ตอนที่ 446 คนดีย่อมมีบุญ
คืนนี้เป็นคืนที่ยาวยานสำหรับเจ้าที่และผีเนินดินฝังศพ กระนั้นกลับปกติดีสำหรับคนหมู่บ้านเหมาทันทั้งหมด
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดไปทั่วทุกที่ คนหมู่บ้านเหมาทันทยอยกันตื่นนอน เลี่ยวต้าหนิวและภรรยาลุกขึ้นจากที่นอน รู้สึกว่าเมื่อยเอวปวดหลังอยู่บ้าง
“ซี้ด…เฮ้อ ข้าว่านะสามี เมื่อคืนข้าหลับไม่สนิทเลย ฝันกลางดึกอีกต่างหาก…”
พูดได้กึ่งหนึ่งแล้วนางพลันหยุด ลงจากที่นอนแล้วหยิบกาน้ำมาดื่มให้ชุ่มคอก่อนกล่าวต่อ
“ข้าฝันว่าตนเองนอนอยู่กลางสนามรบ ทุกที่ล้วนมีเสียงฆ่าฟัน ราวกับทัพทหารสองทัพฆ่าฟันกันอย่างดุดัน ทว่าข้าลุกไม่ขึ้น อยากลืมตาก็ทำไม่ได้ แสบตายิ่งนัก”
ฟังภรรยาพูดเช่นนี้แล้ว เลี่ยวต้าหนิวตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ข้า ข้าด้วย ข้าก็ฝันเหมือนกัน ลืมตาไม่ได้ ทว่ารอบข้างต่อสู้กันอย่างหนัก ข้ารู้สึกถึงทุกอย่าง น่ากลัวมากจริงๆ!”
“ท่านก็ฝันเหมือนกันหรือ”
ภรรยาถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่!”
ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น จากนั้นถึงค่อยรีบสวมเสื้อผ้า
เมื่อเลี่ยวต้าหนิวเก็บข้าวของเปิดประตูออกไป เห็นเหล่าจางเพื่อนบ้านข้างๆ รีบร้อนวิ่งมาถึงหน้าบ้านเขาแล้ว
“เหล่าเลี่ยว เหล่าเลี่ยว! ข้าจะเล่าให้ข้าฟัง เมื่อคืนข้าฝันว่ารอบๆ หมู่บ้านพวกเราเกิดการต่อสู้ เสียงฆ่าฟันสะเทือนฟ้า ข้าลืมตาไม่ขึ้น รู้สึกกลัวเป็นอย่างยิ่ง! ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น ภรรยาข้าก็ฝันเช่นกัน ครอบครัวของเหล่าหลิวด้วย!”
เลี่ยวต้าหนิวกลืนน้ำลาย รีบออกจากประตูไปพูด
“เหล่าจาง ขอพูดตามตรงไม่ปิดบัง ข้ากับภรรยาก็ฝันเหมือนกัน ไม่เพียงมองเห็นแต่ได้ยินด้วย เหมือนกับอยู่กลางสนามรบ รู้สึกว่าตนเองเหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว…ถุยๆๆ ข้าจะบอกว่ารู้สึกเหมือนตนเองหลับเหมือนตายอย่างไรอย่างนั้น!”
เหล่าจางเดินเข้าไปใกล้ตามสัญชาตญาณ มองเลี่ยวต้าหนิวก่อนเอ่ยถามเสียงเบา
“เหล่าเลี่ยว เจ้าว่าเป็นผีในเนินดินฝังศพต่อสู้กับผีโรคระบาดเมื่อคืนนี้หรือไม่”
เลี่ยวต้าหนิวมองไปทางเนินดินฝังศพ จากนั้นพยักหน้าตามสัญชาตญาณ
“น่าจะใช่!”
จากนั้นสองคนได้ยินเสียงจอแจในหมู่บ้านหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ พวกคนในหมู่บ้านที่ตื่นนอนแล้วต่างคุยกันเรื่องความฝันน่ากลัวเมื่อคืน พอพูดแล้วทุกคนถึงพบว่านอกจากคนที่นอนหลับสนิทเป็นพิเศษจำนวนน้อยแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนฝันคล้ายๆ กันไปหมด
บางคนเพียงได้ยินเสียงไม่เห็นคน ลืมตาไม่ได้แต่รู้ว่าอยู่กลางสนามรบ บางคนกลับลืมตาได้เล็กน้อย แน่นอนว่าเล็กน้อยนี้ไม่เพียงพอให้มองเห็นอะไร แต่กลับมองเห็นเงาคนดำทะมึนและความวุ่นวาย เงาคนเหล่านั้นวิ่งเข้าใส่กันอย่างบ้าคลั่ง
ทุกคนต่างก็ไม่ใช่คนโง่ ในสถานการณ์แบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดชัดเจนเกินไป ใครๆ ก็นึกถึงธงรบและอาวุธที่เผาให้วิญญาณผีเนินดินฝังศพก่อนหน้านี้ ไปจนถึงผีเนินดินฝังศพและเจ้าที่ต่างเข้าฝันเลี่ยวต้าหนิวและหัวหน้าหมู่บ้าน
คนในหมู่บ้านเหมาทันหลายคนไม่สนใจกินข้าวเช้าแล้ว พากันวนเวียนอยู่ภายในและนอกหมู่บ้านอยู่หลายรอบ แต่ไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด กลับเห็นคนต่างถิ่นสองคนยืนอยู่อย่างคาดไม่ถึง
ตอนเลี่ยวต้าหนิวและหัวหน้าหมู่บ้านนำทางชายเจ็ดแปดคนในหมู่บ้านไปถึงนอกเนินดินฝังศพ พวกเขาเห็นว่ามีชายสองคนสวมชุดคลุมยาวสีขาวและชุดคลุมสีน้ำเงินยืนมองเนินดินฝังศพอยู่ข้างนอก ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วก็หันมองคนในหมู่บ้าน ทว่าบนใบหน้าไม่มีความรู้สึกตกใจแต่อย่างใ
“สวัสดีทุกคน ข้าน้อยจี้หยวน!”
“ข้าน้อยฉางอี้!”
จี้หยวนประสานมือให้คนในหมู่บ้านเล็กน้อย ฉางอี้ย่อมทำตามเช่นกัน
สองคนนี้ดูท่าทางเหมือนบัณฑิต ทุกท่วงท่างามสง่า คนในหมู่บ้านเหมาทันไม่กล้าประมาทเช่นกัน รีบตอบกลับด้วยมารยาทตามหัวหน้าหมู่บ้าน
“ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมาจากที่ใด มาที่หมู่บ้านเหมาทันของพวกเราด้วยธุระใด”
จี้หยวนเผยรอยยิ้มจาง
“พวกข้ามาจากที่ไกล ได้ยินว่ามีคนตั้งเนินดินฝังศพตามท้องถนนอยู่ที่นี่ จึงตั้งใจมาดูผู้ตั้งเนินดินฝังศพโดยเฉพาะ ไม่ทราบว่าพวกท่านคนใดเป็นคนตั้งหรือ”
คนหมู่บ้านเหมาทันมองไปทางเลี่ยวต้าหนิว ฝ่ายหลังลังเลเล็กน้อยค่อยก้าวออกมากล่าว
“เอ่อ ข้านับว่าเป็นคนตั้งเนินดินฝังศพ แต่เรื่องนี้พวกข้าในหมู่บ้านช่วยกันจัดการ หลายปีมานี้หากไม่มีคนในหมู่บ้านช่วยเหลือ ข้าไหนเลยจะตั้งเนินดินฝังศพเช่นนี้ได้ จะขนศพคนเดียวก็ไม่ไหวเช่นเดียวกัน”
จี้หยวนพยักหน้า
“ถูกต้อง ทุกท่านคุณธรรมสูงส่งนัก!”
“เอ่อฮ่าๆ มิกล้าๆ!”
“พวกเราจะได้สะสมบุญไว้!”
“ใช่ๆ!”
คนในหมู่บ้านได้รับคำชมเรียบง่ายแล้วรู้สึกเขินอยู่บ้าง ในใจย่อมปีติ สองท่านนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีการศึกษา คนมีการศึกษามีการพินิจพิเคราะห์ที่แตกต่างออกไปสำหรับพวกเขาอยู่แล้ว
“จริงสิ ในเมื่อทั้งสองมาจากที่ไกล มาที่อำเภอต้าเหอของพวกข้าตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก พวกท่านไม่รู้หรือว่า…”
เลี่ยวต้าหนิวมองเนินดินฝังศพตามสัญชาตญาณ ก่อนจะกล่าวกับจี้หยวนและฉางอี้
“ช่วงนี้อำเภอของพวกข้าและอำเภอใกล้เคียงเหมือนกับมีโรคระบาด นี่ไม่ใช่โรคเล็กน้อยเลย เมื่อติดโรคระบาดแล้วอันตรายยิ่งนัก พวกท่านยังคงมาที่นี่ในเวลานี้หรือนี่”
ฉางอี้พ่นลมหายใจเบาๆ เสียงหนึ่ง ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วค่อยเอ่ยปาก
“ใช่ โรคระบาดนั้นไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าอยู่ที่อำเภอต้าเหอและอำเภอใกล้เคียงหรือ หากคำนวณดูอย่างละเอียด พื้นที่โรคระบาดอยู่ในอำเภอและทั่วทั้งเมือง เกรงว่าเป็นจำนวนเกือบร้อยแล้ว…”
“เอ๋!?”
“เกือบร้อย?”
“สวรรค์!”
“ล้วนเป็นโรคระบาดหรือ”
“น่ะ…นี่เป็นไปได้ได้อย่างไร”
คนหมู่บ้านเหมาทันถูกจำนวนที่ฉางอี้กล่าวถึงทำให้ตกใจแล้ว พวกเขาหลายคนออกจากอำเภอต้าเหอของตนเองน้อยมาก สถานที่ที่ไปไกลที่สุดน่าจะเป็นอำเภอข้างเคียง แม้จำนวนเกือบร้อยรวมทั้งอำเภอและเมืองไว้ด้วยกัน ทว่าเพียงคิดก็รู้แล้วว่ามีอาณาเขตกว้างขวางมาก
ตอนคนในหมู่บ้านกำลังตกใจ จี้หยวนกลับมองเลี่ยวต้าหนิว เห็นสีปราณมากมายของอีกฝ่ายเพิ่มขึ้น เลือดลมเต็มเปี่ยม ลักษณ์บุญกุศลแม้ไม่ชัดเจน ทว่าเทียบกับคนรอบข้างแล้วมีไม่น้อยเลย
“ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ ท่านทั้งสองคนน่าจะยังไม่ได้กินข้าวเช้า หมู่บ้านพวกข้าแม้ยากจน ทว่าต้อนรับแขกเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นท่านทั้งสองเข้าไปกินข้าวเช้าด้วยกันเป็นอย่างไร”
“ใช่ๆ มานั่งหมู่บ้านพวกข้าหน่อยเถอะ!”
“จริงด้วย เล่าเรื่องข้างนอกให้พวกข้าฟังหน่อย โรคระบาดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่”
“ใช่ๆๆ เล่าเรื่องข้างนอกให้ฟังที!”
คำขอของหัวหน้าหมู่บ้านได้รับความเห็นชอบจากทุกคนในทันที จี้หยวนสบตากับฉางอี้ ฝ่ายแรกพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณเจตนาดีของทุกท่าน เช่นนั้นพวกข้าต้องรบกวนแล้ว!”
คนกลุ่มหนึ่งเดินรอบนอกและในหมู่บ้านรอบหนึ่ง ไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้อะไร จะตามหาไปตลอดก็ไม่ได้ ตอนนี้จึงต้อนรอบจี้หยวนและฉางอี้เข้าไปในหมู่บ้าน
ระหว่างทางย่อมมีคนพูดเรื่องวิญญาณผีเนินดินฝังศพเข้าฝันกับพวกจี้หยวนสองคนอย่างอดไม่ได้ และเล่าว่าเมื่อคืนแทบทุกคนในหมู่บ้านฝันเหมือนกันหมด อยากให้บัณฑิตทั้งสองช่วยทำนายฝัน
จี้หยวนและฉางอี้ทำเป็นครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นบอกคนในหมู่บ้านไปตามตรง เรื่องนี้แปดส่วนเป็นความจริง นับว่าเป็นคนดีต้องได้รับการตอบแทน ในอดีตสั่งสมบุญ วันนี้มีคนช่วยขจัดภัย นี่ทำให้คนในหมู่บ้านเหมาทันมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
ประมาณหนึ่งเค่อกว่าให้หลัง ภายในลานบ้านขนาดเล็กของตระกูลเลี่ยว จี้หยวนและฉางอี้ต่างประคองชามประดับลวดลายขนาดใหญ่ นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก
ในชามคือโจ๊กขาวเต็มชาม ข้างบนวางไว้ด้วยผักดองเค็มไม่น้อย ถือว่าเป็นอาหารเช้าต้อนรับทั้งสองคนของตระกูลเลี่ยว ฝ่ายเลี่ยวต้าหนิวนั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม ภรรยาเขาและบุตรชายนั่งอยู่บนธรณีประตูห้องครัว
จี้หยวนใช้ตะเกียบคีบผักดองเค็ม พุ้ยโจ๊กกินอย่างชำนาญ กินอย่างเอร็ดอร่อย นี่ทำให้เขาหวนนึกถึงความรู้สึกที่ออกจากอำเภอหนิงอันครั้งแรกและได้กินโจ๊กอยู่บนเรือเล็ก
ฉางอี้ถือชามด้วยสีหน้าไม่คุ้นเคย มองจี้หยวนแล้วมองตนเอง ลิ้มลองโจ๊กเคียงผักดองเค็มอย่างฉงน ตั้งแต่จำความได้เขาก็อยู่บนเกาะหมอกเซียน แม้ไม่ใช่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับโลกมนุษย์เลยสักนิด ทว่าเพิ่งเคยกินโจ๊กเคียงผักดองที่บ้านคนทั่วไปเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะส่วนใหญ่ของโจ๊กทำจากข้าวเหลือจากเมื่อคืน
“ซู้ด…ซู้ด…”
ท่าทางกินโจ๊กของจี้หยวนทำให้เหล่าเลี่ยวผ่อนคลายลงไม่น้อย ก่อนหน้านี้เกรงว่าจะต้อนรับแขกไม่รอบด้าน อยากต้มไข่สักสองฟอง แต่อาหารเซ่นไหว้เมื่อครั้งก่อนฆ่าแม่ไก่แก่ในตระกูลไปแล้ว ไข่ไก่ไม่เหลือแล้วเช่นกัน บ้านข้างเคียงทั้งซ้ายขวาก็เป็นเช่นนั้น
กินโจ๊กขาวร้อนกรุ่น ครั้งนี้จี้หยวนผ่อนความเร็วลงเล็กน้อย เพื่อสนทนากับเลี่ยวต้าหนิวที่คุ้ยเคยกับเขามากแล้ว
“จริงสิ ได้ยินมาว่าพี่เลี่ยวมีบุตรชายไปออกรบคนหนึ่ง ทำให้พวกท่านสองสามีภรรยาคิดถึงอยู่ทุกเมื่อ หากสะดวกล่ะก็ เล่าเรื่องนี้ให้ข้าคนแซ่จี้ฟังได้บ้างหรือไม่”
จี้หยวนพูดเรื่องนี้ขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เลี่ยวต้าหนิวแปลกใจอยู่บ้าง
“เอ่อ ท่านจี้ได้ยินมาจากใครหรือ”
เลี่ยวต้าหนิวจำได้ว่าตอนทั้งสองท่านมาล้วนไม่รู้จักคนในหมู่บ้าน ระหว่างทางมาคุยเรื่องเนินดินฝังศพและฝันเมื่อคืนของคนในหมู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ เหตุใดจู่ๆ ได้ยินเรื่องบุตรชายตนเองไปออกรบเล่า
“ฮ่าๆ เจ้าที่เข้าฝันข้า!”
จี้หยวนพูดยิ้มๆ
‘โอ้โหแฮะ!’
ได้ยินจี้หยวนพูดแล้ว เงาร่างเตี้ยค่อมถือไม้เท้ายิ้มอย่างอดไม่ได้อยู่ที่มุมหนึ่งในลานบ้านของเลี่ยวต้าหนิว ทว่าไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป
เรื่องเข้าฝันช่วงนี้คนหมู่บ้านเหมาทันประสบกับตนเองหลายรอบ จี้หยวนพูดเช่นนี้แล้ว เลี่ยวต้าหนิวเชื่ออยู่หลายส่วนในทันที ทว่าเดิมทีเรื่องนี้ก็ใช่ว่าเป็นเรื่องไม่น่าพูดเสียเมื่อไหร่ เพียงแต่ทำให้นึกเสียใจอยู่บ้าง
“เฮ้อ…เลี่ยวเจิ้งเป่าบุตรชายคนโตข้าออกรบไปเก้าปีแล้ว เก้าปีที่ผ่านมาไร้ข่าวคราว ทหารที่ออกรบไปพร้อมกันกลับมาหลายคนแล้ว ล้วนบอกว่าไม่รู้เป็นอย่างไร เฮ้อ…หวังว่าเอาจะยังมีชีวิตอยู่นะ…”
ตอนพูดคำนี้ เลี่ยวต้าหนิวไม่ได้อารมณ์ไม่ดีแต่อย่างใด ฝ่ายภรรยาทางนั้นถอนใจเงียบๆ เช่นกัน
“อืม ข้าคนแซ่จี้เป็นวิชาทำนายชะตาอยู่บ้าง หากพี่เลี่ยวไม่รังเกียจล่ะก็ บอกวันเกิดบุตรชายและวันเดือนปีที่เขาออกรบให้ข้ารู้หน่อย ข้าจะทำนายชะตาให้บุตรชายท่านเป็นอย่างไร”
ครอบครัวเหล่าเลี่ยวทำนายชะตาให้บุตรชายคนโตไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ทุกครั้งล้วนโชคร้ายยากคาดเดา หรือไม่ก็เป็นคำพูดเลื่อนเปื้อนอย่างกลายเป็นคนใหญ่คนโตแล้ว แต่อย่างไรจี้หยวนก็มีเจตนาดี จึงพยักหน้าตอบรับ
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไร บุตรชายข้าเกิดเมื่อ…”
เลี่ยวต้าหนิวพูดไป จี้หยวนวางตะเกียบลง ชักมือกลับไปนับนิ้วคำนวณในแขนเสื้อ ฉางอี้ที่อยู่ข้างกายหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อเก็บประกายตา ชัดเจนว่ากำลังคำนวณเช่นกัน
เห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ แม้ด้วยมรรควิถีของเจ้าที่แล้วมองไม่ออกว่าเซียนทั้งสองใช้วิชาอยู่หรือไม่ ถึงขนาดมองปราณวิญญาณเซียนไม่เห็นเลยสักนิด ทว่าถามถึงวันเกิดตกฟาก นั่นกำลังช่วยเลี่ยวเจิ้งเป่าคำนวณโชคดีร้ายอยู่อย่างแน่นอน
‘คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลเลี่ยวจะมีบุญขนาดนี้ เซียนสองท่านทำนายชะตาร่วมกัน แค่เพียงเรื่องนี้ หากหลังจากนี้คนตระกูลเลี่ยวตายไปแล้ว อยู่ที่ศาลมืดล้วนได้เป็นผีระดับสูงแน่นอน!
เลี่ยวต้าหนิวทางนั้นเพิ่งพูดจบ จี้หยวนและฉางอี้หยุดคำนวณแล้ว ต่างฝ่ายต่างสบตากันก่อนพยักหน้าเบาๆ
“ท่านจี้ เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ!”
“ถูกต้อง ยังมีชีวิตอยู่!”
เลี่ยวต้าหนิวและภรรยาได้ยินแล้วชะงักไปเล็กน้อย มือถือชามโจ๊กสั่นเทาชัดแจ้ง ท่านทั้งสองใช้คำพูดยืนยัน ไม่ใช่คำพูดคลุมเครือยามคนอื่นทำนายชะตาให้ก่อนหน้านี้