ครั้งหนึ่งที่ฝึกหมัดได้อเนจอนาถที่สุด หลังจากเผยเฉียนถูกเฉินหรูชูแบกลงมาที่ชั้นหนึ่งแล้ว นางก็ต้องพักผ่อนติดกันถึงสามวันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ที่สำคัญคือยังต้องนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงแบบไม่กระดุกกระดิกถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม
พอดีกับที่ได้ยินมาว่าเว่ยป้อกำลังจะจัดงานเลี้ยงเทพท่องราตรีครั้งที่สาม นี่ทำให้เผยเฉียนที่คัดตัวอักษรเสร็จแล้วอารมณ์ดีราวกับมีดอกไม้ผลิบานอยู่ในใจ
จูเหลี่ยนบอกว่านี่เรียกว่าสามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา
เผยเฉียนอารมณ์ดี จึงไม่ถือสาพ่อครัวเฒ่า
อีกอย่างก่อนหน้านี้ในจดหมายที่อาจารย์ส่งกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว ช่วงท้ายของจดหมายก็ได้ตอบตกลงให้เลื่อนขั้นโจวหมี่ลี่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่เผยเฉียนอ่านจดหมายไปสิบเจ็ดสิบแปดรอบ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ตอนเดินขึ้นไปฝึกหมัดบนชั้นสองที่นางเดินยืดอกตั้ง แต่ละก้าวที่เหยียบลงบนขั้นบันไดเรือนไม้ไผ่ส่งเสียงดังตึงๆ แล้วยังตะโกนเสียงดังว่าตาเฒ่าชุยรีบเปิดประตูป้อนหมัด อย่าได้เลอะเลือนเด็ดขาด
ตอนนั้นเฉินหลิงจวินที่มองดูอยู่ตรงชั้นหนึ่งรู้สึกว่าหากเผยเฉียนไม่ได้ถูกต่อยจนโง่ก็คงธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้ว
เวลานี้ที่เรือนพักของจูเหลี่ยน เว่ยป้อกำลังเล่นหมากล้อมกับเจิ้งต้าเฟิง
เฉินหรูชูนั่งแทะเมล็ดแตงเบาๆ
เฉินหลิงจวินลงเดิมพันว่าเจิ้งต้าเฟิงจะต้องชนะ จึงเอาเงินเกล็ดหิมะกองใหญ่มาวางไว้ข้างโถเก็บเม็ดหมากของพี่น้องต้าเฟิง ผลกลับกลายเป็นว่าจูเหลี่ยนนั่งพร่ำพูดอยู่ด้านข้างว่า ตอนนี้เว่ยป้อเป็นเทพเซียนขอบเขตหยกดิบแล้ว ความสามารถในการเล่นหมากล้อมเพิ่มพูน โอกาสที่เว่ยป้อจะชนะน่าจะมีมาก และพอเฉินหลิงจวินมองเห็นทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์บนกระดานหมาก ก็เลยเอาเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญไปวางไว้ข้างโถเก็บเม็ดหมากของเว่ยป้อ
เผยเฉียนพาโจวหมี่ลี่ที่แบกไม้เท้าเดินป่าวิ่งวนรอบโต๊ะหินที่ทุกคนนั่งกันอยู่
เผยเฉียนวิ่งเร็วจี๋ สองแขนแกว่งรัวเร็ว ปากก็ร้องโหวกเหวกเสียงดังไปด้วยว่า “ตุ้งแช่ ตุ้งแช่ ตุ้งแช่ ตุ้งๆๆ แช่…หมู่บ้านจะจัดงานเลี้ยง จัดตั้งแต่หน้าหมู่บ้านไปถึงท้ายหมู่บ้าน…ทองตระกูลหลิว เงินตระกูลหลี่ เหรียญทองแดงตระกูลหาน พากันมานอนหลับในกระเป๋าของข้าเสียดีๆ”
เว่ยป้อใช้ข้อศอกยันพื้นโต๊ะ เอานิ้วข้างหนึ่งยันกลางหว่างคิ้ว
ขึ้นมาบนเรือโจร คิดจะลงก็ยากจริงๆ
ถึงอย่างไรชื่อเสียงขององค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของเขาก็เสียหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างเดือดดาล “เจ้าตัวขาดทุน หากเจ้ายังเสียงดังอยู่อย่างนี้ ทำให้ข้าแพ้ เดือดร้อนให้พี่ใหญ่หลิงจวินต้องเสียเงิน เจ้าเป็นคนชดใช้เลยนะ!”
เผยเฉียนชักเท้าวิ่งตะบึงไม่หยุด “ชดใช้อะไรกัน เจ้าโง่หรือไง”
แล้วเผยเฉียนก็ร้องเพลงพื้นบ้านของนางเพลงนั้นต่ออีกครั้ง
โจวหมี่ลี่ที่วิ่งตามก้นอยู่ด้านหลังเผยเฉียนถามอย่างสงสัยว่า “นี่เป็นเพลงของที่ไหน ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เผยเฉียนหยุดวิ่ง ยกสองมือกอดอก “เป็นเพลงของบ้านเกิดข้า น่าเสียดายที่เขียนเนื้อเพลงได้ดีเกินไป เลยไม่สามารถเผยแพร่แก่คนอื่นได้”
โจวหมี่ลี่รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของเผยเฉียนฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล จึงยกสองมือกอดไม้เท้าเดินป่า ขมวดคิ้วจมสู่ภวังค์ความคิด
จูเหลี่ยนได้รับจดหมายฉบับนั้นจากชุยตงซานแล้ว แต่ก็ยังต้องรอให้หลูป๋ายเซี่ยงมาถึงภูเขาลั่วพั่วก่อน หลังจากร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของเว่ยป้อด้วยกันแล้ว พวกเขากับหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชจึงจะไปตามหาตำหนักวารีและเรือมังกรด้วยกัน
ไม่ค่อยเหมือนกับที่เฉินผิงอันสั่งความไว้บนจดหมาย หลังจากจูเหลี่ยนได้รับจดหมายตอบกลับจากชุยตงซานแล้ว จูเหลี่ยนก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเรื่องกองทัพม้าเหล็กและสายลับของต้าหลี เพราะเขาชุยตงซานจะจัดการให้เอง เดิมทีก็ควรจะพาองค์หญิงสิ้นชาติผู้นั้นไปที่บ้านเกิดของนางอยู่แล้ว
ทว่าจูเหลี่ยนก็ยังบอกกับหลิวจ้งรุ่นว่าเรื่องนี้เต็มไปด้วยอันตรายรายล้อม ไม่ทำจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจกลายเป็นหายนะที่ไม่เล็กครั้งหนึ่ง สรุปก็คือจูเหลี่ยนแสร้งปล่อยข่าวเขย่าขวัญชวนให้คนตกใจ
ผลคือหลิวจ้งรุ่นที่ผ่านการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียมาดีแล้วกลับกัดฟันตัดสินใจว่าจะไม่ไปแตะต้องตำหนักวารีและเรือมังกรนั่นอีก จูเหลี่ยนถึงได้ปล่อยให้หลิวจ้งรุ่นวุ่นวายใจอยู่สองสามวัน จากนั้นเขาก็เดินเตร็ดเตร่ไปที่ภูเขาหลังอ๋าวอีกครั้ง พูดกลั้วหัวเราะว่าเรื่องนี้มีการเปลี่ยนแปลง ภูเขาลั่วพั่วของพวกเขาตัดสินใจว่าจะแบกรับความเสี่ยงส่วนหนึ่ง ดังนั้นอันที่จริงทั้งสองฝ่ายสามารถทดลองทำดูได้ เพียงแต่ว่าการแบ่งสมบัติของทั้งสองฝ่ายจะไม่ใช่ห้าต่อห้าอีกต่อไป ภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องได้ส่วนแบ่งเพิ่มมาอีกหนึ่งส่วน ทั้งสองฝ่ายที่ต่อรองราคากันเรียบร้อยแล้วจึงกลายเป็นว่าภูเขาหลังอ๋าวได้สี่ส่วน ภูเขาลั่วพั่วได้หกส่วน
อันที่จริงจูเหลี่ยนไม่ได้คิดจะเอาผลกำไรที่ได้เพิ่มเติมมานี้อย่างจริงจัง รอให้เขากับหลูป๋ายเซี่ยงออกไปค้นหาสมบัติพร้อมกับหลิวจ้งรุ่นแล้ว เขาย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเอง จะบอกนางว่าเจ้าขุนเขาลั่วพั่วที่ออกเดินทางไกลของตนท่านนั้นตอบจดหมายกลับคืนมาแล้ว กำชับเขาจูเหลี่ยนว่าจะต้องทำตามแผนการเดิมที่วางไว้ นั่นคือได้ส่วนแบ่งกันไปคนละห้าส่วน
ถึงเวลานั้นมองดูเหมือนทุกอย่างกลับคืนไปเป็นเหมือนเดิม กลับสู่จุดเริ่มต้น
แต่แน่นอนว่าการที่จูเหลี่ยนเสียเวลายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ เขาต้องไม่เสียเวลาเปล่า
รอจนภูเขาพีอวิ๋นจัดงานท่องราตรีอย่างเป็นทางการ
เผยเฉียนและจูหมี่ลี่ต่างก็ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งนั้น เผยเฉียนยุ่งอยู่กับการคัดตัวอักษร หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองติดหนี้มากเกินไปเพราะเรื่องของการฝึกหมัด
ประหลาดมาก คราวนี้แม้แต่เฉินหลิงจวินก็ยังไม่ไปร่วมวงความครึกครื้น
กลับเป็นพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของเขาที่หลังจบเรื่องยังมาหาเขาที่ภูเขาลั่วพั่วโดยเฉพาะ ถามเฉินหลิงจวินว่าเหตุให้ถึงไม่ได้ปรากฎตัว
หลังจากนั้นมาจูเหลี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงก็ลงจากเขาไปทำธุระ ขณะเดียวกันหลิวจ้งรุ่นที่เต็มไปด้วยความกังวลใจก็รู้กสึกว่าอนาคตยากจะคาดเดา โชคมาพร้อมกับเคราะห์ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่พวกเขากำลังทำก็คือการขุดหาสมบัติภายใต้เปลือกตาของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี
ลูกศิษย์สองคนของหลูป๋ายเซี่ยงอย่างหยวนไหลหยวนเป่าสองพี่น้องต่างก็รออยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว
คนทั้งสองนับว่าพอจะคุยกับเฉินยวนจีที่จูเหลี่ยนพาขึ้นเขาได้ถูกคออยู่บ้าง
เล่นสนุกอยู่นอกเรือนไม้ไผ่สามวัน
และพอสามวันผ่านไป การฝึกหมัดในเรือนไม้ไผ่ก็ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
โจวหมี่ลี่แบกไม้เท้าเดินป่าเฝ้าอยู่บนทางสายเล็กที่มุ่งหน้าไปยังเรือนไม้ไผ่ ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปที่นั่น
นี่คือเรื่องที่จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่กำชับมา โจวหมี่ลี่จึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการ แต่ขอแค่เฉินหรูชูทำงานในมือเสร็จแล้วก็จะวิ่งมาแทะเมล็ดแตงกินขนมอยู่กับโจวหมี่ลี่ พอถึงเวลาควรจะไปทำเรื่องอะไรต่อ เฉินหรูชูก็ค่อยจากไป
โจวหมี่ลี่จึงเฝ้าอยู่ในอาณาเขตวงกลมที่เผยเฉียนวาดไว้ให้นางก่อนหน้านี้อย่างเชื่อฟัง
แรกเริ่มโจวหมี่ลี่ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง คิดว่าวงกลมที่เผยเฉียนวาดให้เล็กเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขตอิทธิพลของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วอย่างนางไม่ใหญ่มากพอ
เผยเฉียนจึงถามนางว่าท่านเทพทวารบาลแต่ละองค์ที่แปะอยู่บนหน้าประตูของตรอกฉีหลงล่างภูเขามีอาณาเขตเล็กๆ แค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น ใหญ่เท่าวงกลมที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางได้หรือ? เคยเห็นเหล่าเทพทวารบาลบ่นหรือไม่พอใจบ้างไหม? สุดท้ายเผยเฉียนตีหน้าเคร่งถามว่า โจวหมี่ลี่ ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอย่างเจ้าเริ่มจะหลงระเริงตนแล้วใช่หรือไม่?
โจวหมี่ลี่รีบส่ายหน้าอย่างแรง
โจวหมี่ลี่นั่งอยู่ในริมขอบของวงกลมเพียงลำพัง แล้วค่อยๆ ขยับตัวเป็นวงกลมไปทีละนิดตามเขตแดนที่มองไม่เห็นเส้นนั้น
ทุกครั้งที่แม่นางน้อยชุดดำถือไม้เท้าเดินป่าเดินวนก้าวสองก้าว ห่างไปไกลด้านหลังของนางก็จะมีคนจิ๋วดอกบัวที่กระโดดออกมาจากใต้ดินวิ่งเหยาะๆ ตามไปด้วยสี่ห้าก้าว
บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่
เท้าของชุยเฉิงเหยียบอยู่บนหน้าผากของเผยเฉียนที่นอนแนบติดพื้นแล้วบิดหนักๆ หนึ่งที เขาก้มหน้าถามว่า “ก่อนจะฝึกหมัดวันนี้ เศษสวะน้อยอย่างเจ้าถึงขนาดกล้าถามข้าผู้อาวุโสว่าการฝึกหมัดจะสิ้นสุดเมื่อไหร่งั้นรึ?”
ชุยเฉิงใช้เท้าเตะเข้าที่จุดไท่หยางด้านหนึ่งของเผยเฉียน แล้วหันหน้ามองตามเด็กหญิงที่ร่างกระแทกงองุ้มเข้าหากันอยู่ในมุมกำแพง “เจ้าเดินไปให้ถึงจุดหัวขาดของทางหัวขาดให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
เผยเฉียนที่ร่างค่อยๆ ยืดขยาย ก่อนหน้านี้ที่นางนอนเฉยก็เท่ากับว่าสะสมกำลังเฮือกหนึ่งให้กับตัวเอง เวลานี้นางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดโซซัดโซเซลุกขึ้นยืน อ้าปากกว้าง เอียงศีรษะ ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาโยกฟันซี่หนึ่ง จากนั้นก็กระตุกดึงอย่างแรง ถอนฟันซี่นั้นออกมา
นางเก็บฟันที่เต็มไปด้วยเลือดซี่นั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง อาจารย์เคยบอกว่าเด็กทุกคนจะต้องมีฟันงอกใหม่ ช่วงเวลาระหว่างนี้หากเอาฟันที่หลุดไปวางไว้บนหัวเตียง ก็จะสามารถขอพรให้ตัวเองสงบสุขปลอดภัยได้
เผยเฉียนงอตัวลง สองมือกำหมัดเบาๆ แล้วก็คลายออก จ้องชุยเฉิงเขม็ง
เห็นเพียงว่าปลายเท้าข้างหนึ่งของนางดีดพื้น ร่างทะยานขึ้นกลางอากาศ เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนผนังเรือนไม้ไผ่หนักๆ แล้วร่างก็พุ่งออกไปราวลูกธนูหลุดจากสาย ระหว่างทางพลันร่วงดิ่งลงมา บิดหมุนข้อเท้าไถลตัวออกไปสองสามก้าว เบี่ยงตัวออกไปด้านข้างเล็กน้อย ไม่ได้พุ่งไปในแนวตรง ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบตั้งท่าหมัด ครั้นจึงเหวี่ยงหมัดออกไป ทว่าหมัดที่ส่งไปยังชุยเฉิงกลับเป็นกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
เผยเฉียนอาจจะไม่รู้ว่า กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าคือท่าหมัดที่อาจารย์ของนางใช้รับมือกับชุยเฉิงน้อยที่สุด
เพราะรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ที่สุด
แต่เผยเฉียนกลับทำตรงกันข้าม ท่าหมัดนี้นางปล่อยใส่ผู้เฒ่าบ่อยที่สุด
แต่ละครั้งต้องกลับมามือเปล่า แต่ก็ยังออกหมัดครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้เฒ่าปล่อยหมัดต่อยเข้าที่หัวของเผยเฉียน คิดไม่ถึงว่าเสี้ยววินาทีที่ร่างของเผยเฉียปลิวหวือออกไป นางจะเหวี่ยงเท้าเตะออกมาเต็มแรง
เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่แรกเริ่มนางก็มีความคิดว่าเจ้าต่อยข้าหนึ่งหมัด ข้าก็จะเตะเจ้าหนึ่งเท้า
น่าเสียดายที่ถูกชุยเฉิงใช้มือข้างหนึ่งกุมข้อเท้างเอาไว้ เหวี่ยงตัวนางขึ้นสูงแล้วทุ่มกระแทกลงพื้นอย่างแรง ทำเอาร่างของเผยเฉียนห่องออีกครั้ง ชั่วขณะเดียวกันความเร็วความช้าในการหายใจของนางได้สลับเปลี่ยนกันอย่างฉับพลัน ทุกอย่างผสานรวมเป็นธรรมชาติ
ชุยเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “เศษสวะน้อยที่แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังเทียบไม่ได้อย่างเจ้า หากเปลี่ยนข้าไปเป็นเจ้าเศษสวะใหญ่ผู้นั้น เห็นเจ้ากินข้าวมากหนึ่งคำก็คงรังเกียจว่าสิ้นเปลืองรากฐานของภูเขาลั่วพั่วเต็มทีแล้ว! อย่างเจ้าก็กล้าคิดจะแตะต้องชายเสื้อของข้าผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าผู้อาวุโสคือเฉินยวนจีที่ฝึกหมัดเหมือนงีบหลับผู้นั้นหรือไร? มาอีก! อย่าแกล้งตาย หากแตะชายเสื้อข้าได้สักเสี้ยว วันหน้าข้าผู้อาวุโสจะใช้แซ่ตามเจ้า”
เผยเฉียนใช้ข้อศอกกระแทกพื้นหนักๆ ร่างลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วจึงพลิ้วกายหยุดยืนนิ่ง พูดเสียงอู้อี้ขาดๆ หายๆ ว่า “ไม่ต้องใช้แซ่ตามข้า…ใช้แซ่ตามอาจารย์ข้าเถอะ…แต่ก็ยังต้องดูว่าอาจารย์ข้าจะยอมหรือไม่”
ชุยเฉิงก้าวหนึ่งก้าวก็มาหยุดตรงหน้าเผยเฉียน มือหนึ่งไพล่หลัง ห้านิ้วของมือหนึ่งจับหน้าเผยเฉียนเอาไว้ ก้าวออกไปอีกก้าว ร่างทั้งร่างของเผยเฉียนก็กระแทกติดผนังเรือน
มือเท้าของฝ่ายหลังห้อยลู่ลงพร้อมกัน
ชุยเฉิงปล่อยมือ เผยเฉียนก็ทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น หลังแนบติดผนัง บนผนังเหนือศีรษะมีคราบเลือดปื้นใหญ่เป็นรอยไถลตามร่างของนาง
ชุยเฉิงหัวเราะเสียงเย็น “เพราะเฉินผิงอันคือเศษสวะที่รักตัวกลัวตายอย่างไรเล่า ถึงได้เลี้ยงเศษสวะที่รักตัวกลัวตายอย่างเจ้า พวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์ควรจะไปหลบอยู่ในตรอกหนีผิง วันๆ ได้แต่เก็บขี้หมาขี้ไก่ไปชั่วชีวิต! เฉินผิงอันตาบอดจริงๆ ที่เลือกเจ้าเผยเฉียนมาเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขากับผายลมสุนัขอะไรนี่ เพราะถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นได้แค่แมลงน่าสงสารที่ได้แต่หลบอยู่ด้านหลังเขาชั่วชีวิต คู่ควรกับคำว่า ‘ลูกศิษย์’ และคำว่า ‘เปิดขุนเขา’ ด้วยหรือ?”
นิ้วมือของเผยเฉียนสั่นระริก สุดท้ายนางเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ริมฝีปากขยับเบาๆ
ผลกลับถูกผู้เฒ่าเหยียบเข้าที่หน้าผาก เขาค้อมเอวผินหน้ามากล่าว “เศษสวะน้อย เจ้าพูดอะไร ข้าผู้อาวุโสขอให้เจ้าพูดดังๆ หน่อย! พูดว่าข้าผู้อาวุโสพูดถูกอย่างนั้นหรือ? เจ้ากับเฉินผิงอันสมควรคบค้าสมาคมกับขี้หมาขี้ไก่ในตรอกหนีผิงไปชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ?! ทำไม เจ้าใช้ไม้เท้าเดินป่าเขี่ยขี้หมาขี้ไก่ จากนั้นเฉินผิงอันก็เอากระบุงมาโกย? เป็นแบบนี้ย่อมดีที่สุด จะได้ไม่ต้องฝึกหมัดนานเกินไป รอให้วันใดเฉินผิงอันไสหัวกลับภูเขาลั่วพั่วมาแล้ว พวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์ เศษสวะน้อยใหญ่ทั้งสองก็จะได้ไปอยู่ที่ตรอกหนีผิงแล้ว”
เผยเฉียนที่นั่งอยู่บนพื้นยกมือขึ้นช้าๆ โบกหมัดต่อยเข้าที่เท้าข้างนั้นของชุยเฉิงอย่างเนิบช้า
ผู้เฒ่าหดเท้ากลับมา หลังจากหมัดนั้นต่อยลงบนความว่างเปล่าแล้ว เขาก็เปลี่ยนเท้าอีกข้างหนึ่งกระทืบลงบนหัวเผยเฉียนเต็มแรง
ครู่หนึ่งต่อมา เผยเฉียนก็เปลี่ยนมาใช้มืออีกข้างเหวี่ยงแขนโบกหมัดออกไป
ผู้เฒ่าถึงได้ถอยหลังไปหลายก้าว จุ๊ปากพูดว่า “มีความสามารถนี้ ดูท่าแล้วคงสามารถไปเช็ดรองเท้าพวกคนรวยในตรอกเถาเย่หรือไม่ก็ถนนฝูลวี่เพื่อหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องร่วมกับเฉินผิงอันได้แล้ว เฉินผิงอันเช็ดรองเท้าให้คนอื่น เจ้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ยืนค้อมเอวคลี่ยิ้มร้องบอกประโยคว่าเชิญนายท่านมาใหม่ได้”
สองมือและแผ่นหลังของเผยเฉียนดันอยู่กับผนังแน่น นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ทีละชุ่นทีละฉื่อ นางพยายามลืมตาขึ้นมา อ้าปาก แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรได้
ทว่าผู้เฒ่ากลับหัวเราะ เขารู้ดีว่าเจ้าตัวน้อยกำลังด่าตนว่าอะไร
เผยเฉียนก้มหน้าค้อมเอว หอบหายใจเบาๆ เส้นสายตาพร่าเลือน นางมองไม่เห็นอะไรเลย
ผู้เฒ่าหมุนตัวเดินไปที่ประตูเรือน ก่อนจะหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ข้าผู้อาวุโสจะไปเปิดประตู เจ้าก็สามารถเขียนจดหมายไปหาเฉินผิงอัน บอกเขาว่าในที่สุดลูกศิษย์อย่างเจ้าก็ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้อาจารย์ คิดหาวิธีดีๆ ในการหาเงินให้พวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์ได้แล้ว ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็มีชาติกำเนิดจากเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลน มาเจอกับลูกศิษย์ที่ไม่เอาไหนอย่างเจ้า หาเงินด้วยงานต่ำต้อยเช่นนี้ แม้จะดูน่าสังเวชไปสักหน่อย แต่จะยังมีวิธีอะไรได้อีก? ข้าว่าไม่มี!”
ชั่วพริบตานั้น
ชุยเฉิงก็หยุดเดิน หรี่ตาลง
เผยเฉียนที่แทบจะถือได้ว่าหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงลืมตาทั้งคู่ขึ้นตามจิตใต้สำนึก ร่างของนางที่โงนเงนก้าวออกไปหนึ่งก้าว ครั้งถัดมาอาการส่ายไหวของเรือนกายก็ยิ่งรุนแรงกว่าเก่า หลังเดินออกไปได้หลายก้าว ก็ไม่เห็นร่องรอยของเผยเฉียนแล้ว
เท้าหนึ่งของนางปาดขวางออกไป แล้วพลันหยุดชะงัก กระโดดตัวขึ้นสูง กระโจนโฉบไปเบื้องหน้า ปล่อยหมัดต่อยแสกหน้าชุยเฉิง
ประหนึ่งเมืองเล็กในปีนั้นที่มีเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานคนหนึ่งพุ่งโฉบข้ามผ่านลำธารดั่งอินทรีบิน
ชุยเฉิงลังเลเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังเบี่ยงหัวไหล่หลบหมัดนั้นของเผยเฉียน เพียงแต่ว่าคราวนี้ผู้เฒ่าไม่ได้ออกหมัด เขาเพียงแค่หันหน้าไปมอง เด็กหญิงที่นั่งอยู่บนพื้นใกล้กับประตูหมดสติอย่างสิ้นเชิงแล้ว
นี่คงจะถือว่านางไปขวางทาง ไม่ให้เขาชุยเฉิงไปเปิดประตูได้แล้ว?
ชุยเฉิงเดินมาหยุดข้างกายของเด็กหญิง เขาทรุดตัวนั่งขัดสมาธิ ยื่นมือไปกดศีรษะเล็กๆ ที่ท่วมไปด้วยเลือดแดงฉานของนางแล้วพยักหน้ายิ้ม “ดีมาก”