เว่ยป้อยิ้มกล่าว “งานเลี้ยงท่องราตรีสามครั้ง ริมชายแดนของอาณาเขตขุนเขากลางมีจุดที่เชื่อมต่อกับขุนเขาเหนือของข้าค่อนข้างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมาร่วมสักครั้งจึงจะถือว่าสมเหตุสมผล ในเมื่ออีกฝ่ายมีกิจธุระรัดตัว ข้าก็เลยต้องไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง นอกจากนั้นก็คืออู๋ยวนที่เมื่อก่อนเคยเป็นขุนนางพ่อแม่ของเขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้ก็ไปอยู่ใกล้กับตีนเขาของขุนเขากลาง ทำหน้าที่เป็นเจ้าเมือง ข้าสามารถไปเยี่ยมเยียนพูดคุยเรื่องวันเก่าๆ กับเขาได้ แล้วก็ยังมีท่านสวี่แห่งสำนักโม่ที่ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนบ้านของขุนเขากลาง ข้ากับท่านสวี่รู้จักกันมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนงานเลี้ยงท่องราตรี ท่านสวี่ก็วานให้คนนำของขวัญมาส่งที่ภูเขาพีอวิ๋น ข้าควรจะไปขอบคุณเขาต่อหน้าสักครั้ง”
หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ พูดอย่างนี้ก็ยังพอจะเข้าใจได้
กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ไปตลอดทาง ราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติที่ถูกทำลายล้างไปมีมากมายนับไม่ถ้วน ศาลเถื่อนน้อยใหญ่ของแต่ละสถานที่มีหลายพันแห่ง ร่างทองของเทวรูปที่ถูกทุบทิ้งก็ยิ่งนับไม่ถ้วน
แต่เว่ยป้อแห่งขุนเขาเหนือกลับเป็นองค์เทพซานจวินเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองร้อยกว่าเหรียญที่กรมการคลังของต้าหลีส่งมาให้
ซานจวินใหม่ของแจกันสมบัติทวีปอีกสี่ท่านที่เหลือ ตอนนี้ต่างก็ยังไม่ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษและมีเกียรติเช่นนี้
เข้ามาอยู่ในห้องตัวเอง จูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิงต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเองไป ต่อให้ตอนนี้เรือข้ามฟากจะยังอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ แต่ม้วนภาพขุนเขาสายน้ำที่เว่ยป้อสร้างขึ้นมานี้ก็ยังไม่อาจประคองตัวอยู่ได้นานนัก
จูเหลี่ยนถาม “มีเรื่องหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ เอ่ยว่า “อยู่ดีๆ ท่านผู้เฒ่าชุยก็อยากพาเผยเฉียนไปที่พื้นที่มงคลรากบัว ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงทันที ได้แต่หาข้ออ้างไปว่าตอนนี้เว่ยป้อไม่ได้อยู่บนภูเขาพีอวิ๋น ต่อให้มีร่มใบถงคันนั้นก็เข้าไปไม่ได้”
จูเหลี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ตอบตกลงช้าเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น จะต้องถ่วงเวลาลากไปจนกว่านายน้อยจะกลับมาภูเขาลั่วพั่วแล้วค่อยว่ากัน หากต้องเจอเรื่องคราวนี้ ปณิธานเฮือกนั้นของท่านผู้เฒ่าอาจจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงเกาหัว พูดอย่างสะท้อนใจว่า “จะต้องให้เฉินผิงอันมาพบหน้าเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ หรือ? ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่ามีแต่จะเพิ่มความทุกข์ใจจากการจากลา การที่ท่านผู้เฒ่าชุยจงใจเปิดปากตอนนี้ อันที่จริงนี่ก็เป็นความต้องการของเขา”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างจนใจ “ถึงอย่างไรก็ให้พบกันก่อนเถอะ”
เจิ้งต้าเฟิงถาม “แล้วทางฝั่งเจ้าตัวขาดทุนล่ะ?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “อย่าได้พูดถึงแม้แต่คำเดียว”
เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก มองประตูภูเขาที่ห่างไปไม่ไกล ฤดูใบไม้ผลิดอกไม้ผลิบาน แสงอาทิตย์อบอุ่น จิบเหล้าคำเล็กๆ ให้รสชาติแตกต่างไปอีกแบบ
บนภูเขาวัตถุใดที่ทำให้คนหวั่นไหวได้มากที่สุด ซิ่งเดือนสองทยอยกันเบ่งบาน
เดินกะเผลกขึ้นเขาไปตลอดทาง ทอดสายตามองไปยังเมืองเล็กที่อยู่ทางทิศตะวันออก เขตการปกครองทางทิศเหนือ และยังมีแสงไฟแสงจันทร์ยามดึกที่มองเห็นได้อย่างบางตา
เจิ้งต้าเฟิงชอบชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
อีกทั้งเขาเองก็คาดหวังว่าภูเขาลั่วพั่วในอนาคตจะมีคนมาอยู่อาศัยมากกว่าเดิม
หากมีสตรีที่หน้าตางดงามมากหน่อย แน่นอนว่าย่อมดียิ่งกว่า
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ทางฝั่งของบนภูเขา เจ้าคอยดูให้มากๆ หน่อย”
เจิ้งต้าเฟิงยกกาเหล้าขึ้น ชี้ไปทางประตูภูเขา แล้วกล่าวว่า “นี่ข้าก็กำลังดูอยู่ไม่ใช่หรือ หากมีแมลงวันตัวเมียสักตัวบินขึ้นไปบนภูเขา ก็ถือว่าข้าเจิ้งต้าเฟิงไม่เอาไหน!”
……
ยอดเขาสิงโต ในถ้ำเทพเซียน
เฉินผิงอันที่ร่างท่วมไปด้วยเลือดนอนหายใจรวยรินอยู่บนเรือลำเล็ก หลี่เอ้อร์ถ่อเรือกลับไปที่ท่าเรือ เอ่ยว่า “เจ้าออกหมัดได้เร็วพอแล้ว แต่ด้านพละกำลังยังขาดแรงไฟอยู่อีกเล็กน้อย คาดว่าคงเป็นเพราะเมื่อก่อนไขว่คว้าในเรื่องการฝึกหมัดมากเกินไป การช่วงชิงกันของผู้ฝึกยุทธ ฟังดูเหมือนน่าสะใจ แต่อันที่จริงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น อย่าเอาแต่คิดว่าออกหมัดแค่สองสามหมัดแล้วจะตัดสินเป็นตายได้ เพราะหากตกอยู่ในสภาวะชะงักงัน ก็เท่ากับว่าเจ้าเดินลงเนินไปตลอด แบบนี้จะได้อย่างไร”
เฉินผิงอันพยักหน้าเล็กน้อยแสดงให้รู้ว่าตนเข้าใจแล้ว
อันที่จริงหลังจากการป้อนหมัดครั้งแรก หลี่เอ้อร์ก็สังเกตได้ถึงข้อบกพร่องของปณิธานหมัดเฉินผิงอัน ครั้งที่สองจึงปล่อยให้เฉินผิงอันต่อยหมัดออกมาก่อนร้อยครั้ง เขาไม่เอาคืน จากนั้นเพียงแค่ออกหมัดครั้งเดียว ต่อยด้วยแรงที่ไม่หนักนัก ขอแค่เฉินผิงอันต้านรับหมัดเดียวนั้นไว้ได้โดยไม่ล้มลงก็พอ ต่อมาปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นของเฉินผิงอันก็ห้ามดิ่งฮวบลง ปณิธานหมัดของอีกร้อยหมัดต่อมาก็ยิ่งไม่อาจลดน้อยไปจากเดิมได้มากนัก เขาหลี่เอ้อร์จะจงใจเปิดเผยช่องโหว่บางอย่าง หากเฉินผิงอันไม่อาจดึงแรงฮึดสู้ปล่อยหมัดอย่างรวดเร็วใส่ช่องโหว่ที่เขาเปิดไว้ให้ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาหลี่เอ้อร์ก็ไม่เกรงใจแล้ว หมัดนั้นหากหล่นลงบนร่าง ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธเดินทางไกลก็ยังต้องเผชิญกับความรู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายอยู่ดี
การป้อนหมัดครั้งที่สามของวันนี้ หลี่เอ้อร์เปลี่ยนแนวทางใหม่ ต่างคนต่างออกหมัด เฉินผิงอันออกหมัดเต็มกำลัง เขาออกหมัดด้วยกำลังแค่ครึ่งเดียว ตอนที่หยุดป้อนหมัดก็ถามเฉินผิงอันว่าตายไปแล้วกี่ครั้ง
หลังจากที่เฉินผิงอันให้คำตอบที่ถูกต้อง หลี่เอ้อร์จึงพยักหน้ารับบอกว่าถูกแล้ว แล้วให้รางวัลอีกฝ่ายด้วยหนึ่งหมัดของขอบเขตสิบ ต่อยให้เฉินผิงอันพุ่งจากด้านหนึ่งของกระจกไปอยู่อีกด้านหนึ่ง บอกแล้วว่าเป็นศึกแห่งความเป็นความตาย หากไม่สละชีวิตหลงลืมความตาย ไปจดจำเรื่องที่ไม่สมควรพวกนี้ ก็ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ โชคดีที่หมัดนี้ไม่ต่างจากคราวก่อน เพียงแค่ต่อยลงบนไหล่ของเฉินผิงอันเท่านั้น แช่ตัวอยู่ในถังยา รอให้เนื้องอกขึ้นใหม่บนกระดูกขาว จะนับเป็นความทรมานอะไรได้ กระดูกแตกประสานกันใหม่ นั่นต่างหากถึงจะพอว่าเจ็บปวดได้บ้าง ช่วงเวลาระหว่างนี้ หากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวรักษาจิตวิญญาณของตัวเองเอาไว้ได้ แล้วปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อไปสัมผัสกับการงอกใหม่ของเลือดเนื้อและกระดูกอย่างลึกซึ้ง นั่นต่างหากจึงจะถือว่าพอมีความสามารถเล็กๆ ที่เข้าขั้นได้บ้างแล้ว
ตรงท่าเรือมีกระท่อมหลังหนึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ ตอนนี้เฉินผิงอันพักรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่
หลี่เอ้อร์รู้สึกว่าการป้อนหมัดของตนถือว่าเก็บไม้เก็บมือมากแล้ว ไม่ใช่ว่าป้อนหมัดครั้งหนึ่งแล้วเฉินผิงอันต้องพักรักษาตัวทุกวัน ต่อให้ทุกวันเฉินผิงอันจะรักษาบาดแผลได้เสร็จสิ้น แต่ก็ยังจะต้องสะสมความเจ็บปวดส่วนหนึ่ง ‘เหลือค้างไว้’ การป้อนหมัดครั้งที่สองจึงเป็นการเพิ่มบาดแผลลงบนบาดแผล ต้องให้เฉินผิงอันรักษาปณิธานหมัดให้มั่นคงในทุกๆ ครั้ง นี่เท่ากับว่าค่อยๆ ทำลายเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ มีเพียงปณิธานหมัดบนยอดเขาดั้งเดิมที่ไม่สะท้านสะเทือนแม้แต่น้อย
หลี่เอ้อร์ไม่ได้บอกว่าหากทำไม่ได้แล้วจะเป็นอย่างไร
เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ทำได้แล้ว
ใต้หล้าไม่ได้มีเรื่องราวที่ซับซ้อนมากมายขนาดนั้น
ส่วนข้อที่ว่าหากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น แล้วจะทนรับการป้อนหมัดแบบนี้ได้หรือไม่ หลี่เอ้อร์ก็ไม่เคยคิดถึงปัญหาพวกนี้
หนึ่งเพราะเขาคร้านจะสอน นอกจากนี้ปล่อยหมัดแบบเดียวกันออกไป เฉินผิงอันอาจจะไม่เป็นอะไร ไม่ถ่วงการป้อนหมัดครั้งต่อไป ทว่าคนธรรมดาป่านนี้ก็คงตายไปแล้ว แล้วยังจะสอนอะไรได้อีก
หลี่เอ้อร์ไม่ได้บอกว่าเฉินผิงอันทำได้ดีหรือไม่ดี
ถึงอย่างไรสุดท้ายสามารถกินหมัดไปได้กี่มากน้อยก็ล้วนเป็นความสามารถของเฉินผิงอันเองทั้งสิ้น
หลี่เอ้อร์ถ่อเรือมาถึงท่าเรือ เฉินผิงอันก็ดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้แล้ว
หลี่เอ้อร์บอกว่าการป้อนหมัดจะหยุดลงพักหนึ่ง เพราะหากคิดแต่จะเน้นที่ความเร็วอย่างเดียวย่อมไม่ไปถึงจุดหมาย ไม่จำเป็นต้องเน้นที่จำนวนหรือน้ำหนักให้มากเกินไป ผ่านไปอีกสักสองสามวันค่อยว่ากันใหม่
แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาต้องลงจากเขาไปดูร้านด้วย
เฉินผิงอันถามว่าเมื่อตนพักฟื้นจนพอจะหายดีแล้ว จะไปพักอยู่ที่ตีนเขาสักวันสองวันได้หรือไม่
หลี่เอ้อร์ยิ้มบอกว่ามีอะไรที่ไม่ได้เล่า ถือเสียว่าเป็นบ้านตัวเองเถอะ
หลี่เอ้อร์ลงจากภูเขาไปก่อน
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงท่าเรือ ข่มกลั้นความเจ็บปวดที่ไม่เพียงแต่มาจากบาดแผลบนเรือนกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแรงสะเทือนบนจิตวิญญาณ ยกฝ่ามือตบลงบนหัวเรือเบาๆ เรือลำน้อยพลันจมดิ่งลงน้ำ จากนั้นก็ลอยพรวดขึ้นมาเหนือผิวน้ำอีกครั้ง การไปการกลับครั้งนี้ คราบเลือดในเรือก็หายเกลี้ยงไม่มีหลงเหลืออยู่อีก
เขาถึงได้ไปที่กระท่อมหลังนั้น ยังต้องหิ้วน้ำต้มน้ำ ทุกก้าวที่เดินมีแต่ความทรมาน
เช้าตรู่วันถัดมา เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่สะอาดเอี่ยม แล้วก็ลงมาจากยอดเขาสิงโต
ร้านผ้าเพิ่งจะเปิดร้าน เฉินผิงอันกินอาหารเช้าไปหนึ่งมื้อก็มาช่วยท่านอาหลิ่วทำการค้า
ทำเอาสตรีแต่งงานแล้วรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ แล้วก็ต้องเรียนรู้คัมภีร์ทำการค้าบางอย่างมาจากเด็กรุ่นหลังคนนี้
เพื่อนบ้านใกล้เคียงบางส่วนที่เดิมทีเคยทะเลาะกับสตรีหน้าดำหน้าแดง ตอนนี้พอเห็นสตรีกลับมีรอยยิ้มส่งมาให้
สตรีแต่งงานแล้วทั้งดีใจทั้งกลัดกลุ้ม
เด็กรุ่นหลังที่ดีขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ใช่ลูกเขยบ้านตนนะ?
ดังนั้นหลี่หลิ่วที่มาถึงบ้านอย่างเชื่องช้าจึงได้เห็นคนหนุ่มคนนั้นกำลังขายผ้าให้ลูกค้าอย่างกระตือรือร้น
หลี่หลิ่วอึ้งตะลึงไป
นางเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูมาก็ถูกมารดาแอบยื่นสองนิ้วมาบิดตรงเอวบางของนาง แต่กระนั้นก็ตัดใจลงน้ำหนักมือมากไม่ลง ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบุตรสาว ไม่ใช่บุรุษของตน สตรีแต่งงานแล้วบ่นว่า “เจ้าเด็กไม่ได้เรื่อง”
หลี่หลิ่วยิ้มตาหยีสีหน้าอ่อนโยน ยามที่อยู่บ้าน นางมักจะเป็นพี่สาวของหลี่ไหวที่เออออเอาใจคนในบ้านเสมอ
มีเฉินผิงอันคอยช่วยเรียกลูกค้าให้ อีกทั้งยังมีหลี่หลิ่วคอยเฝ้าร้าน สตรีจึงไปทำกับข้าวที่เรือนด้านหลังได้อย่างสบายใจ หลี่เอ้อร์นั่งบนม้านั่งตัวเล็ก หยิบปล้องไม้ไผ่มาเป่าไฟ
ฉวยโอกาสตอนที่ในร้านยังไม่มีลูกค้า เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะคิดเงิน พูดเบาๆ กับหลี่หลิ่วที่กำลังยืนดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะว่า “ดูเหมือนว่าจะทำให้ท่านอาหลิ่วเข้าใจผิดแล้ว ขอโทษด้วยนะ แต่ท่านอาหลี่ช่วยอธิบายให้ชัดเจนแล้วล่ะ”
หลี่หลิ่วเงยหน้าขึ้น ยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนกดเสียงลงต่ำถามกลั้วหัวเราะว่า “ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
หลี่หลิ่วดีดลูกคิดเบาๆ คำนวณรายรับรายจ่ายประจำวันของร้านผ้าเล็กๆ แห่งนี้ตามสมุดบัญชีลายมือมารดาที่เหมือนกับยันต์ผีอย่างละเอียด นางเงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆ “ข้าไม่ชอบทั้งหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิ่ง”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีนึกว่าในสองคนนี้ ไม่ว่าอย่างไรหลี่หลิ่วก็น่าจะชอบสักคน
เพียงแต่ว่าชอบใครไม่ชอบใคร ก็ไม่มีเหตุผลให้อธิบายได้จริงๆ
หลี่หลิ่วยิ้มถาม “การที่เจ้าไม่ยอมอยู่บนยอดเขาสิงโต เพราะรู้สึกว่าในเมืองที่ไม่ว่าใครก็ไม่รู้จักเจ้าแห่งนี้ ค่อนข้างคล้ายคลึงบ้านเกิดตอนที่ยังเป็นเด็กใช่ไหม? กลับกลายเป็นว่าไม่คุ้นเคยกับเมืองเล็กของบ้านเกิดในทุกวันนี้ไปแล้ว?”
เฉินผิงอันเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน มองไปยังถนนนอกประตูแล้วพยักหน้ารับเบาๆ
หลี่หลิ่วไม่เอ่ยอะไรอีก
เงียบกันไปครู่หนึ่ง หลี่หลิ่วก็ปิดสมุดบัญชีลง ยิ้มถาม “ได้เงินมาเพิ่มสามตำลึง”
เฉินผิงอันยังคงยืนเอนตัวพิงกับโต๊ะ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องของการทำการค้านี้ ข้ามีพรสวรรค์มากกว่าการเผาเครื่องปั้น”
หลี่หลิ่วถาม “เจ้าได้ยินเรื่องเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของสำนักชิงเหลียงหรือยัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ระหว่างทางที่โดยสารเรือข้ามฟากมายังยอดเขาสิงโต เคยเห็นจากรายงาน”
กินอาหารเย็นแล้ว
เฉินผิงอันก็ขอตัวลากลับขึ้นไปบนภูเขา ไม่ได้เลือกพักค้างคืนในห้องของหลี่ไหว
สตรีแต่งงานแล้วทอดถอนใจ หันหน้ามาเห็นว่าหลี่หลิ่วนั่งเฉยก็ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากบุตรสาว “มัวนั่งอึ้งอยู่ทำไม เดินไปส่งคนเขาสิ”
หลี่หลิ่วมองหลี่เอ้อร์
หลี่เอ้อร์นั่งนิ่งไม่ขยับ
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าใจ ปากก็พึมพำว่าช่างเถอะๆ แตงที่ฝืนเด็ดออกจากต้นย่อมไม่หวาน
หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มหวาน หลี่เอ้อร์ก็ยิ้มกว้าง
สตรีแต่งงานแล้วหันมาถลึงตาใส่หลี่หลิ่ว “หลี่ไหวเหมือนข้า เจ้าน่ะเหมือนพ่อเจ้า”
เฉินผิงอันมาถึงบนยอดเขาสิงโต เดินผ่านพันธนาการภูเขาสายน้ำมาถึงกระท่อม เขานั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้นเดินไปที่ท่าเรือ ถ่อเรือแจวไปบนทะเลสาบผิวกระจกเพียงลำพัง ถอดรองเท้าหุ้มแข้งไว้บนเรือลำเล็ก ม้วนชายขากางเกงขึ้นแล้วฝึกหมัดเลียนแบบท่าของจางซานเฟิง