บทที่ 989 วันนี้ข้าจะย้อมเขาหลิงซานด้วยเลือด!
บทที่ 989 วันนี้ข้าจะย้อมเขาหลิงซานด้วยเลือด!
ดาบเงินก็ดาบเงินเถิด อย่างไรเสียก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าดาบใหญ่ก่อนหน้านี้ของมัน ทั้งยังก้าวข้ามขอบเขตอิสระเรียบร้อย
ทว่าโลงโลหิตยังคงไม่เอื้อมมือออกไปรับ
ภายในใจของเขามีความกังวล
ดาบเงินที่ก้าวข้ามขอบเขตอิสระ ของเหนือชั้นถึงเพียงนี้ เขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน กระทั่งฝันถึงยังไม่กล้าเสียด้วยซ้ำ
ยามนี้เจ้าของเสียงนั่นกลับให้เขามาทั้งอย่างนี้เลยหรือ
เรื่องดี ๆ แบบนี้ไฉนจะมีหล่นลงมาจากฟ้า!
หรือบางทีอาจมี แต่เขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะเกิดขึ้นโดยเปล่าไม่มีเหตุผลอันใด
“ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”
เขาถามอย่างระแวดระวัง
“ไม่ต้องทำสิ่งใด ข้าเพียงเป็นคนดี เห็นเจ้าทุกข์ตรมอยากแก้แค้นเช่นนี้ ภายในใจจึงไม่อาจทนไหว ด้วยเหตุนี้จึงเผยหนทางให้เจ้าได้แก้แค้น”
เสียงมืดมนเอ่ยอีกครั้ง
คนดีบ้าบออันใดกัน!
คนดีที่ไหนมีเสียงมืดมนน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้?
ภายในใจโลงโลหิตเต็มไปด้วยความดูแคลน ไม่เชื่อในสิ่งนี้
เขามีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ผ่านเรื่องราวประสบการณ์มากมาย ได้พบเจอผู้คนนับไม่ถ้วน เจ้าของเสียงมืดมนนั้นไม่ได้เป็นคนดี มิหนำซ้ำยังต้องเป็นคนโหดเหี้ยมอย่างแน่นอน
คิดแล้วเขาก็ก่นร้องอย่างทุกข์ตรม เหตุใดจึงต้องตกมาเป็นเป้าหมายของคนเช่นนี้กัน?
มีโอกาสอย่างมากที่เขาจะจบลงไม่สวย
ประเดี๋ยวก่อน!
ในตอนนั้นเองก็พลันเกิดความคิดขึ้นมา เสียงมืดมนนี่เป็นศัตรูของหลี่จิ่วเต้าใช่หรือไม่?
เมื่อได้ยินว่าเขาต้องการจะแก้แค้นหลี่จิ่วเต้าจึงได้มาหาเขางั้นหรือ?
คนตัวจ้อยเช่นเขาจะดึงดูดความสนใจจากเจ้าของเสียงมืดมนได้อย่างไร?
สามารถหยิบดาบที่อยู่เหนือขอบเขตอิสระออกมาสองเล่มได้ตามใจชอบ เห็นได้ชัดว่าพลังของเจ้าของเสียงมืดมนไม่อาจหยั่งถึงได้ ไม่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ห่างชั้นไกลเกินกว่าจะเทียบเคียง
เขารู้สึกหดหู่ใจ เมื่อครู่ยังเพิ่งคิดว่าตนเองเข้าสู่ขั้นที่เจ็ดจะต้องนับว่าไร้เทียมทาน แต่ตอนนี้เขาก็ยังเป็นเพียงแค่คนตัวจ้อยเท่านั้น
ช่องว่างที่มีใหญ่เกินไป!
ทว่าหดหู่ก็ได้แต่หดหู่ ต่อหน้าเจ้าของเสียงมืดมน เขาเป็นเพียงแค่คนตัวจ้อยจริง ๆ จุดนี้นับว่าไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย
“เจ้ากับหลี่จิ่วเต้ามีความแค้นต่อกัน?”
เขาหยั่งเชิงถาม ต้องการยืนยันว่าสิ่งที่คิดเป็นจริงหรือไม่
เจ้าของเสียงมืดมนตอบกลับ “ไม่มีความแค้น แต่ระหว่างข้ากับเขา หากเขาไม่ตาย ก็เป็นข้าที่วางวาย”
ไม่มีความแค้น หากเขาไม่ตาย ก็เป็นข้าที่วางวาย?
นี่นับเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ไม่ใช่หรือ?
โลงโลหิตรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรเสียก็มีคำกล่าวที่ว่า ศัตรูของศัตรูคือมิตร!
“เจ้าต้องการให้ข้าจัดการกับหลี่จิ่วเต้า?” เขาถาม
เจ้าของเสียงมืดมนกล่าวตอบ “ใช่ ข้าต้องการให้เจ้าไปจัดการแทนข้า”
“เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ไม่สามารถลงมือเองเพื่อสังหารเขาโดยตรงอย่างนั้นหรือ?”
โลงโลหิตคลางแคลงใจ
“หากข้าลงมือ ราคาที่ต้องจ่ายมากเกินไป อีกทั้งยังจะดึงดูดความยุ่งยากมาอีกไม่น้อย”
เจ้าของเสียงมืดมนเอ่ย “วางใจได้ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปทั้งเช่นนี้แน่ ข้าจะมอบพลังให้เจ้าได้แก้แค้นด้วย ทำให้เจ้าอยู่เหนือขอบเขตอิสระ ก้าวขึ้นไปสูงยิ่งกว่า”
“จริงหรือ?”
โลงโลหิตถามอย่างตื่นเต้น
เหนือขอบเขตอิสระ นี่คือสิ่งที่เขาใฝ่หาแม้แต่ในฝัน หัวใจพลันเต้นระรัวเร็ว
“ตอนนี้มาทำให้เจ้าอยู่เหนือขอบเขตอิสระดีกว่า”
เจ้าของมืดมนลงมือ ทันใดนั้นฟ้าดินพลันสะเทือน พลังอันน่าหวาดหวั่นไหลเข้าสู่ร่างโลงโลหิตอย่างต่อเนื่อง
ร่ายกายของโลงโลหิตส่องแสงเจิดจ้าจนไม่อาจมองดูโดยตรงได้ ประหนึ่งสุริยันระเบิดออกมา ขอบเขตของเขาพัฒนาก้าวกระโดดขึ้นไปเรื่อย ๆ
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นบนฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง เขาประสบความสำเร็จในการบรรลุเหนือขอบเขตอิสระ
พอยื่นมือออกไปสบาย ๆ ดาวดวงหนึ่งก็ตกอยู่ในกำมือเขาทันที และเพียงแค่ออกแรงเล็กน้อย ดวงดาราก็ถูกบดขยี้กลายเป็นฝุ่นผงไหลลงไปตามมือของเขา
“นี่มันขอบเขตอันใด? ทรงพลังเกินไปแล้ว!”
เขาเอ่ยอย่างตื่นละลึง
ในหลังฉากขั้นที่ห้าคือเพดานสูงสุด ขั้นที่หกประหนึ่งฝันที่ไม่อาจก้าวไปถึง ไม่ต้องนับประสาอันใดกับเหนือขอบเขตอิสระที่ไม่ถูกบันทึกเอาไว้เลย
เกี่ยวกับขอบเขตนี้ เขาไม่รู้อันใดเลย
“ล้ำขีด”
เจ้าของเสียงมืดมนเอ่ยอย่างสั้นกระชับ
“ล้ำขีด?”
โลงโลหิตตกตะลึง ก่อนเอ่ยออกมาหลังครุ่นคิด “ล้ำขีด ล้ำขีดขอบเขต ชื่อขอบเขตนี้เหมาะสมยิ่งนัก”
“มีความมั่นใจแล้วสินะ”
เจ้าของเสียงมืดมนเอ่ย “ด้วยพลังล้ำขีดและมีดเงินนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการแก้แค้นของเจ้า ทำให้ดี ๆ เสียล่ะ ต่อแต่นี้เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนี้ข้าสามารถทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้”
“ตกลง!”
โลงโลหิตตอบด้วยความกระตือรือร้น
“ไปเถิด”
เจ้าของเสียงมืดมนเอ่ยออกมา จากนั้นโลงโลหิตก็จากอาณาจักรแห่งนี้ไป
“หลี่จิ่วเต้าอวดโอ้ถึงเพียงนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นกับดักดึงดูดให้พวกข้าปรากฏตัวออกไป…พื้นที่สีเทา”
เขารำพึง หวนนึกถึงพื้นที่สีเทา
พื้นที่สีเทามลายสิ้นไปแล้ว
ก่อนหน้านี้พื้นที่สีเทาเคยลงมือกับหลี่จิ่วเต้ามาก่อน ภายหลังกลับถูกทำลายสิ้น นี่ยังไม่ใช่กับดักอีกหรือ
“ให้เขาไปลองทดสอบดูว่ามีกับดักลึกล้ำเพียงใด หากไม่เท่าไหร่ ฮ่าฮ่า เช่นนั้นก็เพียงทำลายให้ราบคาบ”
เขาเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา บนมุมปากมีรอยยิ้มยกขึ้น
ใช่แล้ว เขาเองก็เป็น ‘โรค’ เช่นกัน เพิ่งจะถูกกลืนกินไปเมื่อไม่นานนี้
การเคลื่อนไหวที่แดนบูชายัญอันธการทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมามากมาย ‘โรค’ จำนวนไม่น้อยถูกกลืนกินจิตสำนึกไปด้วยเหตุนี้
หลี่จิ่วเต้าได้รับสิ่งที่ผู้เบิกทางเตรียมการเอาไว้ ทั้งยังแสดงตนโอ้อวด เขาจำต้องคิดให้รอบคอบ
นี่อาจเป็นแผนการของหลี่จิ่วเต้า!
เป็นการจงใจล่อให้พวกเขาออกไปเพื่อกำจัด!
…
โลงโลหิตเดินไปบนถนน ทว่าไม่ได้วางแผนจะจัดการกับหลี่จิ่วเต้า
“อ่า กระทั่งข้อห้ามเองยังไม่ประทับลงบนตัวข้า คิดต้องการให้ข้าสละชีวิตหรือ? คิดอันใดอยู่! ข้าเข้าสู่ขอบเขตล้ำขีดแล้ว การหาที่ซ่อนสักที่คงไม่ยากเย็นหรอกกระมัง?”
เขาแสยะยิ้มพลางกล่าวออกมา “อย่างไรเสียเจ้ากับหลี่จิ่วเต้าก็เป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เจ้าแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ หลี่จิ่วเต้าย่อมต้องถูกสังหารลงในท้ายที่สุด! รอเขาตายเมื่อใด ข้าค่อยออกไปตามล่าเจ้าลาหัวโล้นตัวน้อยนั่น!”
เขาแค้นต้าเต๋ออย่างถึงที่สุด ต้าเต๋อบังคับให้เขาวิ่งหนีอย่างเปลือยเปล่า หน้าอับอายขายหน้ายิ่ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะสังหารอีกฝ่ายให้จงได้
สำหรับหลี่จิ่วเต้า ระดับความเกลียดชังยังเป็นรองต้าเต๋ออยู่
เขาไม่อยากไปหาหลี่จิ่วเต้า เพราะรู้สึกว่าเจ้าของเสียงมืดมนไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดกับเขา หลี่จิ่วเต้านั้นไม่น่าต่อกรได้โดยง่าย
ชิ้ง!
ตอนนั้นเองดาบทองสี่สิบจั้งพลันปรากฏขึ้นบนอากาศแตะปลายหน้าผาก เขาตื่นตกใจเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ
“เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องใช้ข้อห้ามอันใดนั่นหรือ? สิ่งใดจะสามารถรอดพ้นจากสายตาข้าได้?”
เสียงมืดมนดังขึ้น พลันโลงโลหิตหนาวเหน็บไปถึงกระดูก
“ไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้ว ข้าจะไปหาหลี่จิ่วเต้า!”
เขารีบพูดขึ้นมา กลัวว่าเจ้าของเสียงมืดมนจะใช้ดาบฟันเขา
“ในเมื่อเจ้าอยากถูกตราข้อห้าม เช่นนั้นก็จะทำให้สมใจเจ้า มอบร้อยแปดสิบข้อห้ามให้เจ้า”
โลงโลหิตสั่นสะท้านไปทั้งร่าง รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงข้อห้ามที่ประทับลงมาบนร่างอันแล้วอันเล่า
เขาร้องไห้ออกมาอย่างไร้น้ำตา ครั้งนี้มีขุดหลุมฝังตนเองจริง ๆ แล้ว
“เอาล่ะ ทำหน้าที่เจ้าให้ดี อย่าได้รนหาที่ตาย!”
ดาบทองสี่สิบจั้งเลือนหายไป โลงโลหิตรีบเดินทางไม่กล้ารั้งรอ
“ไปเขาหลิงซานก่อน ฆ่าเจ้าลาหัวโล้นน้อยนั่นเสีย!”
เขากัดฟัน ตัดสินใจไปสังหารต้าเต๋อก่อน เช่นนี้ต่อให้เขาตายก็นับว่าได้แก้แค้นแล้ว
ขอบเขตล้ำขีด ทลายขีดจำกัด ทำทุกสิ่งเพียงคิด ใช้เวลาชั่วอึดใจเขาก็มาถึงเขาหลิงซานโดยไม่สนใจพื้นที่และระยะทางใด ๆ
เขาหลิงซานสูงสง่า เสียงพุทธะดังก้อง บรรยากาศเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าลาหัวโล้นน้อยไม่อยู่!”
โลงโลหิตยืนบนฟ้าสูงทอดสายตามองลงมาด้วยความไม่พอใจ ต้าเต๋อที่เขาต้องการจะสังหารไม่ได้อยู่ในเขาหลิงซาน
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดการเขาก่อน!”
ดวงตาของโลงโลหิตทอประกายเย็นชา ในเมื่อไม่สามารถสังหารต้าเต๋อได้ และก็ไม่อาจไปหาหลี่จิ่วเต้าได้ตามใจชอบ
เขาจึงเดินเข้าไปในเขาหลิงซาน
“อามิตาพุทธ เจ้าเป็นใคร?”
พระที่เห็นโลงโลหิตเอ่ยออกมาอย่างระแวดระวัง
“มารจี๋ตี้ เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่?!”
โลงโลหิตแสดงสีหน้าประหลาดใจ จำพระผู้นี้ได้
นี่คือหนึ่งในยอดมารสะท้านโลกันตร์ของหลังฉาก พลังแตะถึงระดับเพดาน เลื่องชื่อด้านความโหดร้าย น่ากริ่งเกรงเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้ารู้จักข้า?”
พระผู้นั้น มารจี๋ตี้มองโลงโลหิต “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง”
ในไม่ช้าเขาก็นึกออก ร้องอุทานออกมาว่า “เจ้าคือหลูเฮา! ที่แท้ก็ยังไม่ตาย!”
“แน่นอนว่าข้ายังไม่ตาย!”
สิ่งมีชีวิตโลงโลหิตเหยียดยิ้ม
เขาคือหลูเฮา เคยเป็นหนึ่งในยอดฝีมือสูงสุดหลังฉากมาก่อน หลังจากนั้นเขาดันไปต้องตากับพระโพธิสัตว์หญิงผู้หนึ่งเข้า จึงใช้กำลังบังคับลักพาตัว สุดท้ายก็ถูกพระอมิตาภะพุทธเจ้าไล่ตามมาจนต้องหนีตายอย่างหวุดหวิด
รอดจากเงื้อมมือของพระอมิตาภะพุทธเจ้า
นี่นับเป็นเรื่องดังสะท้านในยามนั้น
อย่างไรเสียพระอมิตาภะพุทธเจ้าก็พิเศษเหนือชั้นยิ่ง ไม่มีสิ่งมีชีวิตหลังฉากใดกล้าคิดวางแผนกับพระพุทธศาสนา แต่เขากลับกล้าลงมือ
หลังจากนั้นเขาก็หายไปตัวไป สิ่งมีชีวิตหลังฉากต่างคิดว่าเขาถูกพระอมิตาภะพุทธเจ้าสังหารตายไปแล้ว
“จริงสิ พระพุทธเจ้าของข้ามีจิตใจเมตตา ไม่สังหารชีวิตโดยง่าย เช่นนั้นเจ้าจะตายได้อย่างไร”
มารจี๋ตี้ท่องอามิตาพุทธออกมา
เขาดูเคารพเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเปลี่ยนมาเป็นสาวกพุทธศาสนา ไม่มีนิสัยของมารแม้แต่น้อย ซื่อสัตย์เคร่งครัดยิ่ง
“มารที่สังหารคนไม่กะพริบตาอย่างเจ้าเปลี่ยนมาเป็นสาวกพุทธศาสนาหรือ?”
โลงโลหิตเอ่ยออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ มารจี๋ตี้โหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่าเขา ทว่ากลับเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจมาก
“อืม ข้านับถือพระพุทธศาสนาแล้ว กลายเป็นสาวกพระพุทธศานาผู้หนึ่ง” มารจี๋ตี้ตอบ
“เจ้ามาทำสิ่งใดที่นี่? คิดมาล้างแค้นหรือ? ที่หลังฉากเจ้าโดนพระอมิตาพุทธไล่ล่า ที่อาณาจักรแห่งนี้เจ้าโดนต้าเต๋อบังคับให้วิ่งหนีอย่างเปลือยเปล่า เจ้าต้องการใช้เลือดล้างเขาหลิงซานหรือ?”
เขาจำได้ว่าหลูเฮาคือโลงโลหิต จึงเอ่ยถามออกมา
“ใช่แล้ว!”
โลงโลหิตหัวเราะเย็นชา “ข้าเกิดมาไม่ถูกชะตากับเหล่าพระ มีข้าอยู่ที่ใด ที่แห่งนั้นจะต้องไม่มีพระอยู่!”
เขาเคียดแค้นชิงชังต้าเต๋อ ซ้ำยังเคยถูกพระอมิตาภะพุทธเจ้าไล่ล่าในหลังฉาก
ครั้งนี้มาเขาหลิงซาน จึงไม่เพียงแต่ต้องการจะฆ่าต้าเต๋อ ยังหมายใช้เลือดล้างเขาหลิงซานด้วย
“อามิตาพุทธ เอาแต่จองเวรจองกรรมเมื่อใดจะจบสิ้น วางดาบสังหารคนลงเสียเถิดจะดีกว่า”
มารจี๋ตี้ประสานมือเอ่ยออกมา
เขาเคยก่อกรรมสังหารหมู่ในอาณาจักรแห่งนี้ หลังจากนั้นจึงถูกต้าเต๋อปราบปรามและโปรดสัตว์ ทำให้ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของเขาหลิงซาน
“ข้าไม่อาจปล่อยวางเรื่องสังหารคนได้ อีกอย่าง ดาบสังหารคนของข้ายังยาวมาก!”
โลงโลหิตเรียกดาบเงินสี่สิบจั้งออกมาและพูดกับมารจี๋ตี้ว่า “ข้าจะยอมให้เจ้าได้วิ่งหนีไปสี่สิบจั้งเสียก่อน!”
“หลูเฮา เจ้าต้องการทำเช่นนี้หรือ? ลืมความทุกข์ทนที่เจ้าต้องเผชิญแล้วหรือ? เขาหลิงซานหาใช่สถานที่ให้เจ้ามาก่อความวุ่นวายได้”
มารจี๋ตี้ไร้ความกลัว “อย่าได้ดูแคลนต้าเต๋อฝอ ต้าเต๋อฝอนั้นทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง หากเจ้ามาเพื่อแก้แค้น ท้ายสุดก็เป็นเพียงการทำร้ายตัวเจ้าเอง”
“ต้าเต๋อฝอ? ไร้สาระ! นั่นเป็นเพียงแค่ลาหัวโล้นตัวน้อย!”
โลงโลหิตยิ้มเย้ย เอ่ยว่า “วันนี้ ข้าจะย้อมเขาหลิงซานด้วยเลือด!”
เขาไม่ใส่ใจมารจี๋ตี้
ตอนนี้ตนไม่ใช่ผู้ที่มารจี๋ตี้สามารถหยุดยั้งได้ กระทั่งต้าเต๋อเองก็ทำไม่ได้!