเป็นคนแน่วแน่ ยึดมั่นในหลักการ

สรรพสิ่งต้องถูกแบ่งเป็นดีชั่ว ถูกและผิด

ทว่าผู้จุดตะเกียงเหมันต์ในตอนนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

ความชั่วร้ายเล็กน้อยไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวง

เป็นเพียงวิธีการดำรงอยู่แตกต่างกันก็เท่านั้น

ใต้หล้าปรองดอง?

ใต้หล้าภายใต้การปกครองของห้าอ๋องก็ถือว่าไม่เลวนัก

ทว่าการจะบรรลุความปรองดองที่แท้จริงนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม

………………….

“ท่านปู่ เหตุใดท่านจึงไม่พูดอะไรเลย”

“เจ้าจะให้ปู่พูดอะไร”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์มองหลานสาวด้วยความรักและเมตตา

สายตานี้ไม่ต่างจากสายตาที่อาจารย์ทั้งสามมองเขาเมื่อตอนนั้น

“บอกให้เขาสู่ขอข้า”

หยวนซานชี้ไปที่จิ้นเผิงและพูด

“แล้วถ้าเขาไม่ยอมเล่า”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ถาม

“เขาจะไม่ยอมได้อย่างไร แม้แต่อ๋องทั้งห้ายังต้องฟังคำสั่งของท่าน จิ้นเผิงจะไม่ยอมได้อย่างไร!”

หยวนซานกล่าวอย่างโกรธเคือง

จากนั้นนางก็เหลือบมองจิ้นเผิงอย่างดุดัน

เป็นการข่มขู่อย่างไม่ต้องสงสัย

“พวกเขาฟังคำสั่งข้า แต่เจ้าเคยได้ยินข้าสั่งพวกเขาสักครั้งหรือไม่ ข้าเคยให้พวกเขานำเงินทอง ผ้าไหมหรืออาหารเลิศรสมาให้ข้าหรือไม่”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ยิ้มพลางถามกลับ

“แต่หากท่านปู่เอ่ยปาก ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ผ้าไหมหรืออาหารเลิศรส พวกเขาก็ต้องยอมให้ทั้งนั้นแหละ”

หยวนซานกล่าวอย่างไม่ยอมจำนน

นางเพียงต้องการให้ปู่พูดแทนนางเท่านั้น

ในฐานะหลานสาว การขอให้ปู่ของตนทำเช่นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องที่มากเกินไป

แต่ในฐานะหลานสาวของผู้จุดตะเกียงเหมันต์ ไม่ควรร้องขอให้ปู่ของตนกล่าวคำพูดที่ไม่เป็นกลางเช่นนั้น

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์มองหลานสาวที่อยู่ตรงหน้า

แม้จะอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่พื้นฐานของเด็กสาวคนนี้กลับยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

เขานึกถึงคำพูดที่เขาได้ยินจากชายชราร่างผอมตรงหน้าหลุมศพ

ปีศาจในใจ เปลวเพลิงลุกโชน

ไม่ใช่ว่าหลานสาวของเขากำลังเผชิญหน้ากับการทดสอบแบบเดียวกันอยู่หรอกหรือ

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์คิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายศีรษะ

“วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเจ้า ข้ามาอย่างรีบเร่งจึงไม่ได้นำของขวัญมาด้วย ข้าจะแบ่งเพลิงจากตะเกียงเหมันต์ของข้าให้ เจ้าว่าพอจะแลกสุราได้สักจอกหรือไม่”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์พูดกับจิ้นเผิง

จิ้นเผิงไม่ได้ตอบสนองในทันที

เพลิงจากตะเกียงเหมันต์ของผู้จุดตะเกียงเหมันต์ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลก

เพลิงจากตะเกียงเหมันต์นี้สามารถป้องกันกาย พิษร้ายทั้งปวงไม่กล้าเข้าใกล้ และยุทโธปกรณ์ทั้งหลายไม่อาจย่างกราย

หากอยู่ในระยะสามฉื่อจะถือว่าอยู่ในเขตต้องห้าม

ว่ากันว่าเพลิงจากตะเกียงเหมันต์ของผู้จุดตะเกียงเหมันต์มีจิตวิญญาณ

สามารถแยกแยะความดีความชั่วในใจคนได้

การโอบไหล่กันของสหาย ดื่มด่ำและสนุกสนานร่วมกันย่อมไม่ต้องใส่ใจ

แต่หากมีประกายดาบคมกระบี่ก็จะถูกกกวาดล้างทันที

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ชูนิ้วชี้มือซ้ายเข้าใกล้เพลิงตะเกียง

ขณะที่ปากกล่าวเพียงคำว่า ‘ไป!’

กลุ่มเพลิงในตะเกียงเหมันต์ก็แยกออกเป็นก้อนสีฟ้าเล็กๆ

ก้อนสีฟ้านั้นลอยอยู่เหนือศีรษะจิ้นเผิง ไม่จางหายไปอยู่นาน

“เจ้าไม่ต้องการหรือ”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ถามด้วยความประหลาดใจ

หากจิ้นเผิงปรารถนา เพลิงตะเกียงจะเข้าสู่กายเขาเอง

หากเขาไม่ต้องการ เพลิงตะเกียงก็จะลอยอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน

จิ้นเผิงส่ายศีรษะ ประสานมือพร้อมกล่าวขอบคุณ

เขาไม่รู้ว่าควรจะเรียกผู้จุดตะเกียงเหมันต์ว่าอย่างไร

จึงตัดปัญหาโดยการไม่เรียกชื่อเสียเลย

เขากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจและชัดเจน!

จากนั้นหันกลับไปมองคนทั้งห้าที่มาล้างแค้น

ยามนี้กลุ่มคนทั้งห้ากลับรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง

ดูท่าการล้างแค้นจำต้องยุติลง

แต่จะเดินต่อก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้

รอดชีวิตออกจากคุกมาได้ก็นับว่าโชคดีอย่างยิ่งแล้ว

คิดๆ ดูแล้ว เหตุใดยังยึดติดอยู่เล่า

ทั้งสี่คนหันไปมองหัวหน้าที่ถือดาบยาวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ความมุ่งมั่นของคนทั้งห้าได้สลายไปแล้ว

จิ้นเผิงเก็บดาบสั้นของตระกูลโอวลง

เดินไปหาทั้งห้าคนด้วยท่าทางสงบนิ่ง

“ดื่มสุราสักจอกก่อนค่อยไป?”

จิ้นเผิงเอ่ยปากถาม

คนทั้งห้าเงียบงัน

จิ้นเผิงก็ไม่ได้กดดัน

เขาเพียงโค้งตัวเล็กน้อยให้ผู้จุดตะเกียงเหมันต์บนหลังคา

ผายมือขวาทำท่า ‘เชิญ’

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์หัวเราะเสียงดัง และไม่ได้ถือตัว

เดินลงมาจากหลังคาทีละก้าว

ทั้งๆ ที่ระหว่างหลังคากับพื้นดินนั้นว่างเปล่า

แต่ใต้ฝ่าเท้าของผู้จุดตะเกียงเหมันต์ราวกับมีบันไดปรากฏขึ้นมา

ตอนนี้เขากำลังเดินบนบันไดที่มองไม่เห็น และสุดท้ายก็ก้าวลงสู่พื้นอย่างมั่นคง

“ท่านปู่ ท่านไม่ดื่มสุราไม่ใช่หรือ”

หยวนซานถาม

แม้นางจะรู้สึกไม่พอใจที่ปู่ของตนไม่ช่วยเหลือ

แต่เรื่องที่ผู้จุดตะเกียงเหมันต์จะดื่มสุรานั้น ทำให้นางสงสัยยิ่งนัก

“ปู่ไม่ดื่มสุรา เพราะไม่มีโอกาสและไม่พบคนที่เหมาะสม”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์พูดขึ้น

“เช่นนั้นตอนนี้เป็นโอกาสอะไร แล้วปู่ได้พบใครจนต้องการดื่มสุรา”

หยวนซานเอ่ยถาม

“งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของผู้อื่นไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดหรือ ได้รับความมงคลและความสุขจากเจ้าของวันเกิด[1] ไม่แน่ว่าปู่อาจจะมีชีวิตยืนยาวเพิ่มอีกสองสามปี ส่วนคนผู้นั้น…ปู่ไม่สามารถบอกเจ้าได้”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ไม่ยอมบอก

จากนั้นก็เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม

“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ไม่ใช่เจ้าแน่นอน!”

หยวนซานหันกลับไปพูดกับจิ้นเผิงด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

“ได้รับความมงคลและความสุขจากเจ้าของวันเกิด และข้าก็คือเจ้าของวันเกิด ได้ครอบครองไปแล้วหนึ่งข้อ อีกข้อหนึ่งหากไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ข้าไม่ใช่คนที่โลภอยู่แล้ว”

จิ้นเผิงกล่าว

“ขอเพียงเป็นบุรุษ ไม่มีใครที่ไม่โลภ!”

หยวนซานหัวเราะเย็นแล้วพูดขึ้น

“คนที่มีความโลภมักจะมีเพื่อนน้อย และยิ่งไม่คิดจะจัดเลี้ยงด้วยซ้ำ เจ้าดูสิเพื่อนข้ามากมายเพียงนี้และยังทุ่มเทเพื่อจัดเลี้ยงพวกเขา ย่อมแสดงให้เห็นว่าข้าไม่ใช่คนโลภ”

จิ้นเผิงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

“สำหรับความรู้สึกและทรัพย์สิน เจ้าอาจจะไม่โลภ แต่สิ่งที่เจ้าโลภคือหัวใจของสตรี!”

หยวนซานกล่าว

พูดจบ นางจงใจยืดหลังตรงแล้วเดินผ่านหน้าเยว่ตี๋

เหมือนกำลังเผยความภาคภูมิใจในรูปร่างของนาง

หน้าอกของนาง แน่นอนว่าเด่นกว่าเยว่ตี๋มาก

เยว่ตี๋ก้มลงมองแล้วยิ้มเบาๆ

“เด็กน้อยจริงๆ…”

เยว่ตี๋พึมพำกับตัวเอง

แต่เห็นได้ชัดว่าหยวนซานได้ยิน

เพราะหลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่านางฝีเท้าเล็กน้อย

“สหายน้อยจากกรมสอบสวนที่อยู่นอกประตูอยากจะร่วมดื่มกับข้าสักจอกหรือไม่ ถือโอกาสเล่าเรื่องราวในโลกมนุษย์ให้ข้าฟังด้วยว่าช่วงนี้มีเรื่องใหม่ๆ ใดเกิดขึ้นบ้าง”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์กล่าว

สายตาของทุกคนก็มุ่งไปที่หลิวรุ่ยอิ่งทันที

พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงได้รับความสนใจจากผู้จุดตะเกียงเหมันต์

หรือคนที่เขาเพิ่งกล่าวว่าน่าสนใจนั้นจะหมายถึงเขา?

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรจึงหันไปมองเยว่ตี๋อีกครั้ง

“ดื่มสุรายังดื่มไม่เป็นหรือ ต้องให้ข้าสอนหรือไม่”

เยว่ตี๋กล่าวหยอกล้อ

หลิวรุ่ยอิ่งจนปัญญา

ได้แต่ยอมให้หวาหนงตามเยว่ตี๋ไป ส่วนตัวเขาก็เดินเข้าโรงเตี๊ยม

“ท่านปู่ หากท่านต้องการถามเหตุการณ์ต่างๆ เหตุใดไม่ถามจิ้นเผิงเล่า เขาก็เป็นคนของกรมสอบสวน ทั้งยังเป็นถึงผู้บังคับบัญชาอีกด้วย!”

หยวนซานกล่าว

นางยังคงไม่ยอมแพ้

“คนหนุ่มสาวสายตาก็จะแตกต่างกัน ปู่อายุปูนนี้แล้ว แค่อยากพูดคุยกับคนหนุ่มบ้างก็เท่านั้น”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์กล่าว

ขณะที่พูด ก็รินสุราไปสองจอกแล้ว

“แต่จิ้นเผิงก็ยังไม่แก่นะเจ้าคะ!”

หยวนซานเบ้ปากกล่าว

“ไม่ใช่ว่าแก่หรือไม่แก่หรอก แต่เรื่องของคนหนุ่มสาวนั้นยิ่งหนุ่มยิ่งดี!”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ตอบกลับ

“เช่นนั้นท่านก็หาเด็กทารกสักคนสิ!”

หยวนซานพูดอย่างโกรธเคืองและนั่งลงข้างๆ

“ปีที่แล้วปู่เดินทางไกลเพราะได้ยินข่าวว่าในอาณาจักรอันตงอ๋องมีเด็กทารกคนหนึ่งที่พูดได้ตั้งแต่เกิด ปู่จึงตั้งใจไปดูด้วยตัวเอง”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์กล่าว

“หลังจากนั้นล่ะ”

หยวนซานถามอย่างร้อนรน

คำวิจารณ์ของเยว่ตี๋ที่มีต่อนางนั้นแม่นยำจริงๆ

นางไม่ใช่เด็กหรอกหรือ

อารมณ์และความใคร่รู้ที่มาเป็นระยะ

“แล้วพอปู่ไปถึงที่นั่นก็พบว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์กล่าวพลางหัวเราะ

กลับแกล้งหลานสาวของตัวเอง

หยวนซานยิ่งโมโหหนักขึ้นไปอีก

ใช้พลังปราณทั้งหมดหักคู่ตะเกียบงาช้างในมือเป็นสองท่อน

ต้องรู้ว่าตะเกียบงาช้างคู่นี้เป็นของที่ผู้จุดตะเกียงเหมันต์รักอย่างยิ่ง

“ยิ่งโตยิ่งเหมือนกลับไปเป็นเด็กจริงๆ!”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์มองสีหน้าโกรธเคืองของหลานสาวแล้วกล่าวพลางหัวเราะ

จากนั้นก็ยื่นมือไปลูบตะเกียบงาช้างที่หักเป็นสองท่อนเบาๆ ก่อนจะกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง

เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ก็เห็นหลิวรุ่ยอิ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะแล้ว กำลังทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม

“สหายน้อยไม่ต้องมากพิธี โต๊ะสุราไม่แบ่งแยกความอาวุโส ทำตัวตามสบายเถิด!”

ผู้จุดตะเกียงเหมันต์กล่าว

คำพูดนี้ หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินครั้งแรกที่หอทรงปัญญา

แม้เวลาจะผ่านไปไม่นาน

แต่วันนี้ได้ยินอีกครั้งกลับรู้สึกเหมือนว่าเป็นอีกโลกหนึ่ง

…………………………………………………

[1] เจ้าของวันเกิด ในภาษาจีนมีอีกความหมายหนึ่งคือเทพเจ้าแห่งอายุมั่นขวัญยืนหรือเทพซิ่ว

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท