บทที่ 372 ผลลัพธ์จากการยั่วยุสวี่ชิง
การทดสอบผู้ครองกระบี่ เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
พิธีดั้งเดิมของเผ่ามนุษย์เช่นนี้ หาใช่สิ่งที่สำนักใดจะเปรียบได้ ขุมอำนาจที่แตกต่าง แน่นอนว่าทำให้กฎเกณฑ์ของพิธีแตกต่างไปด้วย
พิธีสำหรับโลกาวินาศแล้วสำคัญอย่างมาก
ยิ่งอยู่ในยามราตรี ยิ่งเรือนร่างอยู่ท่ามกลางวสันต์ ก็ยิ่งมีเปลวไฟก่อเป็นรูปเป็นร่าง เปลวไฟนี้..คือคบเพลิงสืบทอดของเผ่ามนุษย์ เป็นเปลวไฟสายเลือดเผ่ามนุษย์ เป็นตัวแทนจิตวิญญาณของเผ่ามนุษย์
ส่วนหน้าที่ของพิธี ก็คือการสืบทอดจิตวิญญาณ
ยิ่งเป็นทางการ ยิ่งศักดิ์สิทธิ์ การสืบทอดนี้ก็ยิ่งทำให้คนตราตรึง จนประทับไปในจิตวิญญาณไม่จางหายไปตลอดชีวิต
นี่ ก็คือพิธีผู้ครองกระบี่ และเป็นหนึ่งในพิธีของเผ่ามนุษย์
เวลานี้ผู้ครองกระบี่ตั้งแถวเป็นกระบวนทัพปีกคู่บนท้องฟ้า ยืนเคร่งขรึม สำหรับผู้ครองกระบี่แล้วรูปร่างของปีกถือว่ามีความหมายแฝงพิเศษ นั่นคือการคุ้มครอง
ใช้ปีกของตนเองคุ้มครองเผ่ามนุษย์ และยินยอมกลายเป็นปีกของเผ่ามนุษย์ เหินทะยานเพื่อความรุ่งโรจน์ของเผ่าเรา!
ผู้อาวุโสครองกระบี่ทั้งเก้าสีหน้าเคร่งขรึมราวกับกำลังเป็นพยาน นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของพิธีเช่นกัน ยืนฝั่งละสี่คน อยู่ตรงกลางคนเดียวในความสูงที่ต่างกัน กลายเป็นขุนเขา กลายเป็นกระบี่
เป็นตัวแทนของความเฉียบคมผู้ครองกระบี่ กระบี่อาญาสิทธิ์แห่งผู้ครองกระบี่
เบื้องหลังพวกเขาคือแสงพร่างพราวบนท้องฟ้ารวมถึงเทวรูปมหาจักรพรรดิที่ราวกับค้ำยันฟ้าดินไว้ องค์ท่านจ้องมองผืนปฐพี คอยเฝ้าดูการสืบทอดของเผ่ามนุษย์
ใต้เทวรูป คือสวี่ชิงที่ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ยืนอยู่บนท้องฟ้าสูงนับหมื่นจั้ง
สายลมพัดสะบัดเสื้อผ้า ผมยาวปลิวไสวตามลม แต่ร่างของเขายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน พลังอำนาจในตอนนี้ไม่ต้องใช้กลิ่นอายสร้าง แค่สายตา แค่ตำแหน่งที่ยืนอยู่ ก็เพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ
เพราะบนบันไดที่จุดสูงสุด มีเพียงสวี่ชิงคนเดียว
แต่ต้นกำเนิดของพลังอำนาจนี้ก็แสนจะหนักหน่วงเช่นเดียวกัน!
ที่หนักหน่วงก็คือแรงกดทับของเทวรูปมหาจักรพรรดิ ที่หนักหน่วงก็คือภารกิจของผู้ครองกระบี่
และพิธีแต่เดิมของผู้ครองกระบี่ ไม่ควรเกิดการรวมตัวกันของกลิ่นอายและความหนักหน่วงเช่นนี้ที่คนคนเดียว ถึงอย่างไรก็เป็นแค่พิธีแรกของผู้ครองกระบี่เท่านั้น หลังจากนี้ต้องผ่านเหตุการณ์และการเลื่อนขั้นที่ยิ่งกว่านี้อีก ถึงจะเป็นเช่นนี้
ทว่าครั้งนี้ มีสวี่ชิงคนหนึ่ง
ระหว่างการทดสอบ เขามาถึงความสูงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมณฑลรับเสด็จราชัน ขณะที่คนอื่นยังต้องแย่งชิงเพื่อเป็นหนึ่งในรายชื่อผู้ครองกระบี่ แต่เขาขึ้นมายืนที่บันไดขั้นสูงสุดแล้ว
สิ่งที่เขาต้องทำ มีแค่หยิบกระบี่อาญาสิทธิ์เท่านั้น
ขณะที่มือจับกระบี่ เขาก็เหมือนเปลี่ยนจากผู้เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
เป็นสักขีพยานให้แก่ร่างเงาหลายสายที่กำลังพุ่งขึ้นมาจากทางด้านล่าง
เหลือกระบี่อาญาสิทธิ์ แค่สองเล่ม มีเพียงสองคนที่จะทำสำเร็จ
และด้วยนิสัยของสวี่ชิงมีแค้นต้องชำระ เขาไม่อยากให้จางซืออวิ้นทำสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นกฎก็ไม่ได้บอกว่าเขารบกวนไม่ได้ ชัดเจนว่าขอแค่ไม่เกินเลยก็น่าจะทำได้
“ทุกท่าน ระวังจางซืออวิ้นเอาไว้ เขามีวิชาสลับตำแหน่ง ต้องเห็นจึงจะใช้ได้ ในอุโมงค์ภูต คนผู้นี้ใช้วิชานี้กับข้า ชวร้ายที่สุด”
สวี่ชิงยืนอยู่จุดสูงสุด เอ่ยเรียบนิ่ง
เมื่อพูดไป สีหน้าของคนบนบันไดต่างเปลี่ยนไป
นายกองไม่ลังเล ทั่วร่างเปล่งแสงสีน้ำเงินจ้า ร่างเปลี่ยนเป็นเลือนรางทำให้คนรอบข้างมองไม่เห็น ระเบิดความเร็วของตนเองถึงขีดสุด เพียงพริบตาก็ขึ้นมาพันจั้ง ยังไม่หยุดชะงัก พุ่งไปต่ออีกครั้ง
เป้าหมายคือกระบี่อาญาสิทธิ์ที่อยู่ทางด้านซ้ายออกไปพันจั้งจากสวี่ชิง
จางซืออวิ้นสีหน้าไร้อารมณ์ เพราะความเสียหายในอุโมงค์ภูต เขาล่าช้ามาก บาดเจ็บหนัก เขาจึงคิดจะใช้วิชานี้ เป้าหมายคือเฉินเอ้อร์หนิวหรือไม่ก็ชิงชิว
ถึงอย่างไรสวี่ชิงก็เคยทำลายวิชานี้มาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสร้างประวัติศาสตร์ในมณฑลรับเสด็จราชัน ผู้อาวุโสใหญ่ยังพูดออกมาว่ายอดเยี่ยม จนตอนนี้ได้ถือกระบี่อาญาสิทธิ์กลายเป็นผู้ครองกระบี่ไปแล้ว เขาจะสลับตำแหน่งกับสวี่ชิงความเสี่ยงก็มากเกินไป
แต่สวี่ชิงก็เตือนเร็วเหลือเกิน เมื่อเอ่ยออกมา เขายังไม่ทันได้สำแดงวิชาสลับตำแหน่งเลย แต่ในใจเขายังราบเรียบ จะใช้ต่อ เป้าหมายคือชิงชิว
ขณะเดียวกัน ร่างของนายกองภายใต้ความเร็วสูงสุดนั่นแบกแรงกดดันที่ก่อตัวขึ้นจากการวิ่งขึ้นบันได ทะยานจนถึงเป้าหมาย คว้ากระบี่อาญาสิทธิ์ไว้ ดวงตาเผยความยินดี หันหน้ามองสวี่ชิง
สวี่ชิงก็มองนายกอง
หลังจากทั้งสองคนยิ้มให้กัน สวี่ชิงก็พบว่าผู้ครองกระบี่บนท้องฟ้าไม่ได้ห้ามปรามอะไรกับคำพูดตนเองก่อนหน้า จึงเอ่ยกับด้านล่างอีกครั้ง
“จางซืออวิ้น เจ้าวางแผนคิดจะทำลายบ้านไม้ห้าเหลี่ยมในอุโมงค์ภูต ยิ่งไปกว่านั้น ยังรู้จักอุโมงค์ภูตเป็นอย่างดี เรื่องนี้ถ้าหากบอกว่าเจ้าไม่รู้มาก่อน ไม่มีเป้าหมาย คงไม่มีใครเชื่อแน่
“วางแผนเอาไว้นานแล้วเช่นนี้ พฤติกรรมกับความคิดของเจ้า มันน่าสงสัย!”
“ผู้ครองกระบี่สวี่ชิง ขอเชิญผู้อาวุโสผู้ครองกระบี่ทุกท่าน ตรวจสอบจางซืออวิ้น!”
จางซืออวิ้นที่กำลังทะยานอยู่ที่ขั้นที่เจ็ดพันกว่า ขณะเดียวกันกำลังสำแดงวิชาสลับตำแหน่งกับชิงชิวที่ขั้นที่เกือบจะเก้าพันนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของสวี่ชิง ในที่สุดใจเขาก็เกิดระลอกคลื่น เขาจะไม่สนใจเช่นเดียวกับวิชากระตุ้นจิตของหลี่จื่อเหลียงก็ได้ เพราะมันคือสมมุติฐาน ขอแค่ตนหนักแน่นพอ
ทว่า…สวี่ชิงไม่เพียงแต่พูดความลับที่แท้จริงของเขาออกมา แต่ยังร้องขอให้ผู้อาวุโสตรวจสอบด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่การกระตุ้นจิตแล้ว เขากำลังทำใหเขาไร้ทางเลือก!
“เหลวไหลทั้งเพ!”
จางซืออวิ้นรู้ว่าเรื่องนี้อธิบายยืดยาวไม่ได้ เวลานี้ไม่เหมาะที่จะอธิบายเช่นกัน แต่จะไม่พูดก็ไม่ได้ จึงแสร้งพูดราบเรียบ สำแดงวิชาต่อ แต่สุดท้ายระลอกคลื่นในใจก็ยังสร้างผลกระทบกับวิชา
และพริบตาที่สำแดงวิชาสลับตำแหน่ง สายตาหญิงชุดแดงที่อยู่เบื้องหน้าก็เปล่งประกาย พลันถอยไปด้านหลัง
ที่แห่งนี้ด้านหน้ามีแรงกดดันจึงไปอย่างรวดเร็วไม่ได้แน่นอน แต่การถอยกลับง่ายมากราวกับได้รับพร ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพียงพริบตาร่างของชิงชิว จึงกลับไปที่ช่วงขั้นที่สามพันกว่า
เคลื่อนย้ายสลับตำแหน่ง!
จางซืออวิ้นเคลื่อนย้ายจากขั้นที่เจ็ดพันกว่าสู่ขั้นที่สามพันกว่าสำเร็จ ส่วนชิงชิวก็ถูกเขาย้ายไปขั้นที่เจ็ดพันกว่า
ก่อนจะสลับตำแหน่ง พวกเขาห่างกันอยู่สองพันกว่าขั้น หลังจากที่เปลี่ยนตำแหน่ง ก็ห่างกันเกือบสี่พันขั้น
และพริบตาที่สลับตำแหน่งสำเร็จ ร่างของชิงชิวก็ปรากฏผีร้ายขนาดยักษ์ขึ้นมา มันรวมพลังไว้นานแล้ว จึงอ้าปากยักษ์กลืนกินจางซืออวิ้นที่อยู่ด้านหลัง
จางซืออวิ้นร่างสั่นเทิ้ม ภายในปั่นป่วน อดชะงักฝีเท้าไม่ได้ ในใจร้อนรนถึงขีดสุด วิธีการของชิงชิวง่ายมาก แต่ยิ่งง่าย ก็ยิ่งคาดไม่ถึง
หญิงชุดแดงชิงชิวใช้โอกาสนี้ ทั้งร่างเปล่งแสงแดงจ้า สำแดงวิชาลับทั้งหมดออกมาอย่างไม่เสียดาย ร่างกายปรากฏภาพทับซ้อน กระอักเลือดถึงเจ็ดครั้ง แลกกับความเร็วสูงสุด
ระหว่างที่ฝ่ายหนึ่งลดขั้นฝ่ายหนึ่งเพิ่มขั้น ในที่สุดก็ทะยานขึ้นมาถึงยอด คว้ากระบี่อาญาสิทธิ์อันที่สามไปได้
พริบตาที่คว้ากระบี่อาญาสิทธิ์ได้ ชิงชิวก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ กระทั่งมีชิ้นส่วนอวัยวะภายในออกมาด้วย เห็นได้ชัดว่าวิชาลับครั้งนี้สำหรับนางแล้วตีกลับรุนแรงมาก
เวลานี้หมดสภาพ เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ ทำได้เพียงใช้เคียวยมทูตผีร้ายประคองไว้ ฝืนยืนอยู่ตรงนั้น อ่อนระโหยโรยแรง แต่ดวงตาของนางกลับเผยแววดื้อรั้นออกมา
สายตานี้ ทำให้สวี่ชิงไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ขณะที่สวี่ชิงย้อนความทรงจำค้นหาที่มาของความคุ้นเคยนี้ เมื่อจางซืออวิ้นเห็นว่าตนเองพ่ายแพ้ ไฟแค้นในใจก็ลุกโหม จ้องสวี่ชิงเขม็ง จากนั้นก็เงยหน้าเอ่ยเสียงดังลั่นกับผู้ครองกระบี่บนท้องฟ้า
“สวี่ชิงใส่ความข้า รบกวนการทดสอบของข้า เรื่องนี้…”
“เรื่องนี้ข้าจะอธิบายกับเจ้าแทนศิษย์น้องของข้าเอง จางซืออวิ้น ต้องขอโทษด้วย ที่แท้ก็เป็นรองเข้าใจผิดกัน เจ้าเป็นคนดีจริงๆ” นายกองกะพริบตาปริบๆ ตอบรับคำพูดของจางซืออวิ้น เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พูดจบยังหันไปพูดกับชิงชิวที่ยังหายใจหอบอยู่
“สหายเต๋าชิงชิว เจ้าว่าคิดเห็นอย่างไร”
ชิงชิวเกลียดเจ้าหมาบ้ากับมือผี แต่นางก็รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของนาง จึงเอ่ยเย็นชา
“ข้าก็เข้าใจผิด จางซืออวิ้น ขอโทษด้วย เจ้าเป็นคนดีจริงๆ”
ทั้งๆ ที่เห็นว่าพวกเขาพูดขอโทษออกมาแล้ว แต่ความโกรธในใจจางซืออวิ้นไม่ได้หายไปเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นความอัดอั้น เมื่อกำลังจะพูด
ในกระบวนทัพปีกซ้ายบนท้องฟ้า ชายกลางคนที่ประกาศชื่อก่อนหน้านี้ก้าวออกมา
เขาคารวะไปทางผู้อาวุโสใหญ่ครองกระบี่ หลังจากเห็นว่าผู้อาวุโสใหญ่ไม่ตัดสินอะไรเรื่องด้านล่าง ในฐานะที่เป็นคนสนิทของผู้อาวุโสใหญ่มานาน ย่อมเข้าใจความคิดของผู้อาวุโสใหญ่ เขาเป็นคนที่ไปตรวจสอบสถานะของสวี่ชิงหน้าลานพิธีเต๋าของผู้อาวุโสใหญ่ครองกระบี่ นึกถึงสายตาที่ผู้อาวุโสใหญ่มองสวี่ชิงในวันนั้นขึ้นมา
จึงหันหลังไปมองบันได เอ่ยเสียงเคร่งขรึม ดังก้องไปทั้งฟ้าดิน
“การทดสอบผู้ครองกระบี่ สิ้นสุดแล้ว”
สิ้นเสียง นอกจากพวกของสวี่ชิงทั้งสามคน ร่างของคนอื่นๆ ก็สลายหายไปในพริบตาจากบันไดเจ็ดสีเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้น ถูกพลังที่ยิ่งใหญ่วูบหนึ่งเคลื่อนย้ายออกไปจากบันไดทันที ปรากฏตัวอยู่บนพื้นดิน
จางซืออวิ้นก็เช่นกัน
เขากำหมัดแน่น เส้นเลือดแผ่ซ่านในดวงตา ในใจเต็มไปด้วยปราณพยาบาทรุนแรง หนิงเหยียนชายหนุ่มสำนักเล็กที่อยู่ข้างๆ หรือก็คือคนที่เคยลงมือกับสวี่ชิงที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ เวลานี้หน้าขาวซีด เต็มไปด้วยความขมขื่น แต่ลึกๆ ในดวงตายังมีประกายปรารถนา
คนอื่นส่วนใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ล้วนมีความปรารถนาในความขมขื่น เพราะว่าพวกเขายังมีอีกหนึ่งโอกาส!
แต่ไม่ว่าคนเหล่านี้จะไม่ยินยอมอย่างไร ในใจจะมีระลอกคลื่นอารมณ์เช่นไร เวลานี้ ไม่มีใครสนใจพวกเขา สายตาทั้งหมดจับจ้องอยู่บนบันไดศักดิ์สิทธิ์นั่น
ที่นั่น มีเพียงสวี่ชิง นายกองรวมถึงหญิงชุดแดงอยู่สามคน
“ครั้งนี้ผู้ครองกระบี่คัดเลือกมาสามคน ได้แก่สวี่ชิง เฉินเอ้อร์หนิว ชิงชิว ยินดีกับพวกเจ้าด้วย”
ชายกลางคนพูดจบก็มองไปทางพวกสวี่ชิงทั้งสามคน สายตาหยุดอยู่ที่สวี่ชิงมากที่สุด จากนั้นก็ประสานมือคารวะทั้งสาม
ถัดมาผู้ครองกระบี่รอบด้านก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม คารวะพร้อมกัน
นี่คือการคารวะต้อนรับ ไม่แบ่งแยกความอาวุโส เป็นการให้เกียรติทุกครั้งที่มีผู้ครองกระบี่เข้ากรม
พวกสวี่ชิงทั้งสามคนสีหน้าเคร่งขรึม คารวะตอบกลับผู้ครองกระบี่บนท้องฟ้า
“นับจากวันนี้ พวกเจ้าทั้งสามคนกลายเป็นผู้ครองกระบี่อย่างเป็นทางการแล้ว” ชายกลางคนประกาศขึ้นด้วยเสียงเรียบสงบบนท้องฟ้า
“จากการหารือของโถงครองกระบี่ หนิงเหยียนศิษย์เผ่ามนุษย์ ขอมอบค่าใช้จ่ายเป็นข้อยกเว้น เป็นว่าที่ผู้ครองกระบี่ อนุญาตให้ไปยังวังครองกระบี่เบื้องบนทำการฝึกฝน เมื่อสำเร็จก็มารับกระบี่อาญาสิทธิ์ และกลายเป็นผู้ครองกระบี่อย่างเป็นทางการ
“จากการถ่ายทอดคำสั่งของวังครองกระบี่ จางซืออวิ้นศิษย์เผ่ามนุษย์ กลายเป็นผู้ครองกระบี่โดยไม่ต้องทดสอบ แต่กระบี่อาญาสิทธิ์ของมณฑลรับเสด็จราชันมีเพียงสามเล่ม เจ้าจำเป็นต้องไปยังวังครองกระบี่ที่เขตปกครองผนึกสมุทร อัญเชิญกระบี่อาญาสิทธิ์ด้วยตนเอง
“บัดนี้ เจ้าทั้งสองจงเดินขึ้นหน้ามา”
เมื่อพูดออกไป ร่างของหนิงเหยียนก็พุ่งออกมาทันควัน รีบกระโจนขึ้นไปยังบันไดเบื้องหน้า พุ่งทะยานพร้อมกับดวงตาเผยประกายร้อนแรง ลมหายใจหอบถี่ ร่างสั่นเทิ้ม
ผู้คนบนพื้นดินในใจพากันเกิดระลอกคลื่น ส่วนผู้ทดสอบคนอื่นต่างถอนใจออกมาอย่างจนใจ
สิ่งที่พวกเขารอก็คือโอกาสพิเศษนี้ ทุกครั้งที่มีการคัดเลือกผู้ครองกระบี่ จะมีโอกาสพิเศษเช่นนี้เกิดขึ้น
ถึงสุดท้ายจะไม่ใช่ว่าที่ผู้ครองกระบี่ทั้งหมด เป็นรับตำแหน่งตัวจริงจากเบื้องบนได้ อย่างน้อยก็เป็นโอกาสหนึ่ง
มีเพียงจางซืออวิ้นที่ยังคงอาฆาตอยู่เต็มเปี่ยม เวลานี้ร่างไหววูบก้าวขึ้นบันได ตามหนิงเหยียนขึ้นไปที่จุดสูงสุด แต่ตำแหน่งที่ยืน กลับอยู่ที่ขอบๆ
สวี่ชิงหันหน้าไปมองหนิงเหยียนอย่างเรียบเฉย
ท่ามกลางสายตาของเขา หนิงเหยียนหดหัวลง ใจสั่น ความตื่นเต้นยินดีก่อนหน้านี้ราวกับถูกสาดน้ำเย็นใส่หน้า ไม่กล้าสบตากับสวี่ชิง
สวี่ชิงถอนสายตากลับมา จากนั้นก็มองจางซืออวิ้น เห็นความมืดมนเยือกเย็นในส่วนลึกดวงตาของจางซืออวิ้น
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาไร้ซึ่งระลอกคลื่น ถอนสายตากลับมา มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เฝ้ารอการสิ้นสุดของพิธีการครั้งนี้
“บัดนี้ พวกเจ้าทั้งห้าคนจะได้เดินไปหาเทวรูปมหาจักรพรรดิภายใต้การเป็นสักขีพยานของผู้ครองกระบี่ เพื่อทำการหยั่งใจของผู้ครองกระบี่ เพื่อรับพรจากมหาจักรพรรดิ” เสียงของชายกลางคนถ่ายทอดออกมาช้าๆ เคร่งขรึมยิ่งขึ้น
ราวกับว่าขั้นตอนนี้สำคัญที่สุดสำหรับผู้ครองกระบี่
“นี่คือขั้นตอนที่จำเป็นขั้นสุดท้ายในการเป็นผู้ครองกระบี่ ภายใต้การจ้องมองของมหาจักรพรรดิ พวกเจ้าต้องแน่วแน่ จงเคารพจากใจตนอย่างหมดจด ตอบคำถามของมหาจักรพรรดิในใจ
“คำตอบของพวกเจ้า ข้าไม่มีทางรู้ มีเพียงเจ้ากับมหาจักรพรรดิที่รู้ และเทวรูปมหาจักรพรรดิ ก็จะเปล่งแสงออกมาตามคำตอบของพวกเจ้า
“ระยะเปล่งประกายแสงหมายถึงระดับที่มหาจักรพรรดิยอมรับคำตอบของเจ้า ผู้ครองกระบี่ที่ระยะเปล่งแสงน้อยที่สุดในมณฑลรับเสด็จราชันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันอยู่ที่หกสิบจั้ง ผู้ที่มากที่สุดคือถึงพันจั้ง”
จากเสียงของผู้บำเพ็ญกลางคนบนท้องฟ้า นายกองก็แอบขยิบตาให้สวี่ชิง เขายังคงกล้าสื่อเสียงให้สวี่ชิงกลางพิธีที่เคร่งขรึมนี้
“อาชิงน้อย ข้ารู้ด่านนี้ บอกว่าประทานพร แต่ที่จริงโกหกทั้งเพ
“ข้าจะบอกเจ้าให้ ด่านนี้มีอยู่สองจุดประสงค์ อย่างหนึ่งคือตรวจสอบว่าเจ้าเป็นเผ่ามนุษย์จริงหรือไม่ อีกอย่างหนึ่งก็เหมือนกับเป็นการกล่าวคำสัตย์สาบานนั่นล่ะ ถึงตอนนั้นเทวรูปมหาจักรพรรดิจะถามคำถามพวกเราในใจ พวกเราโม้ไปก็ได้
“การวัดระดับนี้ ไม่ส่งผลกระทบกับสถานะผู้ครองกระบี่ และไม่มีรางวัลใดๆ อย่างมากก็เป็นหน้าเป็นตาเท่านั้น
“ทว่าเจ้าต้องคิดให้ดีว่าจะโม้อะไร แม้จะไม่ส่งผลกระทบ แต่ว่ากันว่าจะบันทึกไว้ในประวัติของพวกเรา หลังจากนี้ตอนเลื่อนขั้นก็มีประโยชน์อยู่บ้าง
“ดังนั้นเจ้าต้องคิดให้ดี แต่ข้าน่ะไม่ใช่”
“ข้าเตรียมตัวเพื่อเรื่องนี้มานานแล้ว หลังจากมาถึงมณฑลรับเสด็จราชันข้าก็ใช้ก้อนใหญ่ ซื้อคำถามที่มหาจักรพรรดิเคยถามในช่วงหลายพันปีนี้ทั้งหมด ส่วนในมณฑลอื่นข้าก็หาวิธีแล้วเรียบร้อย ทั้งหมดหนึ่งพันเจ็ดร้อยแปดสิบเก้าคำถามที่พบบ่อย
“ตอนนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าอย่างข้า ก็เริ่มขัดเกลาสำนวนให้ลึกซึ้งไว้แล้ว ข้าท่องคำตอบทั้งหมดมาดิบดี สมบูรณ์แบบทุกข้อ!
“หึๆ เมื่อครู่เจ้าชนะก็จริง แต่ครั้งนี้ ข้าขอประกาศล่วงหน้าเลย ว่าข้าจะมีประกายแสงที่กว้างที่สุด”
นายกองดูภูมิใจมาก ยักคิ้วให้สวี่ชิง ทำท่าว่าตนเองวางกลยุทธ์ไว้เรียบร้อย ฉลาดเฉลียวอย่างมาก
สวี่ชิงไม่สนใจ
เขาไม่สนใจระยะเปล่งประกายแสง ในเมื่อไม่ส่งผลกระทบกับสถานะผู้ครองกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีรางวัลอะไรแล้วมีแค่ชื่อเปล่าๆ เช่นนั้นก็ตอบไปตามใจตนก็พอ
ขณะที่สวี่ชิงกำลังคิดเช่นนี้ เสียงเคร่งขรึมบนท้องฟ้าก็ดังก้องไปทั่วชั้นเมฆ
“พวกเจ้า เดินไปเบื้องหน้าหนึ่งร้อยจั้ง!”
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น ก้าวไปเบื้องหน้า คนอื่นๆ ก็เช่นกัน พากันก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งร้อยจั้ง ซึ่งใกล้เทวรูปมหาจักรพรรดิยิ่งกว่าเดิม