ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 371 ครั้งแรกของมณฑลรับเสด็จราชัน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 371 ครั้งแรกของมณฑลรับเสด็จราชัน

ฟ้าดินเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง มีเพียงเสียงลมหายใจที่เกิดจากจิตใจฮึกเหิมดังก้องไม่หยุด

เผ่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ล้วนจิตใจเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหมทั้งนั้น

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีเรื่องราวของตัวเอง ทุกคนล้วนมีเรื่องที่ประสบพบเจอ

ไม่ว่าจะอยู่สูงส่ง หรือจะอยู่ในโคลนตม ความจริงแล้ว ในโลกอันโหดร้ายใบนี้ ในฟ้าดินที่โหดเหี้ยมผืนนี้ ในโลกที่ขมขื่นทุกข์ระทมกินคนใบนี้ก็ล้วนไม่ต่างกันเท่าไรนัก

ล้วนมีชะตาอันทุกข์ยาก ล้วนอยู่ในทะเลความทุกข์

และคำปฏิญาณของผู้ครองกระบี่ก็เหมือนกับอัสนีสวรรค์ ในขณะที่ฟาดผ่าสะเทือนเลื่อนลั่น ก็ทำให้สวี่ชิงเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของผู้ครองกระบี่

ไม่ว่าผู้ครองกระบี่ในวันนี้จะทำได้อย่างที่คำปฏิญาณกล่าวไว้ได้อย่างแท้จริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยมันเคยมีอยู่

นี่ก็คือหลักสำคัญของพิธีผู้ครองกระบี่เช่นกัน

บรรยากาศที่จริงจัง คำพูดที่เคร่งขรึม แสงพรายรุ้งอันศักดิ์สิทธิ์ คำปฏิญาณที่ดังกึกก้องสะท้านสะเทือน ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพื่อให้ภารกิจของผู้ครองกระบี่ดำรงต่อไป

ตอนนี้ในขณะที่จิตใจของเผ่ามนุษย์ทุกคนเกิดคลื่นซัดโหม แสงพรายรุ้งบนฟ้าฉายประกายอีกครั้งสาดมายังพื้นดิน ยามที่ส่องมาไม่ขาดสาย ก็มาอยู่ที่ใต้เท้าพวกสวี่ชิงทั้งสิบคน

ที่หน้าพวกเขา แสงพรายรุ้งพร่างพรายที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ครองกระบี่ก่อเป็นบันไดยาวที่กว้างหมื่นจั้งอันหนึ่ง

บันไดกว้างหมื่นจั้งปรากฏอยู่ข้างหน้าคนทั้งหลาย ปรากฏในเมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะแห่งนี้ เผ่ามนุษย์ทั้งหลายนับไม่ถ้วนล้วนเห็นกับตา แต่คนที่เข้าใกล้บันไดที่ยิ่งใหญ่นี้มีเพียงแค่สิบคนเท่านั้น!

นี่เป็นเส้นทางมุ่งสู่สวรรค์ที่ปรากฏขึ้นพวกเขาทั้งสิบคน

มันปรากฏขึ้นกลางฟ้าดิน ที่ปลายทางคือเทวรูปมหาจักรพรรดิ

มองไกลๆ เหมือนแค่เหยียบบันไดที่อยู่ข้างหน้า ก็สามารถเดินไปอยู่ข้างหน้ามหาจักรพรรดิได้

ความศักดิ์สิทธิ์แบบนั้น ในเสี้ยวขณะนี้ก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง

แสงพรายรุ้งเจ็ดสีของบันไดนี้พราวพร่างระยิบระยับ และเมื่อนับให้ละเอียดแล้ว บันไดนี้มีจำนวนถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น ก้าวขึ้นไปทีละก้าวๆ มุ่งสู่ผืนนภา

สวี่ชิงจ้องเพ่งทุกอย่างนี้ ในยามที่สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ ข้างหูเขาก็มีเสียงจริงจังของผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่ดังขึ้น

“สายครองกระบี่ บุกเบิกความรุ่งเรืองสูงสุดแก่มนุษย์ สร้างความสงบสุขสมบูรณ์แก่หมื่นโลก ด้วยเหตุนี้บันไดจึงกว้างหมื่นจั้ง

“จักรพรรดิเป็นนายแห่งหมื่นสรรพสิ่ง ขาดองค์ราชันสรรพสิ่งไม่สมบูรณ์ จึงเกิดเป็นบันไดเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น เป็นสัญลักษณ์กรมครองกระบี่เรา ใต้องค์จักรพรรดิทุกสิ่งสรรพล้วนฟาดฟันทำลายได้!”

เสียงดังก้องไปในฟ้าดิน ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายแสงแรงกล้า หากบอกว่าคำพูดเหล่านั้นก่อนหน้านี้เป็นจิตวิญญาณของสายครองกระบี่ เช่นนั้นสองประโยคนี้ก็คือกระดูกของผู้ครองกระบี่!

จิตวิญญาณคือแกนหลักของคำปฏิญาณ กระดูกคือแกนหลักของสันหลัง!

กระดูกสันหลังของผู้ครองกระบี่คือใต้จักรพรรดิลงมาล้วนสามารถฟาดฟันสังหารได้!

ในดวงตาของนายกองฉายประกายวาววาม ฉายความปรารถนาออกมา

ชิงชิวที่อยู่ที่นี่ก็เช่นกัน ดวงตาทั้งสองใต้หน้ากากฉายประกายวาววับ

จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่ที่อยู่บนฟ้าเงยหน้ามองเทวรูปมหาจักรพรรดิ คล้ายว่าสูดลมหายใจลึก สีหน้าเคร่งขรึม ใช้น้ำเสียงที่จริงจังยิ่งขึ้น โค้งคารวะสุดตัว

“มหาจักรพรรดิโปรดประทานกระบี่”

เสียงนี้เมื่อดังขึ้น ผู้ครองกระบี่ทุกคนที่ตั้งแถวเป็นปีกคู่ต่างประสานหมัด โค้งคารวะไปทางท้องฟ้าพร้อมกัน

จากการโค้งคารวะนี้ เทวรูปมหาจักรพรรดิแผ่ประกายแสงดุจดวงอาทิตย์กล้าขึ้นเหนือท้องทะเล สาดส่องมาด้วยรัศมีอำนาจที่ขับไล่ความมืดทุกอย่างในฟ้าดินให้สลายไป ในยามที่ประกายแสงนี้หอบม้วนไปทั่วผืนฟ้า ก็มีรุ้งยาวสามทางบินพุ่งออกมาจากหลังของเทวรูปมหาจักรพรรดิ

รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แล้วพุ่งลงมาข้างล่างเทวรูปมหาจักรพรรดิ แผ่ประกายแสงเจิดจ้าพร่างพรายอยู่เหนือบันไดขั้นที่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า

เสียงวูมดังขึ้น กระบี่ใหญ่สามเล่มก็จมไปในนั้น ห่างกันพันจั้ง แผ่แสงสีเขียวครามออกมา ตัวกระบี่ไหลวนเหมือนสายน้ำไหล ส่งเสียงกระบี่หนักทุ้มออกมา รัศมีอำนาจไม่ธรรมดา

แค่เห็นก็ไม่ใช่วัตถุธรรมดาทั่วไป

กระบี่สามเล่มนี้เป็นกระบี่และเป็นคำประกาศิต เป็นสัญลักษณ์ของผู้ครองกระบี่ และเป็นคำอาญาสิทธิ์ของผู้ครองกระบี่!

“ผู้ครองกระบี่คือผู้ถือคำประกาศิต มีกระบี่เป็นประกาศิต ปกป้องสรรพชีวิต”

บนท้องฟ้า ผู้ครองกระบี่ทุกคนตอนนี้ต่างเอ่ยพร้อมกัน เสียงประดุจระฆังกังวาน สะท้านฟ้าสะเทือนดิน เหนือกว่าอัสนีสวรรค์ สยบบรรพกาล

“พวกเจ้าทั้งสิบ โดดเด่นผ่านคุณสมบัติผู้ครองกระบี่ จงฟังคำบัญชา!” จากเสียงหลงเหลือของผู้ครองกระบี่ทุกคนที่ดังก้อง เสียงล้ำลึกของผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่ก็ดังขึ้น

เสียงเมื่อรวมอยู่ด้วยกัน คนทั้งหลายต่างฮึกเหิม

สวี่ชิงดวงตาฉายประกายเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น ตำแหน่งผู้ครองกระบี่ต้องเป็นของเขา

คนอื่นๆ ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นนายกองหรือชิงชิว หรือจะเป็นจางซืออวิ้นรวมถึงเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่เคยล่วงเกินสวี่ชิงคนนั้น และยังมีคนอื่นๆ ตอนนี้ต่างดวงตาเป็นประกายวาววับ

ในขณะที่พวกเขาทั้งสิบสมาธิตั้งมั่น เสียงเคร่งขรึมบนท้องฟ้าก็ดังก้องไปในฟ้าดิน

“ชิงชิว ในกายมีตราประทับวิญญาณศึกสี่สิบตรา ก้าวขึ้นมาสี่ร้อยขั้น!”

ชิงชิวร่างสะท้านเฮือก ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เดินขึ้นมาตลอดทาง

ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมา ก็มาถึงบนระดับความสูงสี่ร้อยขั้น ยืนอยู่กลางท้องฟ้า

“เฉินเอ้อร์หนิว ในกายมีตราประทับวิญญาณศึกหนึ่งร้อยยี่สิบตรา ก้าวขึ้นมาหนึ่งพันสองร้อยยี่สิบเจ็ดขั้น!”

นายกองรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง พุ่งออกไปทันที หลังจากที่ขึ้นไปไม่หยุดก็มาถึงบันไดขั้นที่หนึ่งพันสองร้อยยี่สิบเจ็ด

“จางซืออวิ้นในกายมีตราประทับวิญญาณศึกหกสิบสามตรา ก้าวขึ้นมาหกร้อยสามสิบขั้น”

“หนิงเหยียน…”

จากเสียงที่ดังก้อง ทุกคนก็ก้าวขึ้นมาบนบันไดในระดับต่างๆ ตามตราประทับวิญญาณศึกในกายของตนจากเสียงเคร่งขรึมที่ดังมา

จวบจนถึงสวี่ชิง

“สวี่ชิง ในกายมีตราประทับวิญญาณศึกสองร้อยเจ็ดสิบเก้าตรา ก้าวขึ้นมาสองพันเจ็ดร้อยเก้าสิบขั้น”

กลุ่มคนข้างล่าง ต่อให้ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างยิ่ง ก็มีเสียงแตกตื่นฮือฮาดังออกมาอย่างห้ามไม่ได้ จำนวนขั้นบันไดของนายกองก่อนหน้านี้ก็ทำให้พวกเขาจิตใจสั่นสะท้านแล้ว แต่ก็ยังคงสะกดกลั้นเอาไว้ได้ แต่ตราประทับวิญญาณศึกของสวี่ชิง…เกินกว่าจินตนาการของทุกคน มาถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อน

ทันใดนั้น สายตาที่แฝงด้วยความไม่อยากจะเชื่อแต่ละคู่ก็รวมมาที่สวี่ชิงจากทั่วทุกสารทิศ

ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญในเมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะ หรือจะเป็นพวกชิงชิวที่ยืนอยู่บนบันไดระดับขั้นต่างๆ ล้วนจิตใจสั่นสะท้านกันไปทุกคน

สวี่ชิงเงยหน้า สีหน้าสงบนิ่ง ก้าวเดินไปข้างหน้า

ภายใต้การจับจ้องจากสายตานับไม่ถ้วน เขาก้าวไปทีละก้าวๆ ดุจราชันหนุ่ม เดินไปทางท้องฟ้า ไปทางมหาจักรพรรดิ

เขานำหน้าคนอื่นๆ ไป นำหน้าหนิงเหยียนเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ นำหน้าชิงชิงที่ดวงตาฉายแววซับซ้อน นำหน้าจางซืออวิ้นที่สีหน้าเย็นชา นำหน้านายกองที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

หลังจากเดินนำหน้าคนทั้งหลายมากแล้ว เขายังเดินอีกนาน จวบจนเดินมาถึงขั้นที่สองพันเจ็ดร้อยเก้าสิบ เดินมาถึงจุดสูงสุดของคนทั้งหลาย เดินมาถึงยังฟ้าดิน

นำหน้าไปไกล!

ตอนนี้ห่างจากจักรพรรดิเหลืออีกเจ็ดพันสองร้อยเก้าขั้น!

ข้างหลังเขาคือคนทั้งเก้า หลังไปจากนั้นคือผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนบนพื้นดิน

ยืนอยู่บนตำแหน่งนี้ สวี่ชิงเข้าใจกระจ่างถ่องแท้แล้วว่า หลังจากที่มาถึงเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ รายการเพิ่มคะแนนเหล่านั้นล้วนมีความหมายทั้งสิ้น

การเพิ่มคะแนนของพวกมันอาจจะไม่ได้ใช้กับเรื่องเดียวกันทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ใช้กับเรื่องนี้

การทดสอบความจริงได้ดำเนินขึ้นนับตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว

เพราะหลังจากที่ยืนอยู่ที่ตำแหน่งความสูงนี้ เสียงลึกล้ำของผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่ที่อยู่บนท้องฟ้า ก็ดังออกมาพร้อมความเคร่งขรึมจริงจังอีกครั้ง

สวี่ชิง เฉินเอ้อร์หนิว จางซืออวิ้น พวกเจ้าเป็นอันดับที่หนึ่งในการปีนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ สูงสามพันจั้ง ก้าวขึ้นมาสามพันจั้ง

……

จากการเอ่ยชื่อออกมาแต่ละชื่อ พวกสวี่ชิงทั้งสิบคนทยอยเดินไปข้างหน้า สวี่ชิงยังคงเป็นอันดับหนึ่งเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย และไม่อาจสั่นคลอนเขาได้แม้เพียงเศษเสี้ยวเช่นกัน

และในตำแหน่งที่สูงขึ้นไป เขามองเทวรูปมหาจักรพรรดิที่อยู่บนสุด มองกระบี่อาญาสิทธิ์เจิดจ้าพราวพร่างสามเล่มนั้น เขาในตอนนี้ห่างจากที่นั่น…อีกสี่พันสองร้อยเก้าขั้น!

จากนั้น เสียงดังก้องผืนฟ้าก็ดังขึ้นอย่างก้องกังวานสะท้านสะเทือน

“จางซืออวิ้น แต้มความชอบผลเก็บเกี่ยวในอุโมงค์ภูตได้สี่สิบแปดชิ้น ก้าวขึ้นมาสี่ร้อยแปดสิบขั้น!”

……

“ชิงชิวได้แต้มความชอบสองร้อยสิบสามชิ้นก้าวขึ้นมาสองพันหนึ่งร้อยสามสิบขั้น!”

“เฉินเอ้อร์หนิวได้แต้มความชอบสามร้อยหนึ่งชิ้น ก้าวขึ้นมาสามพันสิบขั้น!”

“สวี่ชิงได้แต้มความชอบสี่ร้อยยี่สิบเอ็ดชิ้นก้าวขึ้นมาสี่พันยี่สิบเอ็ดขั้น!”

ภายใต้เสียงดังสนั่นหวั่นไหวฟ้าสะท้านดินสะเทือนนี้ คนทั้งสิบบนบันไดต่างเคลื่อนไปข้างหน้า นอกจากนายกองแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมองไปทางเงาแผ่นหลังของสวี่ชิงที่อยู่ข้างหน้า สายตาซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะจางซืออวิ้นที่สีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง จิตสังหารที่มีต่อสวี่ชิงรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะหากไม่ใช่การลงมือของสวี่ชิง ครั้งนี้เขาไม่มีทางเป็นแค่อันดับเก้าแน่นอน

เพราะการหนีเอาชีวิตรอดก่อนหน้านี้ เขาจึงจำต้องสำแดงเคล็ดวิชาลับ สละเลือดเนื้อร่างหนึ่งของตน ใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกครอบ แต่ก็เสียถุงเก็บของและเศษชิ้นส่วนที่อยู่ในนั้นไป

นอกจากนี้เขายังพบว่า ตอนนี้ข้างหน้าตนนอกจากสวี่ชิงและเฉินเอ้อร์หนิงแล้วยังมีชิงชิว อีกทั้งยังห่างกันอีกไกลด้วย

สวี่ชิงไม่คิดจะไปสนใจความอาฆาตแค้นของจางซืออวิ้น เขาในตอนนี้เดินไปทางบันไดข้างหน้า ก้าวไปทีละก้าวๆ เดินไปทางยอดสูงสุด

ซ้ายขวาของเขาไม่มีใครเช่นกัน

ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่บนพื้นตอนนี้ต่างส่งเสียงฮือฮาจากการเดินไปข้างหน้าของเขา ในสายตาไม่มีเงาร่างของคนอื่นอีกต่อไป คนที่จับจ้องมีเพียงสวี่ชิงคนเดียวเท่านั้น

เพราะขั้นบันไดที่เหลืออยู่ก่อนหน้านี้ของสวี่ชิงคือสี่พันสองร้อยเก้าขั้น น้อยที่จะมีคนก้าวขึ้นขั้นบันไดได้เท่าเขา!

และในตอนนี้ จากการเดินเคลื่อนหน้าไปของสวี่ชิง เขาเดินมาถึงขั้นที่แปดพัน เดินมาถึงขั้นที่เก้าพัน เดินมาขั้นที่เก้าพันเก้าร้อย เดินมาถึง…ขั้นที่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า ขั้นสุดท้าย!

หลังจากที่เหยียบย่างขึ้นมา เขาก็เดินมาถึงข้างหน้ากระบี่อาญาสิทธิ์ที่อยู่ตรงกลาง

ข้างหลังเขา คนที่อยู่ใกล้ที่สุดคือนายกอง อยู่บนบันไดขั้นที่เจ็ดพันกว่าๆ จากนั้นก็เป็นชิงชิวอยู่บนบันไดขั้นที่ห้าพันกว่า จากนั้นถึงจะเป็นจางซืออวิ้นอยู่บนขั้นที่สามพันกว่า

ส่วนเขาในตอนนี้เดินมาถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่เขายังเหลืออีกขั้นหนึ่งที่ยังไม่ได้ก้าวขึ้นไป

ในเสี้ยวพริบตานี้ ไม่ใช่แค่สายตานับไม่ถ้วนจากบนพื้นโลกที่จ้องมองมา แม้แต่ผู้ครองกระบี่ที่อยู่กลางอากาศก็ต่างก้มหน้ามองมาทางสวี่ชิง

เรื่องแบบนี้นับแต่โบราณกาลมาใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ครั้งที่ใกล้ที่สุดก็เมื่อหลายพันปีที่แล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่มณฑลรับเสด็จราชัน

ในมณฑลรับเสด็จราชัน นี่เป็นครั้งแรก!

ดังนั้น แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งเก้าแห่งผู้ครองกระบี่ก็ยังจับจ้องสายตามาที่สวี่ชิง

สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง เขายืนอยู่บนจุดสูงสุด ข้างหน้าไม่มีขั้นบันไดแล้ว มีเพียงเทวรูปมหาจักรพรรดิ

ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนจากก้าวสุดท้ายเป็นโค้งคารวะ

ภายใต้การจับจ้องจากผู้บำเพ็ญและผู้ครองกระบี่ทุกคน เขาประสานหมัดโค้งคารวะสุดตัวไปทางมหาจักรพรรดิเผ่ามนุษย์

“ประเสริฐนัก” บนท้องฟ้า ผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่ที่อยู่ตรงกลางพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยปากเอ่ยคำบัญชา

“พวกเจ้าทั้งหลาย ถือกระบี่!”

คำพูดนี้เมื่อดังขึ้น ทุกคนที่อยู่บนขั้นบันไดในเสี้ยวขณะนี้ต่างปะทุความเร็วในทุกด้าน สำแดงขีดจำกัดสูงสุดของตัวเอง

เคล็ดวิชาลับต่างๆ ยิ่งสำแดงแพรวพราว พุ่งทะยานมาที่บันไดขั้นที่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า

พวกเขากำลังพุ่งทะยาน

สวี่ชิงยืนอยู่บนจุดสูงสุด ยกมือดึงกระบี่อาญาสิทธิ์ที่อยู่ข้างหน้า หมุนตัวก้มมองคนทั้งหลายที่อยู่ข้างล่าง

เขายืนอยู่ตรงนั้น กระบี่อาญาสิทธิ์ที่อยู่ในมือสาดประกายแสงเจิดจ้า ในขณะที่สาดส่องมาที่ร่างของเขา เทวรูปมหาจักรพรรดิข้างหลังเขาก็สาดแสงพรายรุ้งปกคลุม

เพียงพริบตา ท่ามกลางการจับจ้องของคนที่อยู่ข้างล่าง สวี่ชิงในเสี้ยวพริบตานี้เหมือนซ้อนทับกับเทวรูปมหาจักรพรรดิ

รัศมีท่วงท่าที่ที่เก่งกาจเลิศเลอ ใบหน้าที่งดงามสง่า ในแสงพรายรุ้งนั่น ประดุจมหาจักรพรรดิคืนกลับมา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท