บทที่ 766 คืนก่อนเผด็จศึก

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 766 คืนก่อนเผด็จศึก

Ink Stone_Fantasy

หมายเลขสาม ‘นักบวชเต๋าจินเหลียน ตบะของท่านฟื้นฟูเป็นเช่นไรบ้าง’

หมายเลขเก้า ‘อาตมาฟื้นคืนสู่ขั้นสองแล้ว ปัจจุบันกำลังทำให้คงอยู่ในระดับอย่างมั่งคง ฮึ่ม หลังจากเจตจำนงของเฮยเหลียนเริ่มดับสูญ การขัดเกลาเขาก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ อีกต่อไป’

หมายเลขสาม ‘ลั่วอวี้เหิงกำลังจะเข้าช่วงหนีเคราะห์กรรมแล้ว’

คำพูดประโยคหนึ่งของสวี่ชีอันทำให้สมาชิกพรรคฟ้าดินตื่นตระหนกด้วยความยินดี และเป็นกังวล

แน่นอนว่าที่ตื่นตระหนกด้วยความยินดีเป็นเพราะหากลั่วอวี้เหิงย่างกรายเข้าสู่ระดับเซียนครองพิภพ ต้าฟ่งก็จะมียอดฝีมือขั้นหนึ่งเพิ่มมาหนึ่งคน นี่จึงจะมีศักยภาพในการตีเสมอกับอวิ๋นโจวอย่างแท้จริง

ที่เป็นกังวลก็เพราะนี่หมายความว่าจะเผชิญการตอบโต้อย่างบ้าคลั่งจากบรรดาระดับบรรลุธรรมของอวิ๋นโจว เจียหลัวซู่และไป๋ตี้ก็มากพอที่จะปราบปรามต้าฟ่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโหรผู้ไม่เคยคำนวณแผนการผิดพลาดอย่างสวี่ผิงเฟิง

ประมาทเพียงครั้งเดียว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าราชครูอาจจะตัวตายเต๋าสลาย

หมายเลขสาม ‘นักบวชเต๋าจินเหลียน ท่านเข้าใจชะตากรรมของลัทธิเต๋าเพียงใด’

หมายเลขเก้า ‘นี่เป็นความลับของลัทธิเต๋าน่ะ เอาเถอะ เล่าให้ประสกฟังสักหน่อยแล้วกัน’

‘เป็นที่รู้กันดีว่าขั้นหนึ่งของลัทธิเต๋าชื่อว่า ‘เซียนครองพิภพ’ แต่พลังที่เป็นหัวใจหลักของระดับนี้กลับมีคนรู้น้อยมาก เซียนครองพิภพอยู่นอกเหนือสังสารวัฏ และไม่ได้อยู่ระหว่างธาตุทั้งห้า สามารถเล่นแร่แปรธาตุ เคลื่อนภูผาย้ายสมุทร

‘คำบรรยายช่วงนี้ บอกเป็นนัยว่าความสามารถที่เป็นหัวใจสำคัญสองอย่างหลักๆ ของเซียนครองพิภพคือร่างฝืนชะตากรรมและพลังแปรเปลี่ยนความเน่าเปื่อยเป็นอิทธิปาฏิหาริย์’

หมายเลขสาม ‘ฝืนชะตากรรม? นี่เหมือนกับร่างอมตะของจอมยุทธ์หรือไม่?’

สวี่ชีอันมีปฏิกิริยาเฉียบไวต่อ ‘ฝืนชะตากรรม’ เป็นพิเศษเนื่องจากเขาเพิ่งได้ฟังความพิเศษของวิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นหนึ่งจากเสินซู

หมายเลขเก้า ‘ไม่ใช่แน่นอน หากต้องการจัดประเภทของระบบลัทธิเต๋า มีสองเส้นทาง แก่นปราณและรวมปราณเป็นหนึ่งเส้นทาง เทพเจ้าหยินและเทพเจ้าหยางเป็นหนึ่งเส้นทาง หนีเคราะห์กรรมขั้นสองเป็นกระบวนการหลอมรวมทั้งสองเส้นทาง

‘เมื่อเส้นทางแก่นปราณไปถึงขีดสุด ก็คือฝืนชะตากรรม คุณสมบัติพิเศษของมันก็คือการต้านทานวรยุทธ์ทั้งหมด เมื่อเส้นทางเทพเจ้าหยินไปถึงขีดสุด ก็คือการหลอมรวมร่างธรรมทั้งสี่ ‘ดิน น้ำ ลม ไฟ’ ไว้ที่กายหยาบ

‘ในตำราของลัทธิเต๋าบันทึกไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งทั่วฟ้าดิน ล้วนประกอบจากดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยเหตุนี้เมื่อบรรลุระดับเซียนครองพิภพ จึงมีพลังเล่นแร่แปรธาตุ แปรเปลี่ยนความเน่าเปื่อยเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งแน่นอนว่า ระบบของโหรคิดว่า พลังห้าธาตุ ทอง ไม้ น้ำ ไฟและดินเป็นบ่อเกิดของทุกสรรพสิ่งทั่วฟ้าดิน’

ผู้คนในพรรคฟ้าดินฟังจนเคลิ้มหลง กระทั่งลี่น่าเองก็มีท่าทีที่รู้สึกถึงความร้ายกาจ

ดูสิ ดูลัทธิเต๋าขั้นหนึ่งของเขาสิ ฟังดูสูงส่งนัก เทียบกันแล้ว จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งหยาบช้าเสียจริงเลย…สวี่ชีอันแขวะอย่างไร้สุ้มเสียง

แต่กรณีของระบบจอมยุทธ์นั้นพิเศษ หากกล่าวอย่างกวดขัน ระบบจอมยุทธ์ไม่มีระดับบรรลุธรรม เป็นเพราะปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์แบ่ง ‘เทพยุทธ์’ เป็นสองระดับอย่างผิดธรรมชาติ

จากการคาดคะเนของสวี่ชีอันเอง นี่คงเป็นเพราะ ‘เทพยุทธ์’ ค่อนข้างพิเศษ ตั้งแต่กาลเวลาอันไม่รู้จุดเริ่มเป็นต้นมา เพดานของจอมยุทธ์ทั้งหมดถึงเพียง ‘แก่นแท้ ลมปราณและจิต’ สามรวมเป็นหนึ่ง หากคิดจะเลื่อนขั้นอีกก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

แต่สามรวมเป็นหนึ่งมีเพียงเงื่อนไขในการเป็นเทพยุทธ์ กลับเป็นคู่แข่งที่สูสีกับขั้นหนึ่งของระบบอื่น เพราะเช่นนี้จึงแบ่งระดับนี้เป็นขั้นหนึ่งโดยตรง

แต่เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเทพยุทธ์ ดังนั้นชื่อเรียกจึงถูกเว้นว่างไว้

เสินซูถูกเรียกว่าครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ เป็นเพราะเขาบำเพ็ญระดับนี้ถึงขีดสุด

หมายเลขเก้า ‘ชะตากรรมทั้งหมดแบ่งเป็นห้าขั้น ขั้นที่หนึ่งคือชะตาโอสถสุวรรณ ขั้นที่สองคือชะตาวายุพิโรธ ขั้นที่สามคือชะตาปฐพีคำรณ ชะตาวารีร่ำไห้ ขั้นที่ห้าชะตาเพลิงอัสนีบาต’

‘ชะตากรรมทั้งห้าขั้นแบ่งเป็นสองช่วง ซึ่งสอดคล้องกับความสามารถหลักทั้งสองของเซียนครองพิภพ กินระยะเวลาถึงสิบสามวัน เมื่อเทพเจ้าหยางหลอมรวมกับกายหยาบ ก็สามารถบรรลุระดับเซียนครองพิภพ’

‘สิบสามวัน’…ผู้คนเกิดความเหน็บหนาวในจิตใจ

บัดนี้ต้าฟ่งมีขั้นสองห้าคน แต่ลั่วอวี้เหิงซึ่งกำลังหนีเคราะห์กรรมไม่สามารถคิดรวมในกำลังรบได้ จึงเหลือเพียงสี่คนได้แก่ สวี่ชีอัน จินเหลียน อาซูหลัว และโค่วหยางโจว

ขั้นสองสี่คนสามารถค้ำถ่อไปสิบสามวันภายใต้เงื้อมมือของเจียหลัวซู่และไป๋ตี้ได้หรือไม่

คำตอบคือไม่

หมายเลขเก้า ‘ไม่ต้องตื่นตระหนก อาตมาบอกไปแล้วว่า ชะตากรรมแบ่งเป็นสองช่วง หลังจากชะตาโอสถสุวรรณ จะมีเวลาพักหายใจสิบวัน เพื่อให้เวลาผู้หนีเคราะห์กรรมทำให้ ‘ร่างฝืนชะตากรรม’ คงเสถียรภาพ

‘ชะตาโอสถสุวรรณและ ‘ชะตาร่างธรรมทั้งสี่’ แตกต่างกัน และอยู่คนละช่วงกัน’

หมายเลขหนึ่ง ‘เชิญองค์เทพนิกายสวรรค์มาช่วยได้หรือไม่’

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยถาม

หมายเลขสอง ‘เป็นไปไม่ได้’

หมายเลขเจ็ด ‘อย่าคิดเลย’

มังกรหมอบและหงส์ดรุณแห่งนิกายสวรรค์ปฏิเสธข้อเสนอแนะของนางในทันที

หมายเลขสี่ ‘แต่ข้าจำได้ ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์สำคัญสำหรับองค์เทพอย่างยิ่ง’

หมายเลขสอง ‘เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสิ่งที่นิกายสวรรค์ของพวกเราฝึกคืออะไร คือการตัดอารมณ์ความรู้สึก ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์สำคัญสำหรับองค์เทพจริงแท้แน่นอน แต่ความรู้สึกและจุดประสงค์ส่วนตนไม่อาจครอบงำองค์เทพได้’

หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง หากองค์เทพจะแทรกแซงชะตากรรมของลั่วอวี้เหิงเพราะความรู้สึกและจุดประสงค์ส่วนตน เช่นนั้นก็คงไม่ใช่เพราะการตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้ว

การตัดความรู้สึกไม่ใช่การไม่มีความรู้สึก แต่หากกล่าวจากบางมุมมอง การตัดความรู้สึกก็คือการไม่มีความรู้สึก

เนื้อแต่ต่างกัน แต่การแสดงออกภายนอกกลับเหมือนกัน

พวกเขาคงไม่ลงโทษเพราะคนเลววางเพลิงฆ่าคน และก็คงไม่ยกย่องเพราะคนดีทำบุญสมสร้างกุศล

จุดประสงค์สุดท้ายของการตัดอารมณ์ความรู้สึกคือสวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง

แต่ฟ้าดินยุติธรรมเป็นที่สุด ไม่เคยลงโทษคนชั่ว และก็ไม่เคยให้รางวัลคนดี

หมายเลขเก้า ‘พวกนิกายสวรรค์น่ะหรือ ประสกไม่อาจใช้การพวกเขา ไม่อาจดึงพวกเขาเข้าพวก เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว’

‘กลับเป็นหลี่เมี่ยวเจินและหลี่หลิงซู่ สองคนนี้ที่อาจกลายเป็นภัยที่แฝงเร้น’…นักบวชเต๋าจินเหลียนตัดสินใจคุยเรื่องศิษย์พี่ศิษย์น้องกับสวี่ชีอันเป็นการส่วนตัว

ช่างเป็นปัญหาเสียจริง

นิกายสวรรค์นำของไม่ได้มาตรฐานกลับมาใช้ใหม่ หากสวี่ชีอันไม่ยินยอม จะก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างแน่นอน

หมายเลขเจ็ด ‘ระดับบรรลุธรรมของเผ่าพันธุ์กู่ไม่สามารถให้การช่วยเหลือได้ เชิญจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ของอาณาจักรหมื่นปีศาจมาช่วยไม่ดีกว่าหรือ’

หมายเลขแปด ‘หากจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและเสินซูมาที่ราบลุ่มภาคกลาง อาณาจักรหมื่นปีศาจก็จะหายวับไปกับตา ก่อนพูดใช้สมองสักหน่อย รู้ให้ดีว่าศัตรูของตนเองเป็นใคร’

บรรดาพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ล้วนเป็นผู้คิดการรอบคอบ ไม่ต้องพูดถึงสวี่ผิงเฟิงผู้ขึ้นชื่อเรื่องการคิดแผนและการวางหมาก

หลังเงียบไปเป็นเวลานาน จ้วงหยวนหลางผู้เป็นหนึ่งในมันสมองของพรรคฟ้าดินจึงเอ่ยขึ้นว่า

‘ปัจจุบันมีเพียงสองวิธี เพิ่มพลังต่อสู้ของฝ่ายตนและลดทอนพลังต่อสู้ของฝ่ายศัตรู

‘พันธมิตร ตัวเลือกนี้ลบออกไปก่อนเลย ลองเพิ่มพลังต่อสู้ดีกว่า อย่างเช่นการอัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์’

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยคัดค้านเป็นคนแรกว่า

หมายเลขหนึ่ง ‘อย่างแรก ท่านโหราจารย์เคยอัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์มาแล้วครั้งหนึ่ง พลังของดาบสลักและมงกุฎแห่งปราชญ์ไม่มากพอที่จะอัญเชิญอีกครั้งในช่วงสั้นๆ นอกจากนี้ พลังของระดับบรรลุธรรมแข็งแกร่งเกินไป หากอัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ สวี่ชีอันอาจมีความเสี่ยงในการเสียชีวิต เว่ยกงและท่านโหราจารย์ก็คือตัวอย่าง’

คงจะเป็นคำสาป ทุกคนที่อัญเชิญปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ล้วนจบไม่ดีทั้งสิ้น

ฮว๋ายชิ่งจำต้องเชื่อว่า นี่ก็คือการแว้งกัดของกฎแห่งสวรรค์

นางไม่ยอมให้สวี่ชีอันแบกรับความเสี่ยงนี้

ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยต่อว่า

‘เช่นนั้นก็ลดทอนศัตรู จัดแจงสถานที่หนีเคราะห์กรรมของราชครูไว้ที่ชายแดนตอนเหนือ หากผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมของอวิ๋นโจวตอนเหนือกล้ายกออกมาทั้งรัง พวกเราก็ย่ำชิงโจวและอวิ๋นโจวให้ราบเสียตรงๆ ซุนเสวียนจีเป็นขั้นสาม ไม่จำเป็นต้องเอามารวมกับยุทธการหนีเคราะห์กรรม’

โค่วหยางโจวเป็นจอมยุทธ์ มีหน้าที่ซ้ำซ้อนกับหมายเลขแปดและหมายเลขสาม ไม่ต้องเข้าร่วมยุทธการก็ได้ ให้กวาดล้างชิงโจวและอวิ๋นโจวร่วมกับซุนเสวียนจี’

หลี่หลิงซู่ใช้นิ้วเขียนแทนพู่กันว่า “กลอุบายของเจ้านี้ สวี่ผิงเฟิงจะมองไม่ออกหรือ ก่อนพูดต้องใช้สมองสักหน่อย…”

เขานิ่งอึ้งไปอย่างกะทันหัน จากนั้นรีบลบข้อความนี้ไป

เขาเข้าใจความหมายของฉู่หยวนเจิ่นแล้ว ที่ไม่กลัวสวี่ผิงเฟิงมองออก เพราะจุดประสงค์หลักของแผนนี้ก็คือการตรึงกำลัง

หากพึ่งจีเสวียนเพียงอย่างเดียว แน่นอนว่าคงขวางซุนเสวียนจีและโค่วหยางโจวไม่ได้ เช่นนั้นสวี่ผิงเฟิงก็ต้องคงกำลังไว้

หรือก็คือ ในวันหนีเคราะห์กรรม ศัตรูที่พวกเขาเผชิญหน้าก็เหลือเพียงเจียหลัวซู่และไป๋ตี้

‘การกำจัดบุคคลระดับบรรลุธรรมบางส่วนในสนามรบ สามารถป้องกันเหตุสุดวิสัยล่วงหน้าได้อย่างมีประสิทธิผลอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอาวุธเวทมนตร์ที่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งทิ้งไว้ให้สวี่ผิงเฟิง’…อาซูหลัวไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ ก่อนส่งข้อความไปว่า

‘ต่อให้เป็นแบบนี้ก็ตาม หากพึ่งพากำลังของพวกเราสี่คน ก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจียหลัวซู่และไป๋ตี้อยู่ดี’

เขายอมเอาโค่วหยางโจวออกจากกลุ่ม และเลือกจ้าวโส่วผู้อยู่ในขั้นสามระดับสูงสุดเป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม แม้พลังต่อสู้ของจอมยุทธ์ขั้นสองจะต้องแข็งแกร่งกว่าลัทธิขงจื๊อขั้นสามอย่างแน่นอนก็ตาม แต่ความสามารถของโค่วหยางโจวและสวี่ชีอันยังมีสิ่งที่ซ้ำซ้อนกับตนเอง

และกลวิธีของลัทธิขงจื๊อผิดแผกจนแหวกขนบ คุณภาพเมื่อเทียบราคาของจ้าวโส่วจึงต้องสูงกว่าโค่วหยางโจว

นอกจากนี้ พลังในการโจมตีของจ้าวโส่วไม่มากพอ หากให้เขาไปเผชิญหน้าสวี่ผิงเฟิง อย่างมากสุดทั้งสองฝ่ายคงสูสีกัน

แต่โค่วหยางโจวเป็นจอมยุทธ์ หากเขาสามารถคว้าโอกาสเข้าประชิดจีเสวียนหรือสวี่ผิงเฟิงได้ เช่นนั้นคงมีความเป็นไปได้ที่จะปิดฉากในชุดเดียว

จ้วงหยวนหลางยังมีของบางอย่าง…สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้ว ก่อนส่งข้อความไปว่า

‘อีกสามวันเจอกัน’

ณ คฤหาสน์แห่งหนึ่งในสวินโจว

ในเรือนตะวันออก เย่จีวางกระถางธูปจิ้งจอกสำริดไว้บนโต๊ะชา จุดไม้จันทน์สีดำ และสูดหายใจลึก

ควันเทาหม่นลอยหมุนขึ้นเป็นเกลียว นางหายใจสูดควันลึกเข้าโพรงจมูก

ชั่วขณะหนึ่ง แสงขาวใสที่มีลักษณะเป็นละอองน้ำลอยเหนือตาซ้าย ดวงจิตอันแข็งกล้าปรากฏ

“องค์หญิง ลั่วอวี้เหิงใกล้จะหนีเคราะห์กรรมแล้ว”

เย่จีเปิดประตูออกไปเห็นภูเขา พร้อมเอ่ยคำร้องขอของตนเองว่า

“องค์หญิงโปรดลงมือช่วยด้วย”

“ความรักทำให้เจ้าสติปัญญาเลอะเลือน ไร้หัวสมอง เดิมเจ้าอาณาจักรควบคุมสำนักพุทธไว้ ในขณะเดียวกันก็ถูกสำนักพุทธควบคุม ช่วยเขาไม่ได้เลย”

เย่จีเอ่ยวิงวอนว่า

“หากท่านไม่ช่วยเขา ผู้ใดจะช่วยเขาได้หรือ อวิ๋นโจวคงไม่เบิ่งตามองลั่วอวี้เหิงหนีเคราะห์กรรมสำเร็จหรอก ความแข็งแกร่งของขั้นหนึ่งท่านคงรู้ดี สวี่หลางไร้แผนเอาชนะ”

“หากเขาแพ้ อาณาจักรหมื่นปีศาจก็มีโอกาสล่มสลายเช่นเดียวกัน”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า

“เจ้าทำเพื่ออาณาจักรหมื่นปีศาจ หรือทำเพื่อชายคนรักของเจ้า ในบรรดาพี่น้องของพวกเจ้า หากมีใคนสักคนสามารถเลื่อนขึ้นระดับบรรลุธรรม ข้าก็จะมีความมั่นใจที่จะโจมตีขั้นหนึ่ง แต่พวกเจ้าเกิดมาไม่กี่ร้อยปี ตั้งแต่เย่จียังไม่โต การรวมตัวของเก้าหางยังอีกไกลลิบ นี่ก็คือโชคชะตา”

เมื่อตำหนิจบ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า

“เจ้าหนุ่มนั่นไม่ใช่คนไม่มีพื้นเพ ผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรมของต้าฟ่งล้วนเป็นคนธรรมดา จ้าวโส่ว จินเหลียน อาซูหลัวและจักรพรรดินีผู้นั้น…ครั้นฟ้าถล่มลง พวกเขาจะยันไว้

“เมื่อใดจะถึงตาจิ้งจอกน้อยอย่างเจ้าต้องเป็นทุกข์”

จิ้งจอกเก้าหางไม่สบอารมณ์ที่นางไม่เป็นดั่งหวัง เอ่ยด้วยท่าทีไม่ดีว่า

“ชีวิตเป็นภรรยารอง กุมหัวใจของภรรยาเอก”

ณ สำนักโหราจารย์

ฮว๋ายชิ่งในชุดที่สวมใส่ในชีวิตประจำวันเดินขึ้นมาเพียงคนเดียวโดยให้สาวรับใช้และขันทีรอที่ชั้นล่าง

นางสวมเสื้อสีน้ำเงินอ่อนลายปักมังกรทองห้ากรงเล็บ ด้ายขาวเค้าร่างเป็นลายเมฆที่ซับซ้อน รัดเอวด้วยสายคาดเอวหยก และสวมมงกุฎทองคำไว้ที่ศีรษะ

เมื่อชุดเปิดไหล่ข้างหนึ่งที่ใส่เป็นประจำนี้สวมอยู่บนตัวนาง มันทั้งแผ่ชัดไปด้วยราศีของจักรพรรดิ และหลอมรวมกับท่าทางที่เยือกเย็นของนางอย่างสมบูรณ์แบบ

“ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าอย่างไร”

ได้ยินว่าจักรพรรดิใหม่มาเยี่ยมเยือน ซ่งชิงซึ่งเป็นผู้นำของสำนักโหราจารย์ในปัจจุบันหยุดการทดลองเล่นแร่แปรธาตุในมืออย่างไม่สมัครใจ และหันมาต้อนรับ

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า

“เปิดประตูห้องลับ ข้าต้องการพบเว่ยกง”

ซ่งชิงหยิบกุญแจพวงใหญ่ขึ้นมาในทันที แล้วทยอยเปิดประตูเหล็กที่ทำให้จอมยุทธ์ขั้นสี่จนปัญญา ทั้งที่มันไร้ประโยชน์เพราะชกกำแพงเพียงหมัดเดียวก็ทะลุ

“หลีกไปเสีย”

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยกำชับ

ซ่งชิงกลับไปทดลองด้วยความเบิกบาน

ฮว๋ายชิ่งก้าวเข้าห้องลับผ่านห้องชั้นนอกที่วางอาวุธเวทมนตร์และสิ่งทดลองต่างๆ ไว้มายังห้องชั้นใน แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง บนเตียงอ่อนนุ่มภายในห้องมีชายชุดดำนอนอยู่

ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา จอนผมปนขาวเล็กน้อย

“เว่ยกง ที่ท่านแอบส่งเจ้าพนักงานให้ข้าในวันนั้น เพราะกำลังบอกเป็นนัยว่าให้ข้าตั้งตนเป็นจักรพรรดิสินะ”

ฮว๋ายชิ่งนั่งลงริมเตียง มองไปยังชายวัยกลางคนที่หลับสนิทอยู่ และเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า

“ท่านคาดการณ์ได้หมดจด แต่ได้คาดการณ์ถึงไป๋ตี้หรือไม่”

“หากต้าฟ่งสามารถผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ได้ ท่านก็คืนชีพได้อีกครั้ง หากล้มเหลว ท่านและเสด็จแม่คงทำได้เพียงสานต่อวาสนากันในชาติหน้า”

ณ อรัญตา

ใต้ต้นโพธิ์ พระโพธิสัตว์กว่างเสียนนั่งประนมมือขัดสมาธิมองเงาเจียหลัวซู่ที่ส่องออกมาจากบาตรทอง พร้อมเอ่ยว่า

“ชะตากรรมลัทธิเต๋าแบ่งเป็นสองช่วง กินระยะเวลาสิบสามวัน ลั่วอวี้เหิงคิดจะหนีเคราะห์กรรมอย่างราบรื่น ยากยิ่งกว่ายากเสียอีก แต่ท่านและผู้อื่นอย่าได้ชะล่าใจ ห้ามเข้าไปติดร่างแหชะตากรรมเด็ดขาด”

เสียงของเขาไม่อาจแยกได้ว่าเป็นชายหรือหญิง หนุ่มหรือชรา

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เอ่ยด้วยความไตร่ตรองว่า

“ท่านหมายความว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่พวกเขาคิดจะไล่เสือไปกินจิ้งจอกโดยการยืมใช้ชะตากรรม”

พระโพธิสัตว์หลิวหลีที่อยู่อีกฟากหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปนความรู้สึกว่า

“มิเช่นนั้น พวกเขาจะชนะท่านและทายาทเทพมารนั่นเช่นไร”

เจียหลัวซู่พยักหน้า และเอ่ยว่า

“ตู้เออร์ยังอยู่ที่อรัญตาหรือ”

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนตอบกลับว่า

“เผยแผ่นิกายมหายานทุกวัน เขามีพุทธจิตโปร่งใส ต่างกับอาซูหลัว”

เมื่อเอ่ยถึงผู้ทรยศคนนี้ สีหน้าของพระโพธิสัตว์ทั้งสามไม่ค่อยน่ามองนัก

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนเอ่ยเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาว่า

“ศึกนี้ตัดสินแพ้ชนะสงครามที่ราบลุ่มภาคกลาง ห้ามชะล่าใจเด็ดขาด”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พยักหน้า

สวินโจว

หยางกงกวาดมองรอบข้างด้วยสายตาที่สงบ ทางซ้ายมีผู้นำทางการทหารของชิงโจวและขุนนางบุ๋น ทางขวามีหลี่มู่ไป๋ จางเซิ่น สวี่เอ้อร์หลาง ผู้นำสี่ฝ่ายของเผ่าพันธุ์กู่ รวมไปถึงสมาชิกพรรคฟ้าดินสี่คนได้แก่ หลี่เมี่ยวเจิน หลี่หลิงซู่ ฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วน

ทั้งยังมีหยางเชียนฮ่วนที่ยืนอยู่ในมุมลับตาคนโดยหันท้ายทอยที่แข็งกร้าวให้ผู้คน

“นี่คงจะเป็นการหารือครั้งสุดท้ายแล้ว”

หยางกงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เงียบสงบเหมือนสายตาว่า

“ท่านทั้งหลายล้วนแบกภาระอันหนักอึ้งของแต่ละคนไว้ หลังจากศึกนี้ ไม่ว่าจะปกป้องยงโจวไว้ได้หรือไม่ ทุกท่านในที่นี้ รวมถึงข้า จะยังคงอยู่ในสนามรบตลอดไป”

ไม่ว่าใครก็มองออกว่าศึกนี้เกี่ยวโยงกับความเป็นตายของต้าฟ่ง ซึ่งมันจะแก้ไขชะตากรรมของต้าฟ่งและอวิ๋นโจว

“ในช่วงแรกของการสู้รบ คลังหลวงของต้าฟ่งกลวงเปล่า ปวงประชาลำบากแสนเข็ญ ตั้งแต่ชิงโจวจวบจนยงโจว กองกำลังทหารนับหมื่นตายถูกห่อศพด้วยหนังม้าทิ้งไว้ในสนามรบ ตลอดทางมานี้ พวกเราแก้ไขปัญหาด้านกำลังทหาร ปัญหาด้านเสบียงและปัญหาเรื่องพันธมิตรไม่เพียงพอแล้ว”

“ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเราสูญเสียท่านโหราจารย์ แต่ยังคงผ่านมาด้วยดี บัดนี้ ข้าหวังว่าทุกท่าน หวังว่าต้าฟ่ง จะยังคงผ่านไปด้วยดี”

หยางกงยันมือทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจมต่ำ

“ฆ้องเงินสวี่เคยเขียนระลึกไว้ที่พระวิหารย่าเซิ่งของสำนักอวิ๋นลู่ ข้ายังไม่เคยเห็นด้วยตาตนเอง แต่ยังคงจดจำไว้ในใจอย่างมิลืมเลือน”

“ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เปิดทางสู่สันติภาพนิจนิรันดร”

เขาเอ่ยขึ้นเสียงสูงในทันใดว่า

“ตัวอยู่ในกลียุค ครั้นตายก็ต้องตาย”

“ข้าขอวิงวอนทุกท่าน จงสิ้นใจอย่างฮึกเหิม เพื่อต้าฟ่ง เพื่อที่ราบลุ่มภาคกลาง”

สิบวันผ่านไปนับตั้งแต่ศึกปิดล้อมเมืองสวินโจว กองทัพอวิ๋นโจวจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้รอออกเดินทาง กองทหารม้า ทหารราบ พลปืนใหญ่ กองอสูรเหินเวหาทยอยรวมพลในจุดต่างๆ ของชิงโจว

ณ หอประชุมผู้ว่าการมณฑลชิงโจว

ชีก่วงป๋อสวมเครื่องแบบทหาร ถือดาบคาดเอวด้วยมือข้างเดียว แหงนมองเหล่านายทหารโดยรอบ และเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นว่า

“แพ้ชนะอยู่ที่การกระทำในครั้งนี้ ทุกท่าน จงย่ำยงโจวให้ราบร่วมกับแม่ทัพผู้นี้”

จีเสวียนนำลุกขึ้นก่อน และเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

“ย่ำยงโจวให้ราบ”

บรรดานายทหารพากันลุกขึ้น และขานรับด้วยเสียงสูงว่า

“ย่ำยงโจวให้ราบ”

วันนี้ เมืองชิงโจวเกิดฟ้าผ่าฟ้าร้อง ฝนตกหนักเหมือนเทลงมา

พลเรือนและทหารในเมืองเห็นสัตว์ประหลาดที่มีแผงคอสิงโต เขามังกร ปากจระเข้และจมูกวัวบินขึ้นไปบนฟ้าจากชิงโจว

ไป๋ตี้สัตว์มงคลของอวิ๋นโจวกลับมายังจิ่วโจวอีกครั้ง

ขวัญกำลังทหารของกองทัพอวิ๋นโจวพุ่งทะยาน

……….……….……….……….……….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท