บทที่ 316 เถ้าแก่เนี้ยที่ปล่อยตัวที่สุด-3
“เจ้ายังยืนทำอะไรอยู่ที่นี่ ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังดื่มสุรากับหนุ่มน้อยอยู่?!”
เถ้าแก่เนี้ยพลันตวาดเสียงและชี้ไปที่เถ้าแก่อ้วน
เถ้าแก่อ้วนเห็นภรรยาของตนโกรธจัด
ก็พยักหน้ารัวๆ แล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า
“เถ้าแก่เนี้ยกระตือรือร้นจริงๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าแต่งงานมาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะมีอารมณ์เล็กน้อยบ้างไม่ได้เลยหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยตอบกลับ
“สามารถสวมใส่กำไลราคาแพงถึงเพียงนี้ได้ เกรงว่าจะแต่งไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เหตุใดถึงมาที่นี่เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะข้าเป็นคนประเภทแรก”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวพลางยิ้ม
หลิวรุ่ยอิ่งเงียบไป
คนประเภทแรกก็คือคนที่หลบหนีไม่ใช่หรือ
แต่ก็ไม่รู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ทำผิดอะไรมา
มีรปลักษณ์งดงามและรสนิยมเป็นเลิศเช่นนี้ แต่ต้องมาแต่งงานกับเถ้าแก่อ้วน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ
เมื่อคนเราถูกลดทอนศักดิ์ศรีจะเกิดความไม่พอใจตามมา
ในตอนแรกอาจทนไหว
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ความอดทนก็จะหมดลงในที่สุด
ตอนนี้เขาเดินไปที่โต๊ะคิดเงิน แล้วเริ่มคิดคำนวณว่าเหล่าคนงานแต่ละคนต้องจ่ายเงินเท่าไรสำหรับค่าของใช้ประจำวันที่หยิบจับไป
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังรุนแรงมาจากชั้นบนของร้าน
ถึงแม้เสียงจะดูเบาลงอย่างรวดเร็ว แต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเถ้าแก่เนี้ยเปลี่ยนไป
“หนุ่มน้อย อย่ารีบดื่มเร็วเกินไป รอข้าด้วยละ!”
พูดจบ นางกับเถ้าแก่อ้วนก็ขึ้นไปตรวจดูด้านบน
ไม่นานนัก ก็มีวัตถุสองชิ้นกลิ้งลงมาจากบันได
เป็นถุงผ้าสีขาวขนาดใหญ่สองใบ
มันใหญ่พอที่จะใส่คนทั้งคนได้
พอถุงผ้าขนาดใหญ่สองใบนั้นหล่นลงมายังพื้นชั้นหนึ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าผ้าถุงนั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด
ดูเหมือนว่าข้างในนั้นจะเป็นคน
ทั้งยังเป็นคนตายสองศพ
เจ้าหน้าที่จากอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินจะเคยเห็นเหตุการณ์นี้อย่างไร
แต่ละคน มือกุมด้ามกระบี่
หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่สะทกสะท้าน
คนตายสำหรับเขาเป็นเรื่องธรรมดา
บางครั้งเขาถึงกับคิดว่า คนตายไปจะดีกว่า
เพราะถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องกิน ต้องพูด
หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนไม่ได้
เมื่อมีความสัมพันธ์เกิดขึ้น ก็จะนำมาซึ่งปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้น
สวีเหล่าซื่อพลันพูดขึ้นมา
“สองคนนี้พักอยู่ชั้นบนหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
คราวนี้สวีเหล่าซื่อพยักหน้า
เขาไม่ได้ใช้คำพูดอื่นเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“ถูกต้อง! ไม่เพียงแต่มีห้องว่างสองห้อง ทั้งยังเป็นห้องที่มีเตียงคู่ด้วย!”
เถ้าแก่เนี้ยพูดขณะที่กำลังเดินลงบันได
“ดูเหมือนคืนนี้ข้าไม่ต้องไปนอนในพายุทรายแล้วกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดขึ้น
“ข้าจะใจร้ายให้เจ้าไปนอนในพายุทรายได้อย่างไร ทั้งยังเป็นเตียงคู่ด้วย นอนคนเดียวมันจะเสียเปล่า!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งกลับหันไปมองศพสองศพที่บรรจุอยู่ในถุงผ้าบนพื้น
“แต่หากการพักที่นี่ล้วนมีชะตากรรมเช่นนี้ ข้าก็คงไม่กล้าพักแล้ว”
“พวกเขาทั้งสองน่ะหรือ! เจ้าเดาดูสิว่าพวกเขาตายอย่างไร”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
“สวีเหล่าซื่อ มาช่วยข้าหน่อย ค่าจ้างเดือนนี้จะหักลบไป!”
เถ้าแก่อ้วนชี้ไปที่สวีเหล่าซื่อแล้วเอ่ยขึ้น
สวีเหล่าซื่อยืนขึ้นอย่างเฉยชา และแบกถุงผ้าเดินตามเถ้าแก่อ้วนไปยังหลังครัว
“แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เพราะหากเป็นการฆ่าตัวตาย ก็คงไม่ตายสองคน
และโอกาสที่คนสองคนจะฆ่าตัวตายพร้อมกันก็แทบจะไม่มี
การฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องที่จะปรึกษาหารือกับใครได้
การดื่มสุราสามารถหาเพื่อนดื่มได้ การกินข้าวก็สามารถหาเพื่อนกินด้วยได้
แต่การฆ่าตัวตายจะหาเพื่อนร่วมตายได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งเชื่อมั่นว่าไม่มีทางเป็นไปได้
“หนุ่มน้อยเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘เมื่อหมดเงิน จะหมดเสน่หา’ บ้างหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยพูดขึ้น
ประโยคนี้หลิวรุ่ยอิ่งเคยได้ยินมาก่อน
แต่มักใช้เพื่อเหน็บแนมสตรีที่เห็นแก่ตัว
หมายความว่า เมื่อบุรุษไม่มีเงิน ความรักของสตรีก็จะหายไป
เช่นเดียวกับหนานเจิ้นและภรรยาของเขา
เมื่อเงินที่เก็บออมมาทั้งชีวิตของหนานเจิ้นไม่เหลือ และเขาไม่สามารถทำงานต่อไปได้เนื่องจากแขนทั้งสองข้างหัก ภรรยาจึงทิ้งเขาไป
แต่เถ้าแก่เนี้ยคงไม่ได้หมายความเช่นนั้นตอนที่นางเอ่ยประโยคนี้
ทว่าโลกมนุษย์ก็มีความจริงเช่นนี้อยู่
แม้จะมีเรื่องราวคู่รักที่ยากจนแต่อยู่กินกันยาวนานมากมายนับไม่ถ้วน
แต่ก็เหมือนกับที่เยว่ตี๋บอกหลิวรุ่ยอิ่งว่า หลังจากนางไม่ดื่มสุราก็มีเพื่อนน้อยลง
คนเราพอไม่มีเงินแล้ว ก็ยากที่จะก้าวไปข้างหน้า
ไม่เพียงแต่สูญเสียภรรยา สูญเสียสหายด้วย
แม้แต่ความมุ่งมั่นในใจตนก็ค่อยๆ ถดถอยลงจนกลายเป็นคนท้อแท้สิ้นหวัง
มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถผ่านพ้นความยากลำบากไปได้
คนส่วนใหญ่สุดท้ายก็ยอมจำนนต่อโชคชะตา
“สองคนนี้ไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ก็นับว่าเป็นการฆ่าตัวตาย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ข้าอยากฟังรายละเอียด!”
หลิวรุ่ยอิ่งยกจอกสุราขึ้นชนจอกของเถ้าแก่เนี้ยเบาๆ
คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่เนี้ยจะฉวยโอกาสคล้องแขนเขา และดื่มสลับจอกกัน!
ฉากนี้กลับถูกคนงานทั้งหมดที่อยู่ใต้เพิงนอกร้านเห็นกันหมด
ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องก็ดังไม่หยุด
“เสียงดังอะไรกัน! ถ้าพวกเจ้ามีหน้าตาหล่อเหลาเหมือนเขาสักคน อย่าว่าแต่การดื่มคล้องแขนเลย จะให้ข้าถอดเสื้อผ้าอาบน้ำให้ ข้าก็ยินดี!”
เถ้าแก่เนี้ยตบโต๊ะอย่างแรง และตะโกนไปข้างนอก
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบชิ้นเนื้อม้ามากินอีกคำ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลิ้มรสเนื้อม้า
รู้สึกว่ารสชาติมันช่างอร่อยอย่างยิ่ง
และทักษะการทำอาหารของเถ้าแก่อ้วนก็ไม่เลวทีเดียว
แค่เนื้อตุ๋นธรรมดา
ไม่ได้ใส่เครื่องปรุงใดๆ
แต่เนื้อที่ทำออกมากลับมีกลิ่นหอมประหลาด
ทำให้คนติดใจ
“เกิดไฟไหม้ที่ไหนหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งพลันได้กลิ่นไหม้เกรียมของอะไรบางอย่าง
“ที่ไหม้น่ะเป็นศพของสองคนนั้น”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ที่รกร้างเช่นนี้ ขุดหลุมฝังก็จบแล้ว เหตุใดต้องเผาให้ยุ่งยากด้วยเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เพราะหากฝังศพไว้ ไม่ว่าจะฝังลึกเพียงใด ก็ไม่เกินเที่ยงคืน”
เถ้าแก่เนี้ยพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ
“หรือว่ายังมีคนขโมยศพอยู่?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ลักขโมย แต่ขโมยกิน!”
เถ้าแก่เนี้ยชี้ไปที่นอกประตูพร้อมกับพูดขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กลุ่มเจ้าหน้าที่จากอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินก็รู้สึกคลื่นไส้
อดอาเจียนไม่ได้
“เถ้าแก่เนี้ยมีอารมณ์ขันจริงๆ…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“สองคนนั้นใช้เงินจนหมดแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีเหมือนคนที่หน้าประตูนั้น แต่พวกเขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะฆ่าตัวตาย ดังนั้นพวกเขาจึงยืนหันหน้าเข้าหากันและฆ่ากันเอง”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
เถ้าแก่เนี้ยพูดไม่ผิด
หากเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายและไม่ใช่การฆ่าตัวตาย
แต่คนทั้งสองไม่อยากมีชีวิตอยู่
หากมองเพียงผลลัพธ์ ไม่ถือเป็นการฆ่าตัวตาย
แต่ถ้าเข้าใจสาเหตุที่แท้จริง ก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย
“ดูเหมือนว่าที่นี่ของแพงจริงๆ แพงจนพวกเขาไม่มีเงิน กระทั่งไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยขึ้น
เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง
แต่ยังไม่ทันได้พูด
จู่ๆ มีอาวุธลับมากมายพุ่งมาจากทุกทิศทางจากชั้นบน
มุมของอาวุธลับแต่ละชิ้นเฉียบขาดและแปลกประหลาด
หลิวรุ่ยอิ่งชักกระบี่ขึ้นมาป้องกันได้สี่ห้าชิ้น
แต่พลังปราณที่พุ่งมาจากอาวุธลับนั้นรุนแรงจนทำให้มือเขาชาไปเล็กน้อย
หวาหนงจ้องไปที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของร้านค้า
เขากระโดดขึ้นแล้วไล่ตามไป
หลิวรุ่ยอิ่งก้มลงมองโต๊ะและพื้น
พบว่าไม่มีชิ้นส่วนอาวุธลับหลงเหลืออยู่
คนผู้นั้นใช้พลังปราณหลอมอาวุธลับ
วิธีการเช่นนี้สามารถสั่นคลอนใต้หล้าได้
“ใคร”
หลิวรุ่ยอิ่งมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามตนมา
หนึ่งในเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนเมืองหยางเหวินถูกพลังลมปราณซัดรุนแรงจนร่างเป็นตะแกรง
เขาชี้ปลายกระบี่ไปยังคอหอยของเถ้าแก่เนี้ยพร้อมเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ข้าแน่นอน”
เถ้าแก่เนี้ยค่อยๆ ใช้มือดันคมกระบี่ออกไปพลางกล่าว
“แต่หากเจ้าต้องการฆ่าข้าก็ย่อมได้ เพราะข้าไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย”
เถ้าแก่เนี้ยดื่มสุราอีกจอก ก่อนจะพูดต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ไม่เชื่อคำพูดไร้สาระของนาง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือ ฝ่ายของเขากลับมีคนหนึ่งตายทั้งที่ยังไม่เริ่ม
“เจ้ายังพอมีถุงผ้าสีขาวอยู่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“มีสิ แน่นอนว่ามี! แต่ราคาห้าสิบตำลึงต่อหนึ่งถุง”
เถ้าแก่เนี้ยตอบกลับ
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มอย่างขมขื่น
ศพผู้กล้าหาญย่อมรายล้อมด้วยภูเขาเขียวขจี เหตุใดต้องใช้หนังม้าห่อศพกลับเล่า
ตอนนี้อย่าว่าแต่หนังม้า กระทั่งถุงผ้าสีขาวหนึ่งใบ เขายังไม่มีปัญญาซื้อ
เขาเริ่มเข้าใจขึ้นบ้างแล้วว่า เหตุใดสองคนนั้นถึงได้หาทางปลิดชีพเพียงเพราะไม่มีเงิน
เพราะในที่แห่งนี้ ความยากจนสามารถบีบให้จบชีวิตลงจริงๆ
ที่จริงหลิวรุ่ยอิ่งมีเงิน
เพียงแต่ไม่มีเงินสด
แต่ตั๋วเงินที่ใช้ไม่ได้นั้น ก็เท่ากับว่าไม่มีเงินไม่ใช่หรือ
“นอกจากถุงผ้าแล้ว อันที่จริงยังมีโลงศพด้วย แต่ว่า…”
“แต่ว่าโลงศพยิ่งแพง!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยต่อ
“ไม่ผิด แน่นอนว่าโลงศพต้องมีราคาสูงกว่าถุงผ้า”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวอย่างเย็นชา
“มีสิ่งใดที่เจ้าไม่ขายบ้าง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เพราะในร้านค้านี้มีทั้งของใช้ประจำวัน มีทั้งสุราอาหาร
และตอนนี้ เถ้าแก่เนี้ยกลับบอกว่ามีแม้กระทั่งโลงศพ
“สิ่งใดที่ใช้ได้ที่นี่ มีขายทั้งสิ้น”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
“ขายเรื่องเล่าด้วยหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถามขึ้น
“สิ่งเหล่านั้นข้าไม่เคยขายมาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรตั้งราคาเท่าไร ไม่สู้เจ้าลองถามดูก่อนสิ”
เถ้าแก่เนี้ยตอบ
มีคนตายไปแล้วหนึ่งคน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีกะจิตกะใจไปหว่านล้อมนางต่อแล้ว
จึงถามอย่างตรงไปตรงมาว่า สองวันมานี้มีใครซื้อแร่เหล็กในเหมืองจำนวนมากหรือไม่
“ไม่มี”
เถ้าแก่เนี้ยตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
เขารู้สึกว่าเถ้าแก่เนี้ยคงไม่มีเหตุผลที่จะโกหกเขา
อีกทั้งที่นี่คือเหมืองแร่ที่อยู่ต้นสายแร่
จิ้งเหยาไม่ไม่มีทางละทิ้งผลประโชน์ที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่อยู่ไกลอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีปัญหาอื่นเพิ่มเข้ามา
ก่อนอื่นต้องจัดการศพของเจ้าหน้าที่จากอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวินให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยตามหาคนที่ใช้ลมปราณเป็นอาวุธลับนั่น
หลังจากที่เถ้าแก่เนี้ยตอบคำถามไม่นาน
หวาหนงก็กลับมา
จากสีหน้าของเขา หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้ทันทีว่าเขาตามจับไม่ได้
กระบี่ของหวาหนงเร็วมาก
ทว่าท่าร่างของเขาไม่เร็ว
การที่เขากลับมามือเปล่าเป็นสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว
“ม้าหนึ่งตัว สามารถแลกกับโลงศพหนึ่งโลงได้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ปกติแล้วต้องใช้ม้าสองตัวจึงจะพอ แต่หากเจ้าต้องการ ม้าหนึ่งตัวก็ย่อมได้”
เถ้าแก่เนี้ยตอบกลับ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนถูกห่อไว้ในถุงผ้าและกลายเป็นเถ้าถ่าน
เขาต้องการซื้อโลงศพเพื่อใส่ร่างและส่งกลับไปยังเมืองหยางเหวิน
นอกจากนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณกลับไปอีกทางหนึ่งด้วย
……………………………………………