ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 421 แอบฟัง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 421 แอบฟัง

รายการสินเดิมหรือ

สีหน้าซึมกะทือของหยางซื่อเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

ในปีที่ท่านหญิงหวาหยางแต่งมาจวนฉางชุนโหว หัวขบวนส่งเจ้าสาวถึงประตูใหญ่จวนโหว แต่หางขบวนยังไม่ได้เข้าเมืองเลย จะกล่าวว่าขบวนริ้วแดงสิบลี้[1] ก็ไม่เกินไปนัก

ตอนนั้นนางยืนมองท่านหญิงสูงศักดิ์และงดงามกับญาติผู้พี่ที่ชื่นชมมาเนิ่นนานกราบไหว้ฟ้าดินแต่งงานกันอยู่ในกลุ่มคน กระทั่งน้ำตาก็ทำได้แค่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจ ไม่กล้าให้ใครได้เห็น

ในภายหลังนางกลายเป็นนายหญิงของจวนโหว ในที่สุดก็มีโอกาสได้เห็นรายการสินเดิมเล่มหนาๆ นั่น

ตอนนั้น สิ่งที่นางรู้สึกเป็นอย่างแรกไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความอิจฉา

นางคือคุณหนูหลานนอกซึ่งอาศัยอยู่ใต้ชายคาจวนโหวโดยไร้ที่พึ่ง อีกฝ่ายคือท่านหญิงซึ่งอยู่เหนือผู้คน หลายปีนั้น ภายใต้ความลำเอียงของท่านป้าและสายตาที่ทอดมองมาเงียบๆ อย่างอ่อนโยนของญาติผู้พี่ ทำให้นางลืมความแตกต่างระหว่างทั้งสองคนอยู่บ่อยครั้ง

นางนึกว่าอีกฝ่ายไม่มีส่วนไหนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง ก็แค่ชาติกำเนิดดีเท่านั้น

รายการสินเดิมฉบับนี้กลับหัวเราะเยาะความไม่รู้ของนางอย่างไร้ความปรานี

ชาติกำเนิดน่ะ นั่นเป็นช่องว่างที่นางพยายามตลอดชีวิตก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้

และหลังจากนั้นก็คือความสะใจ

สูงศักดิ์เหนือมวลชนจนไม่สามารถก้าวข้ามได้แล้วอย่างไร ตอนนี้กระทั่งรายการสินเดิมก็ตกอยู่ในมือนางแล้ว สินเดิมที่ยกมาจากจวนเจิ้นหนานอ๋องอันห่างไกลเหล่านั้น สุดท้ายก็เป็นนางกับลูกที่ได้เสวยสุข

ตำแหน่งฉางชุนโหวซื่อจื่อเป็นของหนานเอ๋อร์ เงินทองข้าวของมากมายซึ่งเสวยสุขได้ไม่มีที่สิ้นสุด ก็ไม่อาจยกผลประโยชน์ให้บุตรชายและบุตรสาวที่ท่านหญิงหวาหยางทิ้งเอาไว้คู่นั้นได้

จากการยกยอชมเชยเด็กหนุ่มมานานหลายปี จนอีกฝ่ายหลงระเริงและก่อความผิดพลาดในภายหลังขึ้นมา ในที่สุดญาติผู้พี่ก็ไล่สวี่ซีออกจากตระกูลไป

นางทำได้แล้ว หากไม่ใช่ว่าไปล่วงเกินคุณหนูลั่ว สตรีซึ่งเหมือนหมาบ้าคนนั้นอย่างน่าประหลาด ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะสบายใจและสมปรารถนามากเพียงใด…

หยางซื่อรู้ดีกว่าใครว่า สินเดิมที่ท่านหญิงหวาหยางนำติดตัวมาด้วยนั้นยิ่งใหญ่มากมายเพียงใด และเพราะเช่นนี้ ในตอนที่ได้ยินว่าสวี่ฟางมาโวยวายเรื่องสินเดิม จิตใจก็พลันหนักอึ้ง

“สินเดิมที่ท่านนั้นเคยนำมาด้วย เจ้ายังจำได้สินะ”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูส่งเสียงจุ๊ๆ “จำได้ดีเลยล่ะ ตอนนั้นข้าเห็นสินเดิมเหล่านั้นที่วางอยู่กลางลานจวนโหว ก็ยังคิดเลยว่า จวนเจิ้นหนานอ๋องแต่งบุตรสาวที่ไหน นี่เป็นการย้ายภูเขาทองมาชัดๆ”

“นั่นสิ แต่ตอนนี้สถานการณ์ของจวนโหวเป็นเช่นไร ทุกคนล้วนรู้ดี คุณหนูใหญ่ออกเรือนจะนำติดตัวไปได้เท่าไรก็ไม่พูดมากแล้ว ย้ายของจากจวนโหวไปจนว่างเปล่าก็เกรงว่าจะถมโพรงนี้ได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง…” สะใภ้สี่คล้ายจะพูดได้ไม่จบไม่สิ้น “รายการสินเดิมล้วนมีสองฉบับ ฉบับหนึ่งเก็บไว้ที่ตระกูลฝ่ายเจ้าสาว อีกฉบับนำมาที่ตระกูลสามี ตอนที่ท่านผู้นั้นจากไป คุณหนูใหญ่อายุยังน้อย ก่อนออกเรือน ได้ดูรายการสินเดิมจากท่านโหวก็จัดเตรียมลวกๆ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะได้ฉบับสมบูรณ์มาจากคุณหนูลั่ว…”

หยางซื่อแววตาเคร่งเครียด

คุณหนูลั่ว คุณหนูลั่วอีกแล้ว!

นังแพศยานี่! ช่างตามหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้นจริงๆ

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูแสดงออกว่าถูกเรื่องซุบซิบใหญ่โตเช่นนี้ทำให้สนใจมาก “สวรรค์ หากท่านโหวเพิ่มสิ่งของตามรายการสินเดิมเข้าไป ขายทั้งจวนโหวก็ยังไม่พอเลยนะ?”

มิน่าเงินที่นำมามอบให้ถึงเล็กน้อยเช่นนี้

ว่ากันตามเหตุผล นางไม่สมควรได้ยินเรื่องซุบซิบแล้วตื่นเต้น อย่างไรเสีย จวนโหวโชคร้าย นางก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเช่นกัน

แต่นั่นเป็นเรื่องที่ต้องครุ่นคิดกันหลังจากฟังจบ ตอนฟังเรื่องซุบซิบก็ควรจะมีท่าทีของการได้ฟังเรื่องซุบซิบ

อีกอย่าง ระยะนี้ นางก็ได้ผลประโยชน์มาไม่น้อย ในภายภาคหน้า หากจวนโหวเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็กระทบมาไม่ถึงนางที่เป็นบ่าวเฒ่าปรนนิบัตินายหญิงซึ่งถูกท่านโหวทอดทิ้งแล้วหรอก มีเงินเหล่านี้พกติดตัวไว้ ครึ่งชีวิตที่เหลือก็มีที่พึ่งพิงแล้ว

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูฟังเรื่องซุบซิบด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“นั่นย่อมไม่พอแน่นอน!” อาจเป็นเพราะทอดถอนใจ สะใภ้สี่จึงเอ่ยเสียงสูงโดยไม่รู้ตัว “ก่อนหน้านี้เป็นเพราะจวนโหวมีความเกี่ยวข้องกับท่านนั้นจึงอยู่ในสถานะกระอักกระอ่วน ไหนเลยจะมีความก้าวหน้าใหญ่โต เจ้านึกว่าอาหารเลิศรส อาภรณ์สวยหรูในหลายปีนี้อาศัยสิ่งใดกัน”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูส่งเสียงหัวเราะอย่างเข้าใจ

อาศัยอะไรน่ะหรือก็อาศัยสินเดิมของท่านหญิงหวาหยางอย่างไรล่ะ ไม่เช่นนั้นจะอาศัยหยางซื่อที่ในตอนเป็นคุณหนูก็กินดื่มใช้จ่ายเงินของจวนโหวหรอกหรือ

“หากคุณหนูใหญ่ไม่ยอมเลิกรา โพรงนี้ท่านโหวก็จำเป็นต้องถมให้เต็ม อย่างไรเสียกฎหมายก็กำหนดเอาไว้แบบนี้ แม้จะบอกว่าในหลายๆ ครั้งกฎหมายเป็นเพียงสิ่งที่บัญญัติเอาไว้เฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เมื่อคุณหนูใหญ่ออกเรือนแล้ว มีตระกูลสามีและจวนหนิงกั๋วกงให้การสนับสนุน กฎหมายก็ไม่ใช่สิ่งที่บัญญัติเอาไว้เฉยๆ แล้ว จะว่าไปคุณหนูใหญ่ก็โชคดีนะ ได้รายการสินเดิมฉบับนั้นมา ไม่เช่นนั้น มีคนให้การสนับสนุนก็ทำอะไรไม่ได้…”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูร้อนรนเล็กน้อย “ไอ้หยา สะใภ้สี่ ท่านรีบเล่ามาเถอะว่าผลลัพธ์ของเรื่องนี้เป็นอย่างไร”

สะใภ้สี่ลดเสียงเบาลง “ข้าก็แอบฟังมา เจ้าพูดออกไปไม่ได้นะ”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูพยักหน้าติดๆ กัน “วางใจเถอะ ข้าจะไปพูดกับใครได้ ก็เฝ้าคนผู้นั้นอยู่คนเดียว”

สะใภ้สี่กวาดตามองไปทางห้องโถงหลักแวบหนึ่ง

หยางซื่อซึ่งแอบอยู่หลังต้นไม้เกร็งเขม็งไปทั้งร่าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

เลอะเลือนมาหลายวัน ตอนนี้นางกลับมีสติแจ่มชัด

บางทีอาจเป็นเพราะธรรมชาติของการเป็นแม่คน ยามที่พัวพันถึงผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของบุตรชายและบุตรสาวจึงบีบให้นางจำเป็นต้องมีสติ

“คุณหนูใหญ่บอกว่า จะให้คุณชายใหญ่กลับจวน พร้อมกับแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ และส่งคุณชายรองกับคุณชายสามกลับบ้านเดิม เรื่องการแต่งงานในอนาคตของคุณหนูรองก็ให้นางเป็นคนตัดสินใจจึงจะไม่ถือสาเรื่องสินเดิมอีก”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูส่งเสียงร้องตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ “เรื่องไร้เหตุผลเช่นนี้ ท่านโหวก็ยังรับปากเช่นนั้นหรือ”

หยางซื่อซึ่งอยู่หลังต้นไม้สีหน้าซีดขาวดุจผีร้าย

สะใภ้สี่หัวเราะเยาะ “เหตุใดจะรับปากไม่ได้ล่ะ”

บ่าวเฒ่าที่เฝ้าประตูคล้ายจะไม่กล้าเอ่ย “คุณชายใหญ่ถูกไล่ออกจากตระกูลแล้วนะ กลับมาก็ช่างเถอะ แต่แต่งตั้งเป็นซื่อจื่อสูงศักดิ์เหนือผู้คนนั้นไม่สามารถรับปากได้กระมัง?”

“ตอนนี้สถานการณ์ในวันนี้ไม่เหมือนวันนั้น องค์รัชทายาทถูกปลดแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่า ผู้สูงศักดิ์มีท่าทีเปลี่ยนไปต่อตระกูลท่านตาท่านยายของคุณชายใหญ่หรือไม่”

“ก็ถูก…แต่ก็แค่นี้เอง ส่งคุณชายรองกับคุณชายสามกลับบ้านเดิม และมอบเรื่องการแต่งงานของคุณหนูรองให้คุณหนูใหญ่เป็นคนตัดสินใจ นี่ไม่เท่ากับว่า…เป็นการทำลายทั้งสามท่านหรือ ท่านโหวเห็นด้วยได้อย่างไร”

“ก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่ยื้ออายุมาจนไม่น้อยแล้วยังไม่หมั้นหมาย คุณชายใหญ่ถูกขับออกจากตระกูล ท่านโหวก็ไม่ได้สนใจไม่ใช่หรือ” สะใภ้สี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ “มีอะไรแตกต่างกัน”

บุรุษน่ะ สุดท้ายก็สนใจแต่ตัวเอง

“เช่นนั้นท่านโหวรับปากแล้วหรือ”

ฟังเรื่องซุบซิบมาจนถึงช่วงท้าย จำเป็นต้องได้รู้ผลลัพธ์

หยางซื่อที่หลบอยู่หลังต้นไม้ยิ่งอยากรู้

เล็บยาววาดผ่านเปลือกไม้หยาบเป็นรอยแล้วรอยเล่า และทำให้เล็บอ่อนนุ่มนั่นเสียหายเช่นกัน

หยางซื่อไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยและไม่รู้สึกเจ็บปวดสักนิดเดียว

สิ่งที่นางสนใจมีเพียงผลลัพธ์นั่น

ญาติผู้พี่เป็นเหมือนที่สะใภ้สี่พูดจริงๆ หรือ ต้องการจะสังหารลูกๆ สามคนของนางเช่นนั้นหรือ

พวกหนานเอ๋อร์โดดเด่นขนาดนั้น เป็นสิ่งที่คนไร้ความสามารถเช่นสวี่ซีไม่อาจเทียบได้ ญาติผู้พี่ตัดใจลงได้อย่างไร…

“รับปากแล้ว ตอนข้ามา ท่านโหวกำลังสั่งพ่อบ้านให้ไปรับคุณชายทั้งสองท่านกลับมาจากสถานศึกษา คุณหนูใหญ่ก็นั่งอยู่ในห้องโถง บอกว่าต้องเห็นกับตาว่า คุณชายทั้งสองท่านถูกส่งออกไปถึงจะได้…”

หยางซื่อคล้ายกับถูกกระบี่แหลมคมเสียบเข้ากลางใจ ตัดเศษเสี้ยวความหวังสุดท้ายจนหมดสิ้น

ใช่แล้ว จะตัดใจไม่ได้ได้อย่างไร ในปีนั้นหลังจากเอาหมอนปิดหน้าท่านหญิงหวาหยางจนตายไป ญาติผู้พี่ยังมีเจตนาจะสังหารบุตรสาวแท้ๆ ซึ่งอายุยังน้อยเพราะสงสัยว่าจะถูกสวี่ฟางเห็นอยู่เลย เพียงแค่ส่งเหล่าบุตรชายจากไป ยกบุตรสาวให้แต่งงานกับผู้อื่นลวกๆ จะนับเป็นอะไรได้

สิ่งเดียวที่ญาติผู้พี่อาลัยอาวรณ์ก็มีแค่ตัวเองเท่านั้น

นางจะสู้ตายกับบุรุษโหดเหี้ยมไร้ความปรานีผู้นี้!

หยางซื่อพุ่งไปทางประตูเรือนอย่างรวดเร็ว

[1] ขบวนริ้วแดงสิบลี้ เป็นการกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของขบวนสินเดิมฝ่ายเจ้าสาวซึ่งเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท