ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 420 โชคดีไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 420 โชคดีไม่ได้อยู่กับเราเสมอไป

“คุณหนูใหญ่ ไท่ไท่พักผ่อนอยู่ในห้องแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูเดินเข้าไปในห้องโถงหลักเป็นเพื่อนสวี่ฟาง เอ่ยเสียงเบา

สวี่ฟางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วสั่งสาวใช้ซึ่งตามอยู่ข้างกายว่า “หงเย่ว์ เจ้าคุยเล่นเป็นเพื่อนหมัวหมัวเถอะ หมัวหมัวอยู่คนเดียวก็อุดอู้เช่นกัน”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีคนพูดคุยเป็นเพื่อน แต่กลับวางใจท่านที่อยู่ในห้องไม่ลง

“คุณหนูใหญ่ ไท่ไท่…” บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูชี้ไปที่ศีรษะ “เลอะเลือนอยู่บ้าง ทางที่ดีที่สุดท่านอย่าเข้าไปคนเดียวจะดีกว่านะเจ้าคะ”

สวี่ฟางยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไร ข้าแค่มาเยี่ยมนาง ไม่ได้วางแผนจะทำอะไร ไม่มีทางทำให้นางโมโหหรอก”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูยังอยากจะเกลี้ยกล่อม แต่ก็ถูกหงเย่ว์ยัดเงินอีกจึงหุบปากทันที

คุณหนูใหญ่แต่งไปจวนแม่ทัพ ชีวิตที่สุขสบายยังอีกยาวไกล ต้องไม่มีทางคิดไม่ตก มาล่วงเกินสตรีฟั่นเฟือนแน่นอน

สวี่ฟางเลิกม่านประตูเดินเข้าไป

แสงภายในห้องมืดสลัว หน้าต่างกระดาษซีดจางบดบังทิวทัศน์งามวิจิตรในฤดูใบไม้ร่วงไว้ข้างนอก หยางซื่อนั่งเงียบๆ อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งตัวเก่า ไม่รู้ว่านั่งอยู่นานเท่าใดแล้ว

วินาทีที่ได้เห็นหยางซื่อ สวี่ฟางก็อึ้งไป

ในความทรงจำ หยางซื่อสุภาพนุ่มนวล ดูแล้วอ่อนเยาว์กว่าคนในวัยเดียวกันมาก ไม่เคยมีสภาพย่ำแย่เช่นนี้มาก่อน

หลังจากอึ้งค้างก็มีความสุข

หยางซื่อก็มีวันนี้เช่นกัน

หยางซื่อซึ่งได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็หันหน้ามาจ้องสวี่ฟาง โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

สายตาที่จ้องเขม็งนั่น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นจะต้องรู้สึกกลัวแน่นอน

แต่ว่าสวี่ฟางไม่กลัว

หยางซื่อมีวันนี้ได้ เพราะอาศัยความช่วยเหลือจากคุณหนูลั่ว หากว่าถึงตอนนี้ นางยังกลัวอยู่ก็จะไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว

เรื่องของนาง สุดท้ายก็ยังต้องพึ่งพาตัวเอง

สวี่ฟางเดินเข้าไปใกล้หยางซื่อทีละก้าวๆ ด้วยฝีเท้ามั่นคง

หยางซื่อจ้องคนที่เดินเข้ามาใกล้เขม็งและเอ่ยออกมาคำหนึ่งในที่สุด “เจ้า…”

เสียงประหนึ่งหญิงชราดังออกมา ฟังดูแหบแห้งและไม่น่าฟัง

สวี่ฟางยิ้ม “วันนี้เป็นวันที่ข้ากลับบ้านเดิม ข้าจึงมาเยี่ยมท่าน”

“กลับบ้านเดิมหรือ” หยางซื่อกลอกตา สีหน้าเปลี่ยนไป ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อว่า “เจ้าออกเรือนแล้วหรือ”

สวี่ฟางยิ้มพริ้มพราย “ข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องออกเรือน ไม่มีใครบอกกับท่านหรือ”

เมื่อเห็นหยางซื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง สวี่ฟางก็เอ่ยต่อว่า “ข้าแต่งเข้าจวนแม่ทัพตระกูลสวี ตระกูลสวี ท่านน่าจะเคยได้ยินนะเจ้าคะ”

หยางซื่อแววตาไหววูบ สมองที่เดิมเชื่องช้าเริ่มทำงาน

ตระกูลสวี… ตระกูลสวีดีมากเลยนะ

สวี่ฟางถึงกับแต่งไปยังจวนแม่ทัพตระกูลสวีหรือ

“เจ้าหลอกข้า” หยางซื่อตะโกนออกมา

การคุมสติไม่อยู่ สูญเสียกิริยาเช่นนี้เป็นสิ่งที่สวี่ฟางไม่เคยเห็นมาก่อน

สวี่ฟางแย้มรอยยิ้ม “ใครจะเอาเรื่องออกเรือนมาหลอกคนกันเจ้าคะ หากท่านไม่เชื่อ ลองถามดูก็รู้แล้ว เหอะๆ กระทั่งข้าออกเรือน ท่านก็ยังไม่รู้ คิดว่ายิ่งไม่มีทางรู้เรื่องที่องค์รัชทายาทถูกปลดแล้วด้วยสินะ”

“อะไรนะ” หยางซื่อผุดลุกขึ้น “องค์รัชทายาทถูกปลดอะไร”

ความรู้สึกที่ด้านชาไปนานแล้วของนาง ไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่า การที่องค์รัชทายาทถูกปลดจะส่งผลกระทบอะไรต่อนาง แต่สัญชาตญาณกลับรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดี

ไม่ เป็นเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่ง

สวี่ฟางช่วยทำให้หยางซื่อเข้าใจอย่างใส่ใจ “เดิมองค์รัชทายาทที่ถูกปลดคือผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ ฝ่าบาทปลดองค์รัชทายาท คิดว่าความโชคร้ายคงอยู่ไม่ไกลจากจวนผิงหนานอ๋องแล้ว…ใช่แล้ว ท่านน่าจะยังจำเหตุผลที่จวนผิงหนานอ๋องยืดหยัดขึ้นมาได้สินะ”

สวี่ฟางจ้องดวงหน้าซีดเผือดของหยางซื่อ พลางยิ้มบางๆ “ก็เปิดโปงจวนเจิ้นหนานอ๋องซึ่งเป็นตระกูลท่านตาท่านยายของข้า ถึงได้มีจวนผิงหนานอ๋องที่ดีขึ้นมาจากเดิมในภายหลังอย่างไรล่ะ ดังนั้นมารดาของข้า ท่านหญิงหวาหยางถึงได้เสียชีวิต ให้ท่านได้นั่งตำแหน่งฮูหยินฉางชุนโหว คุณหนูหลานนอกซึ่งอาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นผู้หนึ่ง สุดท้ายก็เปลี่ยนไปนายหญิงของจวนโหว ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดโชคดีไปมากกว่าท่านแล้ว ทว่าข้าได้ยินคนพูดกันว่า โชคลาภนั้นมีจำกัด ท่านเป็นแบบนี้ จวนผิงหนานอ๋องก็เป็นแบบนี้ ท่านเดาดูสิว่า วันที่จวนผิงหนานอ๋องพังครืนลงมา จะเป็นวันที่มลทินของจวนเจิ้นหนานอ๋องตระกูลท่านตาท่านยายข้าได้ลบล้างหรือไม่”

หยางซื่อริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด ภายใต้คำถามที่สวี่ฟางเอ่ยออกมายิ้มๆ นางพูดไม่ออกสักคำ

สวี่ฟางไม่ตั้งใจจะปล่อยหยางซื่อไปแบบนี้

นี่คือโอกาสที่นางรอมาเนิ่นนานเกินไป กว่าจะได้มาภายใต้ความช่วยเหลือของคุณหนูลั่ว

นางต้องการเพิ่มแรงกดดันให้กับจิตใจของสตรีที่อยู่ชายขอบการแตกสลายคนนี้ ให้สตรีผู้นี้บ้าคลั่งโดยสมบูรณ์ เปิดโปงความผิดบาปในความไร้เหตุผลของชายหญิงชั่วช้าคู่นี้ออกมา เพื่อแก้แค้นให้มารดา

สวี่ฟางแววตาแน่วแน่และโจมตีครั้งสุดท้าย “บิดาข้า คนผู้นั้นน่ะ ท่านก็รู้ชัดเจนดีว่า มารดาของข้าชาติกำเนิดสูงศักดิ์ แต่เมื่อคุกคามถึงผลประโยชน์ เขาก็ลงมือสังหารนางโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ปฏิบัติต่อข้ากับน้องชายซึ่งเป็นบุตรชายและบุตรสาวที่เกิดแต่ภรรยาเอกอย่างไร้ความเวทนาสงสาร บอกว่าปล่อยพวกข้าไปตามยถากรรมนั้นก็ช่างเถอะ แต่เห็นได้ชัดว่าแทบอยากจะให้พวกข้าตายไปเงียบๆ จะได้ไม่สร้างปัญหาให้เขา”

สวี่ฟางเอ่ยถึงตรงนี้ก็ก้าวไปด้านหน้าครึ่งก้าว พลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “แม่เลี้ยง ท่านว่า รอวันที่จวนเจิ้นหนานอ๋องล้างมลทินได้ ท่านพ่อจะปฏิบัติกับพวกน้องรองอย่างไรนะ”

“กรี๊ด…” หยางซื่อกรีดร้องเสียงแหลม พุ่งเข้าใส่สวี่ฟาง

สวี่ฟางที่มีการป้องกันแต่แรกหลบไปด้านข้างอย่างคล่องแคล่วแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

หยางซื่อตามออกมา สภาพคล้ายกับสติวิปลาส

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูรีบเข้าไปขวางเอาไว้ “ไท่ไท่ ท่านไม่อาจทำให้คุณหนูใหญ่บาดเจ็บได้นะเจ้าคะ หากเป็นเช่นนั้น กระทั่งท่านโหวก็ไม่อาจอธิบายต่อจวนแม่ทัพได้…”

“ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ!” หยางซื่อดิ้นรนสุดชีวิต

เมื่อคนเราบ้าคลั่งขึ้นมา พละกำลังก็จะมากขึ้น โชคดีที่บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูที่ฉางชุนโหวเลือกมากำยำแข็งแรง มีพละกำลังมาก เมื่อกอดเอวหยางซื่อเอาไว้แน่นก็ทำให้นางหลุดออกไปไม่ได้

ส่วนสวี่ฟางนั้นเร่งฝีเท้าพาหงเย่ว์จากไปแล้ว

เมื่อไม่เห็นเงาร่างของสวี่ฟางแล้ว หยางซื่อก็ค่อยๆ สงบลงและถูกบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูผลักเข้าไปในห้อง

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูกุมหน้าอก ถอนหายใจ ตามเสียงประตูที่ปิดดังปัง

สตรีผู้นี้บ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ

คุณหนูใหญ่ก็จริงๆ เลย ไม่มีเรื่องอะไร จะไปล่วงเกินนางทำไม

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูคิดดูใหม่อีกครั้งก็เข้าใจแล้ว

คุณหนูใหญ่ถูกแม่เลี้ยงทรมานมาหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้ได้เงยหน้าอ้าปากแล้วในที่สุด มาโอ้อวดสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป

การมาเยือนของสวี่ฟางเหมือนสายลมซึ่งพัดผ่านไปอย่างไร้ร่องรอยภายใต้การปิดปากเงียบสนิทของบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตู แต่สำหรับหยางซื่อกลับไม่เหมือนกัน

นางเริ่มสอบถามเรื่องภายนอกจากบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูบ่อยครั้ง ดุจวิหคตื่นคันศร[1] นอนหลับไม่สนิทตลอดคืน

และการนอนไม่หลับก็ทำให้นางยิ่งอิดโรย ทั่วร่างคล้ายกับสายธนูที่ถูกขึงตึงพร้อมจะขาดออกจากกันได้ตลอดเวลา

วันนี้สะใภ้สี่มาหาที่บ้านอีกแล้ว

หยางซื่อเดินออกมาเงียบๆ แอบฟังสะใภ้สี่สนทนากับบ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตู

“สะใภ้สี่ ทำไมสีหน้าท่านถึงได้ดูผิดปกติล่ะ”

“ไม่มีอะไร เจ้ารีบเก็บเงินเดือนนี้ให้เรียบร้อยเถอะ ข้าจะกลับแล้ว”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูเห็นเงินที่ยื่นมาก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ “ทำไมถึงมีแค่นี้ล่ะ”

เงินน้อยลง ไม่ใช่เป็นการเอาชีวิตของนางหรอกหรือ!

“สะใภ้สี่ สรุปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พวกเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ท่านไม่อาจให้ข้าโดนปิดบังอยู่คนเดียวนะ”

เฝ้าสตรีฟั่นเฟือนเช่นนี้คนเดียวจนใกล้จะกลายเป็นคนหูหนวกแล้ว

สะใภ้สี่นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “เกรงว่าจะเกิดเรื่องกับจวนโหวแล้ว”

“เรื่องอะไรหรือ”

“คุณหนูใหญ่ได้รับรายการสินเดิมในตอนที่ท่านหญิงหวาหยางแต่งเข้าจวนโหวมาจากคุณหนูลั่ว ว่ากันว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วได้มาจากการตรวจยึดทรัพย์สินจวนเจิ้นหนานอ๋องในปีนั้น…คราวนี้เมื่อเทียบกับที่ท่านโหวมอบให้แล้วไม่สอดคล้องกัน คุณหนูใหญ่จะไม่โวยวายได้หรือ”

[1] วิหคตื่นคันศร ใช้เปรียบเทียบกับผู้ที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายหรือเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นทุนเดิม ภายในเมื่อมีสิ่งใดมากระทบแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะตื่นกลัวอย่างยิ่ง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท