บทที่ 1446 อยากให้ท่านทำการแสดง
บทที่ 1446 อยากให้ท่านทำการแสดง
สายตาของฟางหลานซินมองกู้เสี่ยวหวานอย่างเหยียดหยามดูถูก สองพี่น้องคู่นี้กำลังสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง
แต่คนอย่างกู้เสี่ยวหวานจะมองจุดประสงค์เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ไม่ออกได้อย่างไร?
กู้เสี่ยหวานจิบชาในมือเล็กน้อย จากนั้นนิ่งเงียบพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นจาง ๆ บนริมฝีปาก
“โอ๊ะ! จริงด้วยสิ หากเจ้าไม่เตือนข้า ข้าก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว” ซูหมิ่นกลับมามีสติอีกครั้งและมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาคาดหวัง “เสี้ยนจู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านเข้าร่วมในงานเลี้ยงของหญิงสาวในเมืองหลวง โดยธรรมชาติแล้วจะต้องมีการแสดงสักหนึ่งอย่าง อย่างที่ท่านเห็นในตอนนี้ สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษในเมืองหลวงของเราล้วนมีความชำนาญในการเล่นฉิน หมากรุก คัดลายมือ และวาดภาพ และพวกนางยังใช้พรสวรรค์ของตนเองในการต้อนรับเสี้ยนจู่อันผิง ในทางกลับกัน เสี้ยนจู่อันผิงเองก็ต้องเข้าร่วมการแสดงด้วยใช่หรือไม่”
ปากคอเราะร้ายเสียจริง ๆ
เห็นได้ชัดว่าการแสดงเหล่านี้ถูกจัดไว้แล้ว แต่นางกลับเอ่ยออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องพิเศษสำหรับกู้เสี่ยหวาน
ทันทีที่ถานอวี้ซูได้ยินสิ่งนี้ นางก็แสดงความไม่พอใจออกมาทันที “หมิงตูจวิ้นจู่ เสี้ยนจู่อันผิงนางมางานเลี้ยงเป็นครั้งแรก นางไม่ได้เตรียมตัวอะไรมา เจ้าจะขอให้นางแสดงอะไร”
“อะไรก็ได้ ตราบใดที่มันเป็นความสามารถพิเศษของเสี้ยนจู่ พวกเราต่างก็รับชมได้ทั้งหมด” ซูหมิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าตราบใดที่ขึ้นมาด้านหน้าก็สามารถแสดงสิ่งใดก็ได้
“หมิงตูจวิ้นจู่ เสี้ยนจู่อันผิงไม่ได้เตรียมตัวมา เช่นนั้นเอาไว้คราวหน้าดีหรือไม่” ฟางเพ่ยหยาเอ่ยขึ้นเพื่อช่วยกู้เสี่ยวหวาน
อันที่จริงคำขอดังกล่าวมาอย่างกะทันหันเกินไป ตามที่ถานอวี้ซูและฟางเพ่ยหยาคิดไว้ กู้เสี่ยวหวานมาจากชนบท แม้ว่านางจะเล่นฉิน หมากรุก เขียนอักษร และวาดภาพได้ แต่เมื่อเทียบกับหญิงสาวที่มาจากครอบครัวชนชั้นสูงในตอนนี้ก็คงต่างกันราวฟ้ากับเหว
การกระทำของซูหมิ่นและสองพี่น้องตระกูลฟางไม่ได้หมายความว่าพวกนางต้องการเห็นกู้เสี่ยวหวานแสดงความสามารถของนาง แต่เห็นได้ชัดว่าพวกนางต้องการเห็นกู้เสี่ยวหวานขายหน้า
เพราะไม่ว่ากู้เสี่ยวหวานจะแสดงความสามารถอะไร มันก็ไม่สามารถเทียบได้กับการแสดงเหล่านั้นในตอนนี้
รายการที่แสดงโดยคุณหนูจากตระกูลต่าง ๆ ได้รับการจัดเตรียมไว้อย่างระมัดระวัง และมีบางรายการที่แสดงสำหรับฮ่องเต้และไทเฮา
ถ้ากู้เสี่ยวหวานแสดงอีกครั้ง ไม่ว่านางจะมีพรสวรรค์อะไร นางจะต้องอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าเหล่าคุณหนูจากตระกูลชนชั้นสูงอย่างแน่นอน
ถานอวี้ซูและฟางเพ่ยหยาไม่รู้จักการพลิกผัน ดังนั้นพวกนางจึงรีบอธิบายแทนกู้เสี่ยวหวาน
ดวงตาของซูหมิ่นกวาดตามองไปรอบ ๆ และเห็นกู้เสี่ยวหวานนั่งตัวตรงอยู่ตรงที่นั่งของนาง ถือถ้วยชาไว้ในมือด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้านิ่งสงบราวกับสายน้ำไหลลึก ใบหน้าที่สวยงามนั้นสง่างามราวกับดอกไม้ ซึ่งทำให้ผู้คนล้วนอิจฉา
ทั้งสองมาอ้อนวอนนาง
ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะไม่พอใจเล็กน้อย หากแต่นางก็ไม่กล้าแสดงมันออกมาบนใบหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ดูเหมือนว่าเจ้าทั้งสองจะร้อนใจเหลือเกินนะ แต่ดูแล้วเสี้ยนจู่ก็ไม่ได้เดือนร้อนสักเท่าไร บางทีเสี้ยนจู่อาจมีพรสวรรค์แอบแฝงแต่พวกเจ้าไม่รู้ก็เป็นได้”
ถานอวี้ซูต้องการพูดเพื่อช่วยเหลือกู้เสี่ยวหวาน และชำเลืองมองกู้เสี่ยวหวานอย่างปลอบโยน ปลอบโยนว่าไม่ต้องกังวล รอยยิ้มบนใบหน้าของนางดูเหมือนจะสื่อสารกันได้ เพียงครู่เดียวก็ทำให้ถานอวี้ซูและฟางเพ่ยหยารู้สึกโล่งใจ “หมิงตูจวิ้นจู่ ข้าอาศัยอยู่ในชนบทตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากตัดฟืน ขนน้ำ ซักผ้า และทำอาหารแล้ว ข้าไม่มีความสามารถเหล่านี้เลยจริง ๆ”
“อะไรคือการตัดฟืน แบกน้ำ ซักผ้า และทำอาหาร สวรรค์! มือของนางต้องหยาบมากแน่ ๆ” หลังจากได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน ผู้คนทั้งหมดก็เหมือนจะสูญเสียการควบคุมและพูดเยาะเย้ยอีกครั้ง
“คราวหลังเราต้องอยู่ให้ห่างจากนางมากกว่านี้ มือนางหยาบกร้านแล้ว ถ้าเผลอทำให้กระโปรงของเราเสียหายขึ้นมาจะทำอย่างไร” เสียงของหญิงคนหนึ่งดังขึ้น
ใบหน้าของซูหมิ่นปรากฏรอยยิ้มคลุมเครือ หากแต่ก็ไม่เอ่ยห้ามคนพวกนั้นให้หยุดพูด
เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับนางเสียหน่อย
“เสี้ยนจู่อันผิงไม่รู้วิธีเล่นฉิน หมากรุก เขียนอักษร และวาดภาพ แล้วจะให้นางแต่งกลอนได้อย่างไร” บางคนก็เย้ยหยันว่า “คนคนนี้ไม่ต้องการพรสวรรค์ ขอแค่นางเคยร่ำเรียนมาหนึ่งหรือสองวันก็เพียงพอแล้ว แต่คงไม่ใช่เพราะว่าแม้กระทั่งตัวอักษรก็ไม่รู้จักหรอกนะ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
มีคนหัวเราะขึ้นอย่างไร้ยางอาย ซูหมิ่นรอให้พวกเขาหัวเราะเสร็จก่อนที่จะโบกมือ และคนเหล่านั้นก็สงบลง อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งหมดมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างประชดประชัน รอให้กู้เสี่ยวหวานได้รับความขายหน้านั้น
“เสี้ยนจู่อันผิง คุณหนูที่แสนดีมากมายกำลังรอให้ท่านแสดงความสามารถอยู่นะ ทำไมท่านไม่แสดงสิ่งใดสิ่งหนึ่งล่ะ มิฉะนั้นเหล่าคุณหนูคงเสียใจแย่”
ซูหมิ่นดูเขินอายและพูดกับเหล่าคุณหนูว่า “พวกเขาเพิ่งแสดงเสร็จ และข้าคิดว่าพวกเขาเหนื่อยแล้ว การแสดงเหล่านี้เราต่างก็เคยดูไปหลายครั้งแล้ว มันก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเสี้ยนจู่อันผิงที่จะเข้าร่วม ทุกคนต้องประหลาดใจกับการแสดงเช่นนี้ ทำไมท่านไม่แสดงและบอกให้พวกเขารู้ว่าท่านเป็นเสี้ยนจู่ที่ได้รับการอบรมและมีอารยธรรมล่ะ”
ได้รับการอบรมงั้นหรือ
ถานอวี้ซูยืนขึ้นและพูดว่า “หมิงตูจวิ้นจู่อย่ารังแกผู้อื่น”
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานถูกซูหมิ่นและบรรดาสตรีจากตระกูลขุนนางรังแก ถานอวี้ซูไม่สามารถนั่งนิ่งได้ แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะขยิบตาให้นางในตอนนี้เพื่อให้นางสงบลง แต่นางก็ทนไม่ได้
“หมิงตูจวิ้นจู่ ท่านให้เสี้ยนจู่อันผิงแสดงในครั้งหน้าดีหรือไม่” ฟางเพ่ยหยาเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน นางมีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย
ทันใดนั้น สีหน้าของซูหมิ่นก็เปลี่ยนไป นางหันไปมองถานอวี้ซูพร้อมกับยิ้มเยาะ “ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ ข้าผู้นี้จะคิดรังแกเสี้ยนจู่ได้อย่างไร วันนี้มีการแสดงเพื่อต้อนรับเสี้ยนจู่อันผิง เสี้ยนจู่อันผิงเองก็ควรจะทำการแสดงเพื่อขอบคุณทุกคนด้วย มิฉะนั้น เสี้ยนจู่อันผิงจะตั้งหลักได้ในแวดวงสตรีในเมืองหลวงได้อย่างไร”
ทุกคนจะพูดเพียงว่า เสี้ยนจู่อันผิงเป็นคนที่ไม่รู้จักมารยาท นางทำให้ทุกคนผิดหวังในงานเลี้ยงครั้งแรก แล้วงานครั้งต่อไปจะเป็นเช่นไรล่ะ?
ภัยคุกคามที่รุนแรงในสายตาของซูหมิ่นราวกับนางต้องการจะบอกว่า หากเสี้ยนจู่ไม่แสดงในครั้งนี้ นางจะไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงของหญิงสาวจากเมืองหลวงได้อีกในอนาคต
ถานอวี้ซูโกรธมากที่นางไม่สามารถสรรหาคำใดเพื่อมาหักล้างคำพูดของซูหมิ่นได้