บทที่ 401 แผนการยิ่งใหญ่
ไป๋เยี่ยพยายามทำงานในมือให้เสร็จภายในวันนี้ เพราะเขาจะต้องเข้าไปทำงานในแผนกอย่างช้าก็ภายในสัปดาห์หน้า ถึงตอนนั้นเขาจะมัวมาทำตัวว่างแบบนี้ไม่ได้
นอกจากนี้ไป๋เยี่ยยังค้นพบว่า ถึงแม้เขาจะยุ่งมากแต่ก็รู้สึกไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่เท่าที่คิดไว้ เพราะธุระของเขาในทุกๆ วันก็มักจะเป็นการไปเข้าร่วมงานประชุมและงานอื่นๆ มากกว่า
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรือพูดให้ถูกก็คือเขาไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนี้เลยสักนิด
ไป๋เยี่ยอยากจะอยู่เงียบๆ และวางแผนอนาคตของตนเองต่อไป
ไม่ใช่มาทำหน้าที่เป็นประธาน อาจารย์หรืออะไรก็ตามแต่ นี่ไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการเลย
ไป๋เยี่ยจึงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลับไปทำงานในแผนกสมอง มันเหมือนกับว่าเขากำลังจะได้กลับไปทำในสิ่งที่อยากทำ ภายในใจของเขาก็เปี่ยมไปด้วยแรงกระตุ้นอันมากล้น
เหตุผลที่ไป๋เยี่ยเลือกสาขาโรคสมองแต่แรกก็เพราะเขาอยากทำความเข้าใจกับแผนกที่ลึกลับเช่นนี้
เพราะว่าระบบประสาทคือระบบที่ลึกลับและซับซ้อนที่สุด
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคที่เกิดขึ้นในระบบประสาทให้หายขาดเลยด้วยซ้ำ!
นี่คือความจริง
เช่นเดียวกับโรคที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวันอย่างโรคหลอดเลือดสมอง มันคือโรคที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดดำบริเวณกะโหลกศีรษะ หลังจากที่หลอดเลือดเกิดการอุดตัน เส้นประสาทที่อยู่โดยรอบก็จะขาดเลือดและออกซิเจนจึงตายลง ซึ่งทำให้เส้นประสาทเหล่านั้นสูญเสียการทำงานไปในที่สุด
จึงเกิดอาการต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากการหยุดทำงานของเส้นประสาทขึ้นนั่นเอง
เมื่อเส้นประสาทหยุดทำงานก็มักจะฟื้นตัวได้ยาก การรักษาในปัจจุบันจึงมุ่งไปที่การปรับปรุงการไหลเวียนของโลหิตและการบำรุงเนื้อสมอง
แต่ถึงกระนั้นการจะบำรุงเนื้อสมองก็เป็นเรื่องยาก
ถึงแม้ว่าจะมียาหลายชนิดที่ส่งเสริมการเจริญของเส้นประสาท แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังไม่ชัดเจนและเห็นผลช้ามาก
นั่นก็ยังถือว่ามีแนวทางการรักษา แต่สำหรับโรคอื่นๆ อย่างโรคพาร์กินสันนั้น การรักษาก็ยิ่งเป็นไปได้ยากและซับซ้อนมากขึ้น แถมยังเห็นผลน้อยมากด้วย
แม้แต่บุคคลสำคัญในอดีตของประเทศจีนก็ยังป่วยด้วยโรคนี้และไม่เคยได้รับการรักษาให้หายขาดเลย
โรคทางระบบประสาทจึงเป็นโรคที่ซับซ้อนและรักษาได้ยาก ซึ่งไป๋เยี่ยเองก็คิดเช่นนั้น
อันที่จริงไม่ใช่แค่ไป๋เยี่ยเท่านั้น แต่พวกเราทุกคนเองก็เป็นเช่นนั้น ถึงเราจะรู้ว่าอะไรเป็นเรื่องยาก แต่เราก็ยังคิดอยากเผชิญกับมัน มันไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดเลย เป็นเพราะเรายังมีความเป็นเด็กต่างหาก
คำว่า ‘เด็ก’ นั้นหมายถึงการที่เราเชื่อว่าตนเองคือตัวเอกของชีวิต เราเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ เราแตกต่างจากคนอื่นๆ และเรายังมีศักยภาพมากพอที่จะแก้ไขในสิ่งที่คนอื่นแก้ไม่ได้
ชีวิตคนเราย่อมเคยผ่านความรู้สึกนี้มาทั้งนั้น ความเป็นเด็กนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุแต่อย่างใด มันขึ้นอยู่กับความคิดของเราด้วย
ชีวิตคนเราต้องดำเนินต่อไป ไป๋เยี่ยเองก็มีชีวิตของเขาเช่นกัน
อีกไม่นานเขาจะต้องกลับไปที่โรงพยาบาลแล้ว เช่นนั้นเขาก็ขอจัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน
เมื่อไหร่ที่เรื่องราวต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลก่อนเข้าแผนกแล้ว ในที่สุดเขาก็จะได้สงบสติอารมณ์ของตนเองและกลับไปตั้งใจเรียนสักที
ปัจจุบันบริษัทจื้อเหิงนั้นกำลังพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีอะไรโดดเด่น เพียงแต่ว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดของทางบริษัทอย่างสเปรย์ลิโดเคนและโฟมปิดแผลนั้นได้รับอนุญาตให้วางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศแล้ว ต้องขอบคุณต้วนเจ๋อหมิงจริงๆ
เหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้บริษัทจื้อเหิงต้องลงแรงมาก ดังนั้นเมื่อมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ทางเมียนมาร์จึงเข้ามาช่วยประชาสัมพันธ์ และตอนนี้ผลิตภัณฑ์ก็กำลังได้รับการเปิดตัวในสิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้และประเทศอื่นๆ โดยประเทศแรกที่เข้าร่วมตลาดนี้ก็คือญี่ปุ่นนั่นเอง
สาเหตุก็มาจากตอนที่ไป๋เยี่ยนำผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างไปโปรโมทในการประชุมประจำปีของสาขาทวารหนักที่ญี่ปุ่น พร้อมกับนำเสนอแนวคิดเรื่องจุลชีพภายในลำไส้ ผลิตภัณฑ์ของไป๋เยี่ยจึงด้รับความสนใจไปด้วย และเขาก็ใช้ประโยชน์จากการประชุมครั้งนั้นในการยื่นใบอนุญาตให้กับผลิตภัณฑ์นั่นเอง
ตอนนี้จึงกล่าวได้ว่า บริษัทจื้อเหิงมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปจริงๆ เพราะผลิตภัณฑ์อื่นๆ นอกเหนือจากสองรายการนั้นจะไม่ถูกเผยแพร่ไปที่อื่นแต่อย่างใด แน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องกับการจัดการของไป๋เยี่ยด้วย
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีผลลัพธ์ยิ่งใหญ่นัก แต่ทีมวิจัยของจื้อเหิงก็พัฒนาไปได้เร็วมาก ปัจจุบันทางบริษัทจึงนำรายได้มาลงทุนกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของไป๋เยี่ยก็คือการให้ทีมวิจัยค้นคว้าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นั่นเอง
หลังจากที่ไป๋เยี่ยส่งผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากการจับรางวัลไปให้ทีมวิจัยทีละชิ้น พวกเขาก็เริ่มค้นคว้าทันที
และเมื่อเร็วๆ นี้เองไป๋เยี่ยก็เพิ่งจะจัดการประชุมที่บริษัทจื้อเหิงเพื่อเน้นย้ำทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาของบริษัท
ส่วนอาคามอสก็นำทีมวิจัยด้านการแพทย์ฉุกเฉินเข้ามาร่วมการประชุมที่บริษัทจื้อเหิงด้วย เพราะสิ่งที่ไป๋เยี่ยอยากทำนั้นมันยิ่งใหญ่มากจริงๆ
มันคือผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยยกระดับการปฐมพยาบาลฉุกเฉินในระดับนานาชาติได้
เขาต้องการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ที่ล้ำยุคและสอดคล้องกับการแพทย์ฉุกเฉิน
เหตุใดความรู้จึงเป็นสิ่งมีค่าในทุกยุคสมัย ก็เพราะความรู้คือสิ่งที่นำมาใช้ยกระดับสิ่งอื่นๆ ได้
เช่นเดียวกับในวงการแพทย์ ตัวอย่างเช่น ถ้าพรุ่งนี้มีคนค้นพบว่าสาเหตุหลักของโรคหวัดคือไวรัสชนิดเอไม่ใช่ไวรัสชนิดบี ยาที่ใช้รักษาไวรัสชนิดบีก็จะถูกกวาดล้างไป บรรดาผู้ผลิตและบริษัทเหล่านั้นก็เผชิญหน้ากับการล้มละลายในที่สุด
ถึงแม้วิทยาศาสตร์จะไม่มีตัวตน แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเคารพ
ดังนั้นสิ่งที่ไป๋เยี่ยต้องการจะทำก็คือ หลังจากที่เขากำหนดแนวทางการแพทย์ฉุกเฉินฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว เขาก็จะใช้โอกาสนี้ในการยกระดับอุปกรณ์การแพทย์ฉุกเฉินเหล่านั้น!
ถึงแม้ว่าสถาบันวิจัยกระดูกจะกำลังไปได้สวยเพราะว่ามีอุปกรณ์ ทีมวิจัย ทีมเทคนิค ตัวไป๋เยี่ยเองและความช่วยเหลือจากยูเนียน แต่ในขณะเดียวกันสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินกลับไม่มีอะไรโดดเด่นจนแม้แต่สื่อยังไม่พูดถึงเลย
แต่ถึงกระนั้น เส้นทางที่ไป๋เยี่ยปูไว้อย่างมั่นคงก็ยังคงเป็นสาขาการแพทย์ฉุกเฉิน!
เพราะว่าอาคามอส โยฮันและคนอื่นๆ ต่างก็เป็นสมาชิกทีมวิจัยชั้นนำของมหาวิทยาลัยไอเซนเบิร์ก พวกเขาศึกษาด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉินมาโดยตรง เมื่อพวกเขามาที่ประเทศจีน ไป๋เยี่ยจึงให้พวกเขาค้นคว้าในสิ่งที่เรียนมาพร้อมกับวิจัยผลิตภัณฑ์และแนวทางใหม่ๆ พวกเขาเองก็พร้อมใจกันเสนอแนวคิดและสมมติฐานมาโดยตลอด แล้วจึงมาร่วมมือกันกับบริษัทจื้อเหิงเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ตัวอย่างที่จะนำมาทำการทดลองและเปรียบเทียบ สุดท้ายก็ทำการยกระดับผลิตภัณฑ์เหล่านั้น
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด
โดยบริษัทจื้อเหิงจะถือหุ้นไว้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนสถาบันวิจัยการแพทย์ฉุกเฉินจะถือหุ้นไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์!
ดังนั้นสิทธิบัตรของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจึงอยู่ในครอบครองของสถาบันวิจัย บริษัทจื้อเหิงเป็นเพียงผู้อำนวยการผลิตเท่านั้น