ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 311 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-8

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 311 ตะเกียงเหมันต์ ค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว การเดินทางไกล-8

“แล้วใต้เท้าผู้บังคับบัญชาจิ้นเผิงเล่า”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เขาตื่นก่อนเจ้าครึ่งค่อนวัน”

เยว่ตี๋ตอบ

จริงๆ แล้วหลิวรุ่ยอิ่งยังอยากจะถามถึงหวาหนงอีก

แต่เขารู้สึกว่าเขามีคำถามมากเกินไป ไม่ต่างกับพูดพล่าม…

ฉะนั้นเขาจึงกลั้นไว้ ไม่ได้เอ่ยถามออกไป

“ห้องหวาหนงอยู่ถัดจากห้องของเจ้า เขาเมาหนักกว่าเจ้าเสียอีก!”

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ทันได้ถาม เยว่ตี๋กล่าวขึ้นมาก่อน

สุดท้ายหลิวรุ่ยอิ่งก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม

ชีวิตคนเราก็แปลกเช่นนี้

หากคนใกล้ตัวดีไม่สู้ตนเอง ก็มักจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ

พร้อมที่จะสนับสนุนตลอดเวลา

แต่หากคนใกล้ตัวเหนือกว่าเรามากเกินไป ความอิจฉาริษยาก็พลันบังเกิด

แม้แต่การแสดงความยินดีหรือชื่นชมก็อาจไม่ได้มาจากใจจริงเสมอไป

“แล้วผู้จุดตะเกียงเหมันต์เป็นใครกันแน่”

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าเยว่ตี๋บอกเรื่องหวาหนงด้วยตัวเองจึงไม่ลังเลอะไรอีกพลันเอ่ยถามออกไป

“กลับถึงเมืองหลวง เจ้าไปหาคำตอบจากเจี่ยงชางฉงก็รู้แล้ว”

“ข้าควรจะถามเช่นไรดี”

หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสับสนไม่น้อย

“เจ้าแค่บอกว่ามีชายชราคนหนึ่งถือตะเกียงแปลกตา ไฟในตะเกียงเป็นสีน้ำเงิน เขาคือผู้ใดกัน”

เยว่ตี๋พูดด้วยน้ำเสียงเหลืออด

แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับจดจำคำพูดนี้อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ลืม

“นายกองหลิว!”

เยว่ตี๋พลันร้องเรียกเสียงดัง

“ขอรับ!”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบสนองอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ

“เจ้าคงไม่ลืมว่ามาเมืองหยางเหวินด้วยงานใดใช่หรือไม่”

เยว่ตี๋เอ่ยถาม

“แน่นอนว่าไม่ลืม ต้องหาอาคารแห่งหนึ่งและรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับไปยังเมืองหลวง”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบ

“เช่นนั้นเจ้าได้รายงานหรือยัง”

เยว่ตี๋ถามต่อ

หลิวรุ่ยอิ่งเงียบไป

เขาเมาไปวันครึ่ง จะเอาเวลาที่ไหนไปรายงาน?

“จิ้นเผิงกำลังรอเจ้าอยู่”

เยว่ตี๋กล่าว

แล้วลุกขึ้นเตรียมตัวจะออกไป

หลิวรุ่ยอิ่งถามด้วยความแปลกใจ

“จิ้นเผิงเมาน้อยกว่าเจ้าแค่ครึ่งวันเท่านั้น ไม่ว่าใครที่นอนทั้งวันทั้งคืนก็คงยากที่จะหลับได้อีก”

เยว่ตี๋เอ่ยอธิบาย

หลิวรุ่ยอิ่งหยิบกระบี่ เดินตามเยว่ตี๋ออกจากห้องไป

พวกเขาเดินผ่านทางเดินที่แคบยาวจนมองเห็นแสงสว่างจากห้องซ้ายมือสุดทางเดิน

ประตูไม่ได้ปิด

หลิวรุ่ยอิ่งและเยว่ตี๋จึงเดินตรงเข้าไป

จิ้นเผิงยืนหันหลังให้กับประตู

กำลังมองแผนที่ที่ห้อยอยู่บนผนังด้านหลัง

นั่นเป็นแผนที่ของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

ห้องของจิ้นเผิงสว่างจนทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกไม่สบายตาอย่างยิ่ง

เพราะเขาเพิ่งเคยชินกับความมืด ตอนนี้กลับต้องปรับตัวเข้ากับแสงสว่าง

อย่างไรก็ยังต้องการเวลาปรับตัวอยู่อีกสักพัก

“นายกองหลิวคอแข็งจริงๆ!”

จิ้นเผิงยังไม่หันกลับมา แต่กล่าวชื่นชมเป็นคำแรก

“ทำให้ใต้เท้าผู้บังคับบัญชาขบขันเสียแล้ว…”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวด้วยความเขินอาย

จิ้นเผิงยักไหล่แต่ยังหันหลังให้เขา

จากนั้นก็ชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งบนแผนที่

เขาทำเครื่องหมายด้วยพู่กันหมึกชาด

“เบี้ยหวัดถูกปล้นที่นี่”

จิ้นเผิงกล่าว

“ไม่ผิดขอรับ”

หลิวรุ่ยอิ่งเดินไปยังแผนที่

ดูเหมือนว่าเยว่ตี๋ได้บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้จิ้นเผิงทราบหมดแล้ว

เป็นไปได้ว่าใต้เท้าผู้บังคับบัญชาผู้นี้อาจรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว

“แต่ที่นี่ ข้าได้พบกับคนผู้หนึ่ง…”

หลิวรุ่ยอิ่งหยิบพู่กันหมึกชาดขึ้นมา

แล้ววาดวงกลมลงบนแผนที่ ตำแหน่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือบริเวณที่เบี้ยหวัดถูกปล้นไป

จากนั้นจึงเล่าเรื่องที่ตนและหวาหนงได้พบกับเกาเหรินในศาลเจ้า

“ศิษย์พี่ของสุดยอดนักพรตอินหยางไท่ไป๋ ช่างน่าสนใจจริงๆ”

จิ้นเผิงกล่าวหลังจากที่ฟังจบ

พูดจบ เขาหันไปมองเยว่ตี๋

เยว่ตี๋นั่งอยู่มุมหนึ่ง มองออกไปนอกหน้าต่างบนท้องฟ้าเริ่มมีแสงอ่อนๆ

ดูเหมือนว่านางไม่สนใจจะเข้าร่วมวงสนทนาของทั้งคู่

“ข้าคิดว่าเราควรจะหาสถานที่ที่พวกเขาไปซื้อศรธนู”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงสามารถซื้อศรธนูได้กี่ดอก”

จิ้นเผิงเอ่ยถาม

“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ…”

จิ้นเผิงหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาแล้วโยนให้เขา

หลิวรุ่ยอิ่งมองชื่อบนหน้าปกสมุดบันทึก ‘การสร้างและสั่งสมอาวุธยุทโธปกรณ์ของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง’

ในสมุดบันทึกไว้ชัดเจนว่าราคาการผลิตศรธนูหนึ่งดอกประมาณหนึ่งตำลึง

นั่นเป็นเพียงต้นทุนเท่านั้น

อีกทั้งการค้าขายศรธนูโดยไม่ผ่านทางการถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง ผู้กระทำผิดอาจถูกลงโทษถึงขั้นประหารทั้งตระกูล มีโทษถึงเก้าชั่วโคตร

ผู้ที่กล้าเสี่ยงภัยก็เพื่อหวังทำกำไรมหาศาล

หากคำนวณเช่นนี้ละก็ แม้จะขายศรธนูในราคาที่สูงกว่าต้นทุนห้าเท่าหรือสิบเท่าก็ยังมีผู้ซื้อ

หากกล่าวเช่นนี้ ด้วยเงินสี่ล้านตำลึงก็เพียงพอที่จะซื้อศรธนูได้เกือบหนึ่งล้านดอก

นี่ย่อมไม่ใช่จำนวนน้อยๆ

หากเทียบกับบันทึกในสมุดบันทึก จำนวนนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของศรธนูสำหรับเตรียมรบของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

“เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าพวกเขาไม่มีทางไปซื้อศรธนู!”

จิ้นเผิงกล่าว

“ใต้เท้าผู้บังคับบัญชาหมายความว่าอย่างไร”

หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่เข้าใจ

เกาเหรินบอกเขาอย่างชัดเจนว่าจิ้งเหยาจะไปซื้อศรธนู

หากเป็นเช่นนั้นทัพชายแดนก็จะไม่มีเบี้ยหวัด ขณะที่กองกำลังทุ่งหญ้าจะได้ศรธนู

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

“เพราะหากเขาซื้อ นั่นหมายความว่าเขาต้องซื้อมากกว่าครึ่งคลังอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ข้าคิดไม่ออกว่าจะมีใครหน้าไหนกล้าเสี่ยงซื้อศรธนูในปริมาณมหาศาลเช่นนี้ เว้นแต่ว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจะเป็นผู้ยินยอมด้วยตนเอง”

จิ้นเผิงกล่าว

แต่หากไม่ใช่การซื้อศรธนู แล้วศรธนูจะมาจากที่ใด

“หรือเขาตั้งใจจะสร้างด้วยตัวเอง”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“ถูกต้อง! สร้างเอง ต้นทุนการผลิตศรธนูหนึ่งดอกก็แค่หนึ่งตำลึง เงินสี่ล้านตำลึงก็สามารถผลิตศรธนูได้สี่ล้านดอก แม้จะหักค่าแรง ค่าภาษีและอื่นๆ ก็ยังมีศรธนูประมาณสามล้านเจ็ดแสนหรือสามล้านแปดแสนดอก”

จิ้นเผิงกล่าว

“แต่การผลิตศรธนู อีกทั้งยังเป็นจำนวนมหาศาลขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าต้องใช้เวลานานมากเลยหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“ก็ไม่ใช่ว่าจิ้งเหยาต้องการให้เวลายืดเยื้อออกไปหรอกหรือ เบี้ยหวัดที่ล่าช้าไปวันหนึ่ง จิตใจของทหารทัพชายแดนก็จะยิ่งร้อนรนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชุ่น เลื่อนไปสิบวันก็ร้อนรนสิบชุ่น”

จิ้นเผิงกล่าว

“อีกทั้งเงินสี่ล้านตำลึงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แม้แต่ในเมืองหลวงที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้าก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อยในการรวบรวม นอกจากนี้ หากเหตุการณ์เบี้ยหวัดถูกปล้นแพร่สะพัดออกไป อาณาประชาราษฎร์ของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องคงหวาดหวั่นไม่น้อย”

จิ้นเผิงกล่าวต่อ

“ที่ใต้เท้าผู้บังคับบัญชาวิเคราะห์มานั้นไม่ผิด…จิ้งเหยาต้องคำนวณเวลาไว้อย่างแม่นยำแล้ว ผลิตได้มากเท่าไรก็ดีเท่านั้น คนประเภทนี้แน่นอนว่าจะไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยขึ้น

อันที่จริง หากเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาประสงค์ตามหาตัวจิ้งเหยาและพรรคพวกก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง

เพียงแค่ปิดกั้นเส้นทางการค้าที่เชื่อมต่อกับทุ่งหญ้าทุกเส้น

ตรวจสอบขบวนการค้าที่เข้าออกอย่างเคร่งครัด แต่ละครัวเรือนดูแลสอดส่องซึ่งกันและกัน

ไม่นาน จิ้งเหยาก็จะไม่มีที่หลบซ่อน จำต้องเผยตัวในที่แจ้ง

แต่สำหรับผู้เป็นอ๋อง อย่างแรกคืออำนาจทางการทหาร และอย่างที่สองคือหัวใจของราษฎร

อำนาจทางการทหารใช้ป้องกันศัตรูจากภายนอก หัวใจของราษฎรเพื่อปลอบประโลมความไม่สงบภายใน

จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้

ฉะนั้นเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาจึงไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน

แม้ว่าเวลานี้ในใจเขาจะรู้สึกวิตกกังวลเพียงใด แต่เขาก็ยังคงนั่งอยู่ในตำหนักวังอ๋องอย่างใจเย็น

“เหล็กคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการผลิตศรธนู ขอถามใต้เท้าผู้บังคับบัญชา ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องนี้มีเหมืองแร่เหล็กขนาดใหญ่ที่ไหนบ้าง”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

จิ้นเผิงพลันหัวเราะขึ้นมา

เขาและเยว่ตี๋สบตากัน

เยว่ตี๋ก็พยักหน้าแสดงความพอใจ

นางยอมรับความคิดของหลิวรุ่ยอิ่ง

สมกับที่เป็นคนที่ผู้จุดตะเกียงเหมันต์ให้ความสนใจ

จิ้นเผิงให้หลิวรุ่ยอิ่งเข้ามาใกล้ๆ แล้วใช้พู่กันหมึกชาดขีดเขียนเส้นบนแผนที่เส้นหนึ่ง

มองดูเส้นสีแดงตัดผ่านโครงสร้างทางภูมิศาสตร์และอุทกศาสตร์

หลิวรุ่ยอิ่งก็ยิ้มเช่นกัน

“จะออกเดินทางเมื่อไร”

เยว่ตี๋ลุกขึ้นถาม

“เมื่อหวาหนงสร่างเมา พวกเราก็จะออกเดินทาง”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบ

“ข้าตื่นแล้ว”

เงาร่างของหวาหนงปรากฏขึ้นจากด้านหลังของหลิวรุ่ยอิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าเขาเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ

มือกำกระบี่แน่น

แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉยและเย็นชาเช่นเคย

ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งกลับเห็นความร้อนแรงที่เปล่งประกายจากแววตาของเขา

………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท