บทที่ 400 แค่นี้เนี่ยนะ
ไป๋เยี่ยมองที่ปรึกษาของเขาด้วยสายตาร้อนรน “อาจารย์ตามหาผมอยู่เหรอครับ”
หลิวป๋อหลี่ตอบรับเบาๆ เขาวางหนังสือลงและหันมาพูดกับไป๋เยี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวเยี่ย ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
“เราเรียนปริญญาโทกันแค่สามปีเท่านั้น นี่ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว สิ้นปีนี้คุณก็ต้องคิดโครงการวิจัยอิสระแล้ว คุณได้คิดเรื่องนี้ไว้บ้างไหม”
คงไม่จริงถ้าหากจะบอกว่าตอนนี้ไป๋เยี่ยไม่ได้คิดเรื่องแผนกสมองเลย แต่ถึงมี มันก็คงเป็นความคิดที่ว่างเปล่า เหล่าหลิวอายุมากแล้ว เขาจึงไม่ได้ไปราวน์วอร์ดทุกสัปดาห์ ส่วนไป๋เยี่ยก็ได้ไปราวน์แค่สัปดาห์ละหนึ่งวันเท่านั้น ส่วนเวลาอื่นๆ พวกเขาก็ต่างยุ่งอยู่แต่กับเรื่องของตนเอง
แต่ไป๋เยี่ยก็ยังมีไม่ความคิดดีๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย
เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไร ความเข้าใจของเขาต่อแผนกโรคสมองก็ถูกจำกัดอยู่แค่การรักษาผู้ป่วยในวอร์ดเท่านั้น เขาจึงยังไม่ค่อยมีความเข้าใจในงานวิจัยสมัยใหม่ของสาขานี้มากนัก
ไป๋เยี่ยรู้สึกว่าการเรียนปริญญาโทของเขาดูสูญเปล่าเล็กน้อย…
หลิวป๋อหลี่ถอนหายใจ “เสี่ยวเยี่ย คุณมีพรสวรรค์ มีความสามารถและมีความพยายาม นี่เป็นเรื่องดีนะ แต่ว่าในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์ของคุณ ผมก็คาดหวังว่าคุณจะทำความเข้าใจกับเนื้อหาของสาขาที่คุณสังกัดอยู่ให้มากกว่านี้หน่อย”
“สิ้นปีนี้คุณจะต้องส่งรายงานเสนอหัวข้อแล้ว ผมก็เป็นห่วงคุณนะ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลืออะไรก็อย่าอายที่จะถามเลย”
ไป๋เยี่ยคิดว่าถ้าตนต้องการทำความเข้าใจกับโรคในแผนกนี้อย่างจริงจัง ก็จะต้องไปติดต่อกับผู้ป่วยและศึกษาแผนการรักษาที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งการอยู่แต่ในวอร์ดผู้ป่วยนอกก็ดูจะจำกัดเกินไป ถ้าต้องการทำความเข้าใจกับโรคสมองจริงๆ ก็ต้องไปที่วอร์ดผู้ป่วยในเท่านั้น
ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหลิวป๋อหลี่ “อาจารย์ครับ ผมอยากกลับไปเรียนที่แผนกโรคสมองสักพักครับ”
หลิวป๋อหลี่ได้ฟังก็พลันเบิกบานใจขึ้นมาในทันที เด็กคนนี้รู้ความจริงๆ!
ทว่าหลิวป๋อหลี่ก็ยังคงขมวดคิ้วแน่น เขาครุ่นคิดบางอย่างอยู่อีกสักพักหนึ่งแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาใครบางคน พูดอะไรนิดหน่อยแล้วจึงวางสาย จากนั้นเขาก็ถอนหายใจแล้วหันมาทางไป๋เยี่ย “เสี่ยวเยี่ย หมอในแผนกอยู่กันครบ คนไข้ก็ไม่มีมาสักเคส ตอนนี้ที่แผนกยังไม่ขาดคน คุณกลับไป…เดี๋ยวก่อน คุณรอสักครู่ ผมขอโทรศัพท์ก่อน”
หลิวป๋อหลี่พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเจียวลี่หมินซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกโรคสมอง “สวัสดีครับ หัวหน้าเจียว เห็นว่าผอ.โรงพยาบาลในอำเภอเจียงหงอยากจะร่วมมือกับเรา คุณให้หมอในแผนกสักสองคนไปช่วยงานที่นั่นหน่อยสิ”
“อืม ตามนั้นแหละ อ้อ ใช่ พอกลับมาแล้วก็ให้พวกเขาไปอบรมด้วยนะ แล้วผมจะเลื่อนตำแหน่งให้ อืมๆ คุณก็เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ไว้ให้ดีแล้วกัน อืม จริงด้วย ผมว่าจะให้ไป๋เยี่ยไปประจำที่แผนกอยู่พอดี คุณก็ช่วยเขาหน่อยแล้วกัน ให้เขาดูแลคนไข้เองนั่นแหละ…”
ไป๋เยี่ยถึงกับช็อก เขาไม่คิดเลยว่าที่ปรึกษาของเขาจะทุ่มเทเพื่อให้เขาได้เข้าไปทำงานในแผนกขนาดนี้ ไป๋เยี่ยคิดแล้วก็รู้สึกขอบคุณมาก
หลิวป๋อหลี่พอใจกับทาทีของไป๋เยี่ยมาก
หลิวป๋อหลี่เห็นไป๋เยี่ยเป็นแบบนี้แล้วก็อดทุ่มเทเพื่อเขาไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น…การส่งบุคลากรสองคนไปที่อื่นก็มีผลเสียต่อการพัฒนาของโรงพยาบาลเช่นกัน เพราะฉะนั้นไป๋เยี่ยจะต้องสร้างคุณค่าให้มากกว่านั้น!
หลิวป๋อหลี่มองไป๋เยี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวเยี่ย คุณก็เห็นแล้วว่าผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการส่งคุณเข้าไปทำงานในแผนก คุณเข้าไปแล้วต้องตั้งใจทำงานนะ ห้ามทรยศความคาดหวังของทุกคนเป็นอันขาด!”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่ต้องห่วงครับอาจารย์ ผมจะกลับไปตั้งใจทำงานครับแล้วก็จะตั้งใจเรียนด้วย!”
หลิวป๋อหลี่นิ่งไป ไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย ถ้าแกจะกลับไปทำงาน ก็สู้ให้หมอสองคนนั้นมาทำงานแทนดีกว่า!
“แค่นี้เนี่ยนะ”
ไป๋เยี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจะให้ทำยังไงอีก
หลิวป๋อหลี่คิดว่าตนควรจะเกลี้ยกล่อมไป๋เยี่ยอีกสักหน่อย “เสี่ยวเยี่ย คุณควรจะแสดงจุดเด่นของคุณออกมานะ เหมือนกับตอนที่อยู่แผนกศัลยกรรมกระดูกไง คุณเข้าใจใช่ไหม”
หลังจากออกมาจากห้องทำงานของเหล่าหลิว ไป๋เยี่ยก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เพียงแต่ว่า…ตอนนี้เขาควรจะไปที่แผนกได้แล้ว!
ซึ่งเขาก็ควรกลับไปที่แผนกจริงๆ เพราะช่วงปลายปีจะต้องส่งรายงานเสนอหัวข้อแล้ว แต่เขากลับยังคิดอะไรไม่ออกเลย
ตอนนี้แพทย์ทั้งสองคนจากแผนกโรคสมองที่จะต้องออกเดินทางไปยังชนบทต่างก็รู้สึกสับสนปนตื่นเต้น
การออกไปช่วยเหลือพื้นที่ชนบท เช่น ซินเจียง หรือทิเบต เป็นหนึ่งในหนทางสู่การเลื่อนตำแหน่ง
หลังจากที่กลับมาแล้ว โรงพยาบาลก็จะส่งคุณไปเรียนและฝึกอบรมเพิ่มเติม จากนั้นไม่นานคุณก็จะได้เลื่อนตำแหน่ง
เดิมทีแพทย์ทั้งสองคนนั้นก็ยื่นใบสมัครไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกรอบ ทว่าขณะที่พวกเขากำลังจะล้มเลิกความคิดและกลับไปทำงานหนัก จู่ๆ ก็มีสารจากเบื้องบนอนุมัติให้พวกเขาได้ไปช่วยเหลือพื้นที่ชนบท!
ความสุขเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป
นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าความสุขมาหาถึงหน้าประตู
ทั้งสองคนไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะออกเดินทางได้ทันที พวกเขาจะต้องรอให้เคสที่ตนกำลังดูแลออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับเคลียร์งานในมือให้เสร็จเสียก่อน
กว่าเรื่องราวจะเรียบร้อยดีก็คงใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์
ทั้งแผนกโรคสมองต่างตกตะลึงกับข่าวนี้!
บรรดาเพื่อนร่วมงานของทั้งสองคนต่างก็เข้ามาถามไถ่
“พวกนายทำได้ไง อยู่ดีๆ ก็ได้ไปลงพื้นที่ เก่งชะมัด”
“นั่นสิ ฉันสมัครไปตั้งครึ่งปีกว่าจะได้ไป พวกนายสองคนสมัครปุ๊บก็ได้ไปเลย ดีเกินไปแล้ว”
ทั้งสองคนฟังเพื่อนร่วมงานรอบๆ พูดคุยกันก็รู้สึกประหม่า เพราะแม้แต่พวกเขาเองก็ยังงงเลย
เพราะว่าแผนกโรคสมองถือเป็นจุดเด่นของโรงพยาบาลผู่เจ๋อ และเป็นศูนย์ให้การรักษาพยาบาลของพื้นที่นี้ จะมองข้ามศักยภาพของผู่เจ๋อไปไม่ได้เด็ดขาด
บางคนอาจจะไม่รู้เรื่องแผนกโรคสมองมากนัก อันที่จริงชื่อแผนกโรคสมองนั้นเป็นชื่อแผนกในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีน ส่วนในโรงพยาบาลแพทย์แผนปัจจุบันจะเรียกแผนกนี้ว่าแผนกโรคประสาทและสมอง หรือไม่ก็แผนกประสาทวิทยา
แผนกโรคสมองของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนเป็นแผนกที่บูรณาการโรคประสาทและโรคทางจิตเข้าด้วยกัน
ประเภทผู้ป่วยที่พบได้ส่วนใหญ่ มีดังนี้
ผู้ป่วยโรคทางระบบประสาทส่วนใหญ่ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองตาย เลือดออกในสมอง โรคพาร์กินสัน กลุ่มอาการกิแลง บาร์แร ซินโดรม[1] ฯลฯ
ผู้ป่วยโรคทางจิตเวช ได้แก่ วิตกกังวล ซึมเศร้า โรคจิตเภท โรคหวาดระแวง ฯลฯ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อย
แผนกโรคสมองของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนผู่เจ๋อมีทั้งหมดสามชั้น มีเตียงแอดมิทสองร้อยหลัง ซึ่งช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูใบไม้ร่วงอาจจะมีผู้ป่วยเข้ามาแอดมิทราวๆ สามร้อยถึงสี่ร้อยราย
[1] กลุ่มอาการกิแลง บาร์แร ซินโดรม (Guillain-Barré Syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบเฉียบพลันที่เส้นประสาทส่วนปลายโดยไม่เกิดความเสียหายต่อสมองหรือไขสันหลัง จากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ส่งผลให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออย่างเฉียบพลัน