บทที่ 402 เส้นทางอันกว้างใหญ่
วันนี้ไป๋เยี่ยเรียกทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนการอันยิ่งใหญ่
การจะพลิกโลกอุตสาหกรรมใดๆ ล้วนเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่และยากลำบาก
ถึงแม้ว่าการแพทย์ฉุกเฉินจะพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและได้รับความสนใจบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดของมันจะเล็กไปด้วย
ไป๋เยี่ยขอให้อาคามอสและคนอื่นๆ ทำการค้นคว้ามาบ้างแล้ว พบว่าในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ฉุกเฉินนั้นเติบโตจากหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1999 ขึ้นมาเป็นสามหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน
นับเป็นตลาดที่น่ากลัวมาก แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะสนใจมันจริงๆ
ทำไมล่ะ
เหตุผลแรกเป็นเพราะการลงทุนกับสาขาวิชานี้จะพัฒนาธุรกิจไปได้ค่อนข้างช้า ถ้าคุณต้องการทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านนี้ก็ต้องลงทุนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งนวัตกรรมต่างๆ ยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยากที่จะได้รับผลตอบแทน
กล่าวคือ หากคุณลงทุนไปจำนวนหนึ่งพันล้านหยวน วงจรในตลาดนี้กินเวลาราวๆ สามถึงสี่ปี คุณจะเริ่มได้กำไรตั้งแต่ปีที่สี่เป็นต้นไป และทุกๆ ปีคุณอาจจะทำเงินได้ราวๆ ห้าร้อยล้านถึงหนึ่งพันล้านหยวนเท่านั้น แต่ไม่แน่ว่าในปีที่สามคุณอาจจะกำลังค้นคว้าสิ่งที่ล้าหลังอยู่ก็ได้
ลงทุนไปก็สูญเปล่า!
ดังนั้นสาขาวิชานี้จึงมีพัฒนาการในลักษณะไม่ปกติเท่าไหร่ บริษัทใหญ่ไม่คิดจะพัฒนา ส่วนบริษัทเล็กก็พัฒนาต่อไปไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ไป๋เยี่ยค้นพบ
จากที่ไป๋เยี่ยคาดคะเนไว้ ถึงแม้ว่าตอนนี้มูลค่าตลาดจะอยู่ที่ประมาณสามหมื่นล้านดอลลาร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าขีดจำกัดของมันคือสามหมื่นล้านดอลลาร์นี่นา
ถ้าไป๋เยี่ยยกระดับองค์ความรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินสมัยใหม่ได้สำเร็จ ได้เป็นผู้กำหนดแนวทางและกลายเป็นผู้มีอำนาจในโลกแห่งการแพทย์ฉุกเฉินล่ะก็ ตลาดนี้จะต้องกลายเป็นของไป๋เยี่ยแน่นอน!
แต่เพราะอะไรไป๋เยี่ยถึงไม่ทำแบบนี้กับสาขากระดูกและข้อบ้าง
ไป๋เยี่ยเป็นเพียงแพทย์ที่นำความรู้ของเขามาสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้ผู้อื่นได้ประจักษ์ แต่เขาไม่ใช่คนที่จะทำลายการผันแปรไปของเวลาได้
บนโลกนี้มีบริษัทเกี่ยวกับการแพทย์มากมาย องค์กรจำนวนนับไม่ถ้วนและสถาบันวิจัยเกี่ยวกับกระดูกและข้อทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กนับหมื่นแห่ง และทุกฝ่ายก็กำลังทำการวิจัยในสาขานี้
ถ้าไป๋เยี่ยพลิกโลกแห่งการศัลยกรรมกระดูกได้จริงๆ เขาก็คงจะเป็นคนที่เดินไปได้ไกลที่สุดโดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
โลกไม่เคยขาดแคลนอัจฉริยะ นับประสาอะไรกับบุคลากร สิ่งที่ขาดคือคนที่เข้าใจความเป็นไปของยุคสมัย
ว่ากันว่าในอดีตเคยมีเครื่องบินลำหนึ่งเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา บนเครื่องมีนักวิทยาศาสตร์หลายสิบคน ซึ่งทุกคนในนั้นเป็นสมาชิกทีมต่อต้านโรคเอดส์ ทว่าระหว่างที่เครื่องบินออกเดินทางไปได้เพียงครึ่งทาง ก็ดันเกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ทำให้ทุกคนบนเครื่องเสียชีวิตทันที ไม่หลงเหลือร่องรอยแม้กระทั่งเถ้ากระดูก
ไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ไร้ข้อครหา นั่นคือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ไอน์สไตน์เคยถูกไล่ล่าและถูกลอบสังหารนับสิบครั้ง ผู้คนที่มีส่วนร่วมในการปกป้องไอน์สไตน์ในตอนนั้นถึงกับบอกว่ามีคนต้องสละชีวิตไปมากกว่าสี่คนเพียงเพื่อปกป้องไอน์สไตน์
เบื้องหลังนวัตกรรมใดๆ ย่อมเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
ไป๋เยี่ยคิดว่าตนยังไม่มีความสามารถถึงขั้นนั้น จึงได้แต่แสวงหาชัยชนะต่อไป เขายังไม่มีความสามารถนี้ ดังนั้นเขาจึงชนะได้อย่างต่อเนื่อง ความรู้ไม่ได้มีอำนาจเสมอไป แต่เมื่อเราสะสมความรู้ได้ถึงจุดหนึ่งแล้ว มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทรงอำนาจจริงๆ!
ตอนนั้นที่เฉินเจิ้นปั่งมาขอให้ไป๋เยี่ยเข้ามาอบรมทีมกู้ภัยฉุกเฉิน ไป๋เยี่ยก็กำลังคิดเรื่องนั้นอยู่พอดี เหตุผลที่เขายอมเข้าร่วมก็เพราะดินแดนแห่งนี้เป็นบ้านเกิดของเขา หากมีทหารคอยปกป้องคุ้มกัน ดินแดนแห่งนี้จะต้องอยู่ในความปลอดภัยอย่างแน่นอน
แต่เขาก็ไม่ได้เข้าร่วมกองทัพเพราะเหตุนั้นด้วย เพราะว่าถ้าเขาเข้าไป เขาจะถูกจำกัดสิทธิ์ในหลายๆ อย่าง
บางครั้งชื่อเสียงก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่บางครั้งก็ไม่
เช่นเดียวกับซุปเปอร์สตาร์ปิงปิง เมื่อก่อนเธอเป็นถึงผู้ทรงอิทธิพลในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะไปเมืองไหนก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ออกมาต้อนรับ แล้วดูตอนนี้สิ
สิ่งใดก็ตามจะอยู่ยงคงกระพันได้ก็ต่อเมื่อมันมีศักยภาพพอที่จะคงอยู่ต่อไปได้เท่านั้น
ซึ่งศักยภาพที่ว่านี้ ต้องเป็นศักยภาพจริงๆ ด้วย!
ก็เหมือนกับดารา ถ้ามีคนชื่นชอบคุณ คุณก็คือดารา แต่ถ้าไม่มีใครชื่นชอบคุณเลย คุณก็เป็นเพียงคนทั่วไป
ชื่อเสียงเปรียบดั่งสกุลเงินจอมปลอมชนิดหนึ่ง ถ้าคนที่สร้างเวทีจอมปลอมเหล่านั้นขึ้นมาไม่ยินยอมที่จะให้คุณขึ้นไปยืนบนนั้น รัศมีของคุณก็จะหายวับไปในพริบตา
สิ่งที่ไป๋เยี่ยต้องการทำคือการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ตนเอง
และการแพทย์ฉุกเฉินก็คือสิ่งที่ไป๋เยี่ยวางแผนไว้!
ตอนแรกเขาไปที่เมียนมาเพื่อกู้ภัย แต่ต่อมาเขาก็ได้รับตำแหน่งข้าราชการและที่ดินกลับมาด้วย
ประเทศเมียนมาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เป็นกลางมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง
ไม่ว่าจะเป็นสงครามครั้งไหน ที่ดินของประเทศแห่งนี้ก็ไม่เคยได้รับผลกระทบเลย
ในทำนองเดียวกัน ประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชียอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์และประเทศอื่นๆ ต่างก็มีอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้ามากสุดในโลกเช่นกัน
ต่อมาไป๋เยี่ยก็ได้รู้จักกับอาคามอสซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินของโลก จากนั้นทีมของเขาก็ได้มาเข้าร่วมกับไป๋เยี่ย ทำให้แผนการนี้ยิ่งก้าวไปข้างหน้าอีก
การจะสร้างทีมใดๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ยากสำหรับหลายองค์กร แต่ไป๋เยี่ยก็ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่ไป๋เยี่ยกลับมาที่จีน เขาก็ได้รับการยอมรับโดยเขตกองทัพปักกิ่งและได้รับโอกาสจากเฉินเจิ้นปั่งให้มาฝึกอบรมสมาชิกทีมกู้ภัยฉุกเฉินกว่าสองร้อยคน
นี่คือการทดสอบอย่างหนึ่ง และเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดด้วย!
ถ้าเขาทำได้ ความสำเร็จก็อยู่แค่เบื้องหน้าแล้ว!
เพราะว่าระหว่างการฝึกอบรม ไป๋เยี่ยก็ได้บรรลุองค์ความรู้ต่างๆ แล้ว
ทุกอย่างล้วนเป็นความหวังทั้งสิ้น!
อันที่จริง ไป๋เยี่ยค่อนข้างเสียดายที่นี่เป็นเพียงการฝึกซ้อม ไม่ใช่การทำสงครามจริงๆ หากเป็นเช่นนั้น ไป๋เยี่ยก็อาจจะมีโอกาสได้แสดงความสามารถของตนเอง
แต่เป็นแบบนี้ก็ไม่แย่ เพราะเมื่อถึงเวลาทุกคนก็จะได้รู้ว่าสมาชิกทีมกู้ภัยทั้งสองร้อยคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ!
ไป๋เยี่ยวางแผนไว้หมดแล้ว
มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ไป๋เยี่ยประหลาดใจได้
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับสวีเสี่ยวเฉียน
ไป๋เยี่ยอยากจะขอบคุณ ‘หมอนั่น‘ จากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ ถึงแม้ว่าสวีเสี่ยวเฉียนจะโง่เง่าไปบ้าง แต่เขาก็เป็นคนรู้จักคิดคนหนึ่ง
อันที่จริงความคิดที่จะจัดตั้งสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งสมาคมแพทย์นั้นเป็นความคิดที่ดี แถมเขายังดึงหวังชิ่งหยวนให้เข้ามาร่วมด้วยได้อีก
แต่ ‘เจ้าหมอนั่น‘ กลับหายไปเสียดื้อๆ ทิ้งไว้เพียงเรื่องสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินที่ ‘เละไม่เป็นท่า’ เท่านั้น
ทว่าเรื่องที่น่าประหลาดใจก็คือ หวังชิ่งหยวนเป็นคนเอ่ยปากชวนไป๋เยี่ยให้เข้ามาเป็นประธานสาขาด้วยตนเองนี่แหละ!