คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 706 หาวิธีถอนพิษ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 706 หาวิธีถอนพิษ

ฉินหลิวซีรังเกียจอำนาจฮ่องเต้ ทว่าไม่มีความคิดล้มอำนาจราชวงศ์ สำหรับซือเหลิ่งเย่ว์ที่ใช้เงินซื้อความสงบสุข เพียงบ่นเล็กน้อยไม่กี่ประโยค แต่สำหรับเรื่องคนในราชวงศ์ ย่อมไม่มีความรู้สึกดีแล้ว

เรื่องการคัดหญิงงาม ได้ยินข่าวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่คิดว่าตอนนี้จะตัดสินใจแล้ว คิดว่าครึ่งปีหลังจากนี้ทุกหนทุกแห่งคงเต็มไปด้วยความครึกครื้น

ฉินหลิวซีเอ่ยกับซือเหลิ่งเย่ว์ “แสดงความอ่อนแอออกมาได้ ทว่าอย่าได้มากเกินไป มิเช่นนั้นคนเหล่านั้นจะได้คืบเอาศอก รังแกจนถึงที่สุด”

“ได้”

“ยังมีเรื่องมีลูก กลับไปจะเขียนใบสั่งยาให้เจ้า จัดเตรียมให้ดี ลงมือครั้งเดียวให้สำเร็จเป็นพอ” ฉินหลิวซีเอ่ย

ซือเหลิ่งเย่ว์ร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก เอ่ย “เจ้าเองก็เป็นสตรียังไม่ออกเรือน เอ่ยถึงเรื่องเช่นนี้กลับไม่หน้าแดงเลยสักนิด”

“ข้าเป็นหมอ” ก็เพียงเอ่ยความจริงเท่านั้น มีสิ่งใดให้หน้าแดง ก็แค่เรื่องเหล่านั้นของชายหญิงมิใช่หรือ

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยถาม “ว่ากันว่าไม่มีเรื่องไม่มาหาถึงที่ เจ้าไปอารามชิงหลาน ไปหายาหรือวิธีการปรุงยา”

ฉินหลิวซีเล่าเรื่องเฉวียนจิ่งถูกพิษให้ฟัง เอ่ย “เจ้าอาวาสชิงหลานชี้แนวทางให้ข้าเล็กน้อย แมงป่องสีทองเองก็เป็นสัตว์มีพิษ ชนเผ่าพ่อมดแม่มดรู้เรื่องแมลงกู่มากกว่าข้า อยากไปถามหัวหน้าพ่อหมอที่เซียงหนานสักหน่อย”

หลังจากที่ซือเหลิ่งเย่ว์เริ่มฝึกคาถา ก็ได้เรียนรู้การแพทย์ของพ่อมดแม่มดไปด้วย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแมลงกู่

“ไยเจ้าต้องไปไกล ข้าเองก็กำลังฝึกแมลงกู่”

ฉินหลิวซีตกใจ

“เจ้าตามข้ามา” ซือเหลิ่งเย่ว์จูงมือนาง เดินเข้าไปในห้องลับที่ต้องเป็นคนในตระกูลหรือคนใกล้ชิดเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าไหที่นางเลี้ยงแมลงกู่ เคาะไหเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “นี่คือสิ่งที่ข้าเพิ่งเลี้ยง อย่างมากใช้เวลาอีกหนึ่งปีก็จะเป็นกู่”

“นี่คือสิ่งใดหรือ”

“กู่หนอนไหมทอง” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยตอบ “กู่หนอนไหมสีทองเลี้ยงด้วยพิษอย่างน้อยยี่สิบเอ็ดชนิด เป็นสิ่งมีพิษมากที่สุดอย่างหนึ่ง แม้ของข้าจะยังไม่สำเร็จ แต่หมอกู่และแม่หมอ[1]ที่ศึกษาเรื่องกู่โดยเฉพาะเล่า เจ้าบอกว่าแมงป่องสีทองมีพิษมาก หากเทียบกับกู่หนอนไหมทองที่กลืนพิษไปยี่สิบเอ็ดชนิดเล่า ข้ามีหนึ่งวิธี ในเมื่อเจ้าจะถอนพิษแมงป่องทอง ไม่ลองนำมันมาต่อสู้กับกู่หนอนไหมทอง หากกู่หนอนไหมทองเอาชนะได้ กลืนกินพิษของแมงป่องสีทองได้ เช่นนั้นก็มีพิษของมันแล้วมิใช่หรือ นำกู่หนอนไหมทองปลูก[2]ในร่างกายของเฉวียนจิ่ง จะไม่เอาชนะมดคันไฟอะไรนั่นได้หรอกหรือ อย่างไรหากแมงป่องสีทองเอาชนะได้ เช่นนั้นมันก็จะดูดพิษของกู่หนอนไหมทอง พิษที่เดิมมีอยู่ก็จะถูกปรับสมดุลเข้าด้วยกันแล้ว”

ดวงตาของฉินหลิวซีวาวขึ้น “ข้าคิดว่าได้”

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “แต่พิษกู่หนอนไหมทองไม่มีสิ่งใดเทียบได้ หากกลืนแมงป่องสีทองเข้าไปอีก ยิ่งมีฤทธิ์แข็งแกร่งขึ้น อย่างที่เจ้าว่า เฉวียนจิ่งร่างกายอ่อนแอ ไม่รู้จะรับการทำลายล้างของพิษกู่หนอนไหมทองได้หรือไม่ แน่นอนว่าต้องทรมานยิ่งกว่าไฟน้ำค้างแข็งกัดกร่อนกระดูกอย่างแน่นอน”

“คงต้องขึ้นอยู่กับดวงชะตาของเขาแล้ว” สิ่งที่ควรทำก็ทำหมดแล้ว หากยังยื้อต่อไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เพราะสวรรค์ไม่ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ

ฉินหลิวซีมองไปยังไหใบนั้น เอ่ยถาม “กู่หนอนไหมของเจ้าอีกนานเพียงใดจึงจะสำเร็จ ยกให้ข้าได้หรือไม่”

รอยยิ้มซือเหลิ่งเย่วเลือนหาย “เดิมทีนี่เตรียมเอาไว้มอบให้เจ้า เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่สำเร็จ เลี้ยงหนอนไหมทอง ต้องใช้แมลงพิษในเทศกาลเรือมังกรในเดือนหน้าใส่ลงไปถึงจะได้ เพราะแมลงพิษมีพิษมากที่สุดในช่วงเวลานี้ และการจะกลายเป็นกู่ ข้าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี”

ฉินหลิวซีรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ถอนหายใจเอ่ย “ดูเหมือนยังขี้เกียจไม่ได้ ยังต้องไปเซียงหนานสักครั้ง”

“ให้ข้าไปกับเจ้าหรือไม่”

ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “ไม่ต้อง เดิมทีเจ้าก็มีธุระมากมาย ทั้งต้องฝึกคาถาแม่มด ทั้งต้องเตรียมการรับมือกับคนใจร้ายนั่น ไหนเลยจะปลีกตัวออกไปได้ ข้าเดินเส้นทางหยินก็ได้”

ซือเหลิ่งเย่ว์ยุ่งมากจริงๆ หลังจากล้างคำสาปเลือดได้แล้ว นางยังต้องสืบทอด ฝึกฝนวิชาแม่มดอย่างบ้าคลั่งราวกับฟองน้ำดูดซับ ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมีความรู้สึกเร่งด่วน อยากร้ายกาจขึ้นอีกสักนิด จึงจะปกป้องตนเองและคนที่อยากปกป้องได้

ดังนั้นนางจึงไม่อยากไปคิดถึงเรื่องสายเลือดสืบสกุล

แต่ตอนนี้ไม่จัดการคงไม่ได้

ทั้งสองต่างก็ไม่ใช่เด็กสาวยังไม่ออกเรือนที่รู้เพียงศิลปะสี่แขนงและพูดคุยถึงว่าบ้านไหนมีเครื่องประดับงดงามชิ้นใหม่ มีชายหนุ่มรูปหล่อบ้านใดเช่นนั้น ต่างคนต่างมีธุระมากมายติดตัว หลังจากพูดคุยใต้แสงเทียนมาทั้งคืน ฉินหลิวซีเองก็ไม่อยู่ต่อ ถือโอกาสที่ฟ้ายังไม่สาง เปิดเส้นทางหยินมุ่งหน้าไปเซียงหนานเพื่อตามหาชนเผ่าตระกูลอู

เดินทางมาถึงชนเผ่าตระกูลอู ฟ้าเริ่มสางแล้ว หมู่บ้านถูกปกคลุมไปด้วยหมอกราวกับแดนสวรรค์

ฉินหลิวซีเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านอูหยางหัวหน้าชนเผ่าอย่างคุ้นเคยเส้นทาง หลังจากกินมื้ออาหารเช้าเรียบร้อย จากนั้นจึงเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่ตนมาที่นี่

หัวหน้าชนเผ่าอูหยางเป็นหมอเวทย์ ศึกษาเรื่องกู่พิษมากมาย เมื่อก่อนพิษกู่ของจิ่งเสี่ยวซื่อก็ถอนที่นี่ด้วย

เมื่อได้ฟังคำของฉินหลิวซีแล้ว มือข้างหนึ่งของอูหยางถือท่อฝิ่นของตนเอง เอ่ย “ตามที่ท่านว่า พิษของแมงป่องทองสามารถทำให้น้ำไขข้อกระดูกเน่าเปื่อย กำลังอยู่ในช่วงล้างทำลาย อาจกัดกร่อนกู่หนอนไหมทอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยจึงไม่ใช้แมงป่องทองนี้เติมพิษชนิดอื่นเข้าไปฆ่ากันเอง เลี้ยงขึ้นมาเป็นหนอนไหมตัวใหม่เล่า”

“ได้ยินว่าการเลี้ยงกู่หนอนไหมทองต้องใช้เวลาหนึ่งปี ข้ากลัวว่าเฉวียนจิ่งจะไม่มีชีวิตยืนยาวเพียงนั้น” ฉินหลิวซียิ้มขมขื่น แต่สามารถนำแมงป่องสีทองตัวหนึ่งไปให้ซือเหลิ่งเย่ว์ได้ ดูว่าจะเลี้ยงกู่หนอนไหมทองที่มีพิษยิ่งขึ้นได้หรือไม่

อูหยางตกใจ “มาถึงขั้นนี้แล้วหรือ”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “ดังนั้นการถอนพิษจึงเป็นเรื่องกระชั้นชิดเจียนตัว”

“แม้ข้าจะเป็นหมอเวทย์ แต่ไม่ได้เลี้ยงหนอนไหมทอง หากเอ่ยถึงการเลี้ยงสิ่งนี้ หมู่บ้านอูหยางของเรามีท่านยายที่เป็นหมอกู่อยู่ผู้หนึ่ง เลี้ยงกู่มาชั่วชีวิต นางมีกู่หนอนไหมทอง” อูหยางเอ่ย “แต่หมอกู่เลี้ยงกู่หนอนไหมทองนับว่าผิดกฎสวรรค์ โดดเดี่ยวยากจนอายุสั้นสามจุดจบ สิ่งที่นางเผชิญคือโดดเดี่ยว นิสัยแปลกประหลาด ในหมู่บ้านไม่มีผู้ใดไปมาหาสู่กับนาง”

ฉินหลิวซีเอ่ย “แม้แต่ท่านก็สั่งไม่ได้หรือ”

“แน่นอนว่าไม่ได้” อูหยางยิ้มขมขื่น เอ่ย “ต่อให้เป็นหัวหน้าเผ่าก็ไม่อาจใช้อำนาจกดขี่ผู้คน โดยเฉพาะการกดขี่ข่มเหงหญิงม่ายชราคนหนึ่ง อีกทั้งยังตกต่ำ อีกอย่าง คนฉลาดล้วนไม่เป็นศัตรูกับหมอกู่ ดังนั้นแน่นอนว่าทุกคนหลีกเลี่ยงนาง ไม่มีทางไปรนหาที่ตาย ผู้ใดจะรู้ได้ว่าจะไม่โดนพิษกู่เล่า”

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว นิสัยเช่นนี้เกรงว่าคงปฏิเสธโลกภายนอก

“แต่ปลายฤดูหนาวปีที่แล้ว หมอกู่เก็บเด็กคนหนึ่งกลับมาเลี้ยง เป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กคนนั้นสุขภาพไม่ดีนัก เคยอุ้มมาให้ข้าช่วยรักษา ขาดสารอาหารในครรภ์ของมารดาตามธรรมชาติ ยากที่จะเลี้ยงให้เติบโตได้ หากท่านมีวิธีรักษาเด็กคนนั้นได้ อย่าว่าแต่กู่หนอนไหมทองเพียงหนึ่งตัวเลย ท่านต้องการกี่ตัวนางก็สามารถเลี้ยงให้ท่านได้”

รอยยิ้มของฉินหลิวซีเลือนหาย “แม้แต่ท่านยังไม่มีวิธี ข้าจะรักษานางได้หรือ ท่านมองความสามารถข้าสูงเกินไปแล้ว”

อูหยางส่ายศีรษะ “ข้าเป็นหมอเวทมนตร์คาถาสืบทอดของชนเผ่า สิ่งที่เล่าเรียนมีการดัดแปลงมาจากเวทมนตร์ บางอาการป่วยข้าก็ไม่รู้เหมือนหมอข้างนอก เรื่องพิษกู่บางทีท่านอาจไม่สู้ข้า แต่เรื่องอาการป่วยของเด็ก ข้ากลับไม่อาจเทียบท่านได้ อีกทั้ง สุขภาพร่างกายเด็กคนนั้นไม่ดีนัก ดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงขาดสารอาหารจากครรภ์มารดา มีบางอย่างแปลกประหลาด แต่สายตาข้ามีขีดจำกัด ดูไม่ออก”

ฉินหลิวซีฟังมาถึงตรงนี้จึงมีความตื่นเต้นขึ้นมา เอ่ยขึ้น “หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเชิญท่านหัวหน้าเผ่าช่วยนำทาง ข้าจะไปดูที่บ้านหมอกู่ว่าเป็นอย่างไร”

[1] แม่หมอ หมออู หมอผี คือหมอที่รักษาโรคที่คิดว่าเกิดจากคาถา ปัจจุบันอาจใช้เรียกหมอรักษาโรคแบบโบราณไม่ได้ใช้นวัตกรรมร่วมสมัย

[2] ปลูกในที่นี้คล้ายปลูกฝี ซึ่งคล้ายกับการฉีดวัคซีน กล่าวคือใช้เชื้อโรคฉีดเข้าไปเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท