บทที่ 856 ฮวาโหย่วหมิงและเซี่ยหนิงซวง (4)
ฮวาโหย่วหมิงกล้าหาญและเก่งกาจในการต่อสู้ เชี่ยวชาญในกลยุทธ์สงคราม และยังเป็นผู้ทรงคุณธรรมอย่างยิ่ง
ชื่อเสียงของเขาในกองทัพได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเขาก็กลายเป็นแม่ทัพหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังระบือลือเลื่องทั้งใกล้และไกลเมื่อมีวัยได้สิบแปดปี
แต่แล้ว ฮวาโหย่วหมิงก็ตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังฝ่ายมนุษย์ที่ไม่อยากเห็นจวนแม่ทัพฮวาผงาดขึ้นมาอีกครั้ง
ดังนั้นเขาจึงถูกบังคับให้ถอนตัวออกไปจากกองทัพ และกลับบ้านไปอย่างผิดหวังทดท้อใจ
เมื่อฮวาโหย่วหมิงกลับมาถึงบ้าน บ้านตกอยู่ในความโกลาหล
พวกทาสและบ่าวรับใช้ส่วนใหญ่ล้วนกระจัดกระจายไป และจวนแม่ทัพก็ถูกทิ้งร้าง
เพียงขณะที่เขาลงจากหลังม้า และกำลังจะก้าวเข้าไปในบ้าน ทว่าจู่ๆ เขาก็มีได้ยินเสียงเรียกที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากด้านข้าง
เซี่ยหนิงซวงสวมผ้าคลุมหน้าและเดินเข้ามาช้าๆ นางเป็นเฉกเช่นเมื่อสองปีก่อน ดูเหมือนว่านางจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย
นางกล่าวกับฮวาโหย่วหมิงว่า “กลับมาแล้วหรือ?”
ฮวาโหย่วหมิงแย้มยิ้มพลางพยักหน้าและกล่าวว่า “อืม ขอบคุณแม่นางเซี่ยที่นึกถึง”
เซี่ยหนิงซวงจัดผมของนาง แล้วเอ่ยถามเบาๆ ว่า “เจ้าจะแต่งงานกับข้าเมื่อใด?”
“การหมั้นหมายระหว่างเจ้าและข้า…”
“แน่นอนว่า ข้าให้สัญญากับเจ้าในตอนนั้นแล้ว”
“ไม่จำเป็น” ฮวาโหย่วหมิงส่ายศีรษะ แล้วหันกลับเพื่อจากไป เขาไม่ใช่หนุ่มน้อยอย่างในตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว และในขณะนี้ เขาก็ไม่ได้หันมองย้อนกลับไป
“ข้า ฮวาโหย่วหมิง ไม่คู่ควรกับเจ้าอีกต่อไปแล้วในวันนี้”
เซี่ยหนิงซวงไม่ได้เอ่ยวาจาใดอีก และนางก็ยืนอยู่หน้าจวนแม่ทัพเป็นเวลานาน
หญ้าเขียวชอุ่ม และยังคงมองเห็นร่างงดงามเลือนราง และในที่สุด เมื่อตกกลางคืน ก็เหลือเพียงกลิ่นหอมจางๆ เท่านั้น
บางที อาจเป็นเพราะโชคชะตาของฮวาโหย่วหมิงนั้นแข็งแกร่งเกินไปและอาจส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน
เพียงขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังคิดว่าจะให้ฮวาโหย่วหมิงล่วงรู้ถึงอาการเจ็บปวดรวดร้าวใจจากความรักของเซี่ยหนิงซวงได้อย่างไร
ภัยพิบัติก็กำลังมาเยือนอีกครั้ง…
มีกองทัพของชนเผ่าออกอาละวาด บุกทำลายเมืองต่างๆ หลายสิบแห่ง และยังคุกคาม “เมืองเชี่ยโจว” ซึ่งเป็นถิ่นที่พำนักอาศัยของฮวาโหย่วหมิง และเซี่ยหนิงซวง
ผู้คนในเมืองตื่นตระหนก พวกคนร่ำรวยและมีอำนาจต่างก็พากันหลบภัยอยู่กับครอบครัว แล้วการป้องกันของทหารก็พังทลายลงก่อนการสู้รบ
ฮวาโหย่วหมิงจัดหาที่พัก และจัดเตรียมการต่างๆ เอาไว้ให้กับมารดาและน้องสาวของเขาอย่างเรียบร้อย
จากนั้นเขาก็สวมชุดออกศึกของบิดา แล้วขี่ม้าเข้าไปในค่ายทหารในเมือง
เขาใช้วิชาเชือกและกระบี่ขอบแสงในมือหนึ่ง และสังหารพวกแม่ทัพที่พยายามหลบหนีโดยไม่สู้รบไปหลายคน รวมถึงพวกแม่ทัพระดับสูงที่เฉื่อยชาและเกียจคร้าน
เขาชูแขนขึ้นโบกและเรียกรวมพล พวกกองทหารผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของบิดาของเขาก็ตอบรับทีละคน จากนั้นเมืองเชี่ยโจวก็ได้เตรียมพร้อมรบอย่างเต็มที่
ในวันหนึ่ง กองทัพก็มาถึงเมือง แล้วจู่ๆ ฮวาโหย่วหมิงก็มีแผนการที่แยบยล
เขาฉวยประโยชน์จากความไม่มั่นคงของศัตรู และนำกองทหารของเขาออกจากเมืองเพื่อไปสู้รบในสงครามนองเลือด
ในวันนั้น เซี่ยหนิงซวงก็สวมชุดกระโปรงสีแดงสดและรีบเร่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองพร้อมกับทหารยามหลายร้อยคนจากจวนเจ้าเมือง
ทว่านางก็มาช้าไปหนึ่งก้าว และฮวาโหย่วหมิงก็รีบพุ่งออกจากประตูเมืองไปเพื่อนำทัพออกศึกแล้ว
แม่ทัพรอดชีวิตจากศึกรบมานับร้อยครั้ง และได้ตีกลองใหญ่ ตกแต่งผ้าแดง[1]บนกำแพงเมือง
ก่อนที่เมืองจะถูกพังทลาย กองทัพศัตรูก็พ่ายแพ้
ในขณะนั้น ฮวาโหย่วหมิงที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผลทั่วร่างได้ล้มลงที่หน้าประตูเมือง และถูกพาตัวกลับไปยังจวนเจ้าเมือง
ภายหลังจากนั้น ก็เกิดค่ำคืนหนึ่งที่หัวใจแผดเผาร้อนแรง…
และเพียงเท่านั้น การแต่งงานของร่างกลับชาติมาเกิดของฝ่าบาทองค์เง็กเซียนก็กลายเป็นความจริงและได้กลายเป็นเขยแต่งเข้าตระกูล
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้แอบซ่อนตัวอยู่ลับๆ เพื่อคอยปกป้องเขาและไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพิ่มเติมอีก
ความจริงแล้ว มันเป็นเรื่องดีทีเดียวที่องค์เง็กเซียนและองค์ราชินีสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
มันถือได้ว่าเป็นการชดเชยการขาดอารมณ์ดั้งเดิมของสิ่งมีชีวิตเซียนเทียนทั้งสอง
ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วได้อ่านบทที่องค์ราชินีได้ทรงจัดเตรียมไว้ในตอนนั้น…
ดูเหมือนว่า นางยังต้องการชดเชยข้อบกพร่องเหล่านี้กับองค์เง็กเซียนอีกด้วย
แล้วเทพธิดาอวิ๋นเซียวเล่า?
หลี่ฉางโซ่วอดจะตกอยู่ในภวังค์แห่งการคาดเดาเอาเองเล็กน้อยไม่ได้…
จากนั้นเปลือกตาของเขาก็กระตุกเล็กน้อยโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
หลี่ฉางโซ่วบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้ แล้วในไม่ช้า เขาก็ล้มเลิกไปอย่างที่เคยทำเป็นประจำ… และหลังจากที่เขาสัมผัสอย่างถี่ถ้วนเป็นเวลาครึ่งวัน ปราณวิญญาณของเขาก็รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยจริงๆ
ในระดับฐานพลังของเขา แม้เขาจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงพลังที่มีพลังเวทมหาศาล แต่การเหนี่ยวนำแบบนี้ไม่ได้ ‘ไม่มีมูล’ แต่อย่างใดเลย มันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น
ภัยพิบัติครั้งใหญ่กำลังจะมา?
ด้วยเหตุนี้ หลี่ฉางโซ่วจึงรีบไปหาไป๋เจ๋อทันที เขาจับขนยาวของไป๋เจ๋อ และขอให้ไป๋เจ๋อสัมผัสมันอย่างระมัดระวังสักพัก แล้วข้อสรุปที่ไป๋เจ๋อให้เขาก็คือ
“ทุกอย่างเป็นปกติ และเทพวารีเองก็ไม่มีภัยพิบัติใด”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “แล้วท่านพอจะคำนวณได้หรือไม่ว่า มีสัญญาณของภัยพิบัติครั้งใหญ่หรือไม่?”
“ได้” ไป๋เจ๋อคลี่ยิ้มพลางรับคำ แล้วเขาก็ค่อยๆ หลับตาลง
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋เจ๋อก็ขมวดคิ้ว
แล้วจู่ๆ ก็มีเสี้ยวสายฟ้าสีม่วงที่หนาพอๆ กับเส้นผมปรากฏขึ้นมาจากอากาศบางๆ แล้วฟาดใส่ตรงหน้าไป๋เจ๋อ
ทันใดนั้นเหงื่อเย็นก็ปกคลุมไปทั่วหน้าผากของไป๋เจ๋อ เขาลืมตาขึ้นและมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว
“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น?”
“ความลับสวรรค์…จู่ๆ ก็เกิดความโกลาหล”
………………………………………………………………..
[1] สัญลักษณ์ศิริมงคล