ตอนที่ 448 ต้องทำลายความเชื่อใจแล้ว
“ท่านทั้งสอง ข้าเดินเร็วเกินไปหรือไม่”
พลทหารผู้นำทางเห็นจี้หยวนกับฉางอี้ตามฝีเท้าเขาไม่ทันเสียที คิดว่าตนเองเดินเร็วเกินไป อย่างไรเสียสองคนข้างหลังก็เป็นบัณฑิต ตอนมาถึงก่อนหน้านี้บอกว่านั่งรถม้ามา ทว่าลงจากรถม้าก่อน
จี้หยวบรีบพูดกับพลทหาร
“ท่านโปรดวางใจ พวกข้าตามทัน!”
ฉางอี้พยักหน้าอยู่ข้างๆ เช่นกัน
นี่กลับทำให้นายหทารผู้นี้เขินอยู่บ้าง เขาเกาศีรษะ
“ท่านทั้งสองอย่าเรียกข้าเช่นนั้นเลย พวกท่านเป็นผู้มีความรู้ ข้าเป็นเพียงพลทหารคนหนึ่ง มีหน้าที่ต้านทานศัตรู ทว่าหากต้องการให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี นั่นต้องพึ่งพาพวกท่านแล้ว”
ไม่คิดเลยว่าพลทหารเล็กๆ คนหนึ่งจะมีความเข้าใจแจ่มแจ้งขนาดนี้ จี้หยวนมองเขาอีกครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ฉางอี้ก็เช่นเดียวกัน
พลทหารรอบข้างส่วนใหญ่กำลังมองคนที่แต่งกายแตกต่างกับในค่ายทหารอย่างชัดเจนสองคนนี้ ต่างฝ่ายต่างคาดเดาว่าพวกเขาเป็นใคร มาทำอะไร
ค่ายทหารไม่ใหญ่ เทียบกับอำเภอเมืองของต้าเหอแล้วเล็กมาก เลี้ยวไปมาก็วนครบรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็มาถึงหน้าสิ่งก่อสร้างใจกลางค่ายทหาร ไม่เพียงยิ่งใหญ่กว่าอาคารอื่นๆ เท่านั้น ยังมีพลทหารเฝ้าอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
“ท่านทั้งสอง ที่นี่คือจวนแม่ทัพในเมืองของข้า ปกติซือหม่าเลี่ยวอยู่ที่นี่ ทว่าทั้งสองท่านต้องไปพบท่านแม่ทัพก่อนถึงจะพบซือหม่าเลี่ยวได้”
“จัดการตามความเหมาะสมเถอะ”
จี้หยวนตอบรับเสียงหนึ่ง จากนั้นพลทหารนำทางผู้นี้วิ่งเข้าไปรายงานที่หน้าจวนก่อน
ไม่นานนักจี้หยวนกับฉางอี้ก็มองเห็นแม่ทัพของเมืองนี้ แม้ไม่ได้มีสีหน้าดุร้ายน่ากลัว อีกทั้งไม่ได้งามสง่าหล่อเหลา ทว่าพลทหารทำหมดเคารพนบนอบต่อเขาอย่างน่าประหลาด
ตอนนี้จี้หยวนกับฉางอี้ยืนอยู่ในโถงรับแขก ภายในโถงมีโต๊ะตัวใหญ่ตัวหนึ่ง บนนั้นมีแผนที่ขนาดใหญ่กางเอาไว้ บนแผนที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ แม่ทัพนั่งบนเก้าอี้ข้างหลังโต๊ะแล้วมองจี้หยวนกับฉางอี้
ในมือเขามีจดหมายลายมือจากทหารรักษาการณ์ประตูเหนือ บ่งบอกว่าเปรียบเทียบเอกสารซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นที่เรียบร้อย จึงเอ่ยถามทั้งสองคนว่า
“พวกเจ้ามาจากเมืองจงเต้าหรือ พวกข้าไม่ได้รับเสบียงอาหารมานานมากแล้ว ทางนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ครั้งก่อนส่งทหารไปสอบถาม พวกเขาทำอย่างขอไปที บอกว่าจะจัดหาเสบียงและอาวุธมาให้พวกข้าโดยเร็วที่สุด แต่จนถึงตอนนี้แล้วไม่มีแม้แต่เหล็กสักก้อนเดียว!”
แม่ทัพลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง ชี้บางแห่งบนแผนที่
“ข้าประจำการอยู่ที่นี่มาสามปี ภายในสามปีต่อสู้อยู่หลายครั้ง พี่น้องร่วมรบตายไปมากน้อยเท่าไหร่ข้าล้วนจำไม่ได้แล้ว แต่เสบียงอาหารและอาวุธของพวกข้า เงินเดือนของพวกข้าเล่า ข้าถึงขั้นรู้ว่าพี่น้องบางคนยอมฝากเงินดือนทหารไว้ก่อน แต่เงินเดือนทหารเหล่านั้นไม่ได้ส่งไปที่บ้านจริงๆ เกรงว่าจะอยู่ในกระเป๋าของเจ้าหน้าที่บางคนมากกว่า!”
ตอนนี้ภายในโถงมีเพียงแม่ทัพ จี้หยวน และฉางอี้สามคน ทว่าเสียงของเขาไม่ได้ดังมาก เพราะเขากลัวว่าเหล่าพี่น้องข้างนอกจะได้ยินเข้า แต่อารมณ์ในคำพูดเต็มเปี่ยม ปราณดุร้ายแรงกล้าปะทุขึ้นมา
ในฐานะผู้ฝึกเซียน จี้หยวนและฉางอี้รู้สึกได้ถึงพลังเลือดร้อนระอุจากอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เกรงว่าปีศาจมารทั่วไปล้วนต้องกลัวอยู่สามส่วน ทว่าสำหรับผู้ฝึกปราณที่มีมรรควิถีล้ำลึกอย่างพวกเขากลับยังแข็งแกร่งไม่พอ
จี้หยวนทำได้เพียงประสานมือ ตอบอย่างใจเย็น
“แม่ทัพท่านนี้ ข้ากับท่านฉางไม่ใช่เจ้าหน้าที่อาณาจักรหยวนจ้าว ทว่าได้รับคำสั่งให้มาส่งจดหมายที่นี่เท่านั้น เรื่องเสบียงอาหารของกองทัพ พวกข้าสองคนไม่รู้แจ้ง หวังว่าท่านแม่ทัพจะเข้าใจ”
“ถูกต้อง ข้ากับท่านจี้เดินทางไกลมาจากบ้านเกิดของเลี่ยวเจิ้งเป่า สำหรับเรื่องนี้พวกข้าไม่รู้อะไร”
หากเป็นฉางอี้ในอดีต แม้สง่างามมีมารยาทเช่นกัน แต่ทั่วไปแล้วไม่มีทางพูดมากความกับมนุษย์เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าดูถูก ทว่าไม่จำเป็นต้องเสียเวลา มนุษย์ล้วนดื้อรั้นเกินไป พูดคำเดียวไม่เข้าใจก็ไม่อยากพูดแล้ว
กระนั้นไม่เพียงเพราะมากับจี้หยวน เพราะมนุษย์ตรงหน้าควรค่าให้นับถือเช่นกัน อาจพูดได้ว่าทหารในเมืองนี้เป็นผู้ที่น่าเคารพทั้งสิ้น
“ฮู่…”
แม่ทัพพ่นลมหายใจออกมา ปรับอารมณ์เล็กน้อยแล้วนั่งลง
“ท่านทั้งสองตกใจแล้วกระมัง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านทั้งสองจริงๆ ข้าไม่ควรใส่อารมณ์กับพวกท่านเช่นนี้”
แม่ทัพมีความจนใจของเขา ทหารทั้งเมืองล้วนมีความจนใจของพวกเขา พวกเขาถอยไม่ได้ พวกเขาถอยแล้ว อาณาจักรหยวนจ้าวที่อยู่เบื้องหลังจะทำอย่างไร อีกทั้งรับคำสั่งว่าจะประจำการอยู่เสมอ เช่นนั้นยิ่งถอนตัวไม่ได้เข้าไปใหญ่
ฉางอี้มองจี้หยวนครั้งหนึ่ง เหมือนกับลังเลว่าต้องอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือไม่ ทว่าจี้หยวนพยักหน้าให้เขา เขาจึงเอ่ยปากบ้าง
“หลายวันก่อนเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ที่อาณาจักรหยวนจ้าว กินพื้นที่อย่างน้อยหนึ่งในสามของอาณาจักร ผู้ติดโรคระบาดมีจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ติดโรคระบาดล้มตายก็มีจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นกัน”
“อะไรนะ!?”
แม่ทัพนั่งตัวตรง มือคู่หนึ่งจับพนักแขนของเก้าอี้ไม้ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดหลายระลอก
“โรคระบาด?! ตอนนี้โรคระบาดเป็นอย่างไรบ้าง เมืองฉางกู่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดหรือไม่”
จี้หยวนเอ่ยตอบ
“ตอนนี้โรคระบาดหยุดลงแล้ว ขอเพียงได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง น่าจะไม่มีการระบาดขึ้นซ้ำสอง ทว่าคนที่ตายไปเพราะโรคระบาดไม่อาจฟื้นคืนแล้ว…ส่วนพื้นที่ใดบ้างได้รับผลกระทบ พวกข้าไม่นับว่ารู้แน่ชัด ส่วนใหญ่ไม่รู้ชื่อสถานที่”
แม่ทัพฟังแล้วเผยสีหน้าร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
“รักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง…ราชสำนัก…ไม่พูดแล้วดีกว่า ข้าส่งคนไปบอกซือหม่าเลี่ยวแล้ว อีกไม่นานน่าจะมาถึง”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ!”
“อืม พี่น้องผู้ใต้บังคับบัญชามีข่าวคราวจากทางบ้านถือว่าเป็นเรื่องดี…จริงสิ เด็กๆ จัดหาน้ำชาให้ท่านทั้งสองหน่อย!”
ได้ยินคำสั่งแล้ว พลทหารคนหนึ่งที่เข้ามาตอบรับก่อนออกไปอีกครั้ง
รออยู่ไม่นานเท่าไหร่ บุรุษในชุดหนังสูงชะลูดตามพลทหารสองคนเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนใบหน้ามีความตื่นเต้นและยินดีอย่างชัดเจน
“จดหมายอยู่ที่ใด จดหมายอยู่ที่ใด”
เสียงของเลี่ยวเจิ้งเป่าดังมาก คนยังไม่ทันมาถึง เสียงสะเทือนโสตประสาทกลับดังขึ้นก่อน ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนกับบิดาเขาไม่มีผิด
เดินเข้ามาในโถงแล้ว เลี่ยวเจิ้งเป่าประสานมือให้แม่ทัพ จากนั้นมองไปทางจี้หยวน
“จดหมายเล่า จดหมายอยู่ที่ใด ท่านพ่อท่านแม่ตอบจดหมายข้าแล้วหรือ หาคนเขียนจดหมายเป็นสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ที่บ้านก็ไม่มีเงินเหลือซื้อพู่กันน้ำหมึกเช่นกัน ข้ารอคอยจดหมายฉบับนี้มานานเหลือเกิน ในที่สุดก็มาแล้ว!”
เลี่ยวเจิ้งเป่าตื่นเต้นมาก ฟังจากคำพูดเขาแล้ว รู้ได้ไม่ยากเลยว่าเขาเคยเขียนจดหมายกลับบ้านมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ความจริงแล้วไม่เคยถึงบ้านสักฉบับ
จี้หยวนถอนใจเล็กน้อย เพียงประสานมือพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ได้มีจดหมายเขียนมาแต่อย่างใด เพียงนำคำพูดและของยืนยันมา”
เขาพูดแล้วหยิบสิ่งของยาวเท่าแขน ห่อด้วยผ้าชิ้นหนึ่งออกมาจากข้างหลัง จากนั้นส่งให้เลี่ยวเจิ้งเป่า ฝ่ายหลังรีบคลี่ออกทีละชั้น เผยให้เห็นกระบี่ไม้ด้ามหนึ่ง
บนกระบี่ไม้สลับคนตัวเล็กๆ ไว้คนหนึ่ง ไปจนถึงรอยขีดฆ่าหลายเส้น
เลี่ยวเจิ้งเป่าลูบกระบี่ไม้ที่บิดาทำให้ตนตอนยังเด็ก ขอบตาร้อนผ่าว ราวกับมองเห็นช่วงเวลาแสนสนุกเมื่อยังเยาว์วัย
“เป็นของข้า เป็นกระบี่ไม้ที่ท่านพ่อทำให้ข้า คิดไม่ถึงเลยว่ายังอยู่ มันยังอยู่ ก่อนข้ามาอยู่กองทัพหาไม่เจอแท้ๆ! เป็นมัน…”
เลี่ยวเจิ้งเป่าพลันเงยหน้าขึ้น มองจี้หยวนและฉางอี้
“ท่านพ่อท่านแม่ข้าสบายดีหรือไม่ คนในหมู่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง”
จี้หยวนตอบอย่างจริงจัง
“ซือหม่าเลี่ยวโปรดวางใจ บิดามารดาเจ้าล้วนสบายดี ร่างกายแข็งแรงกินได้นอนหลับสนิท ไม่เพียงเท่านั้น บิดาเจ้าตั้งเนินดินฝังศพร่วมกับคนทั้งหมู่บ้าน เพื่อฝังกระดูกผู้ตายตามท้องถนนให้ได้นอนหลับอย่างเป็นสุข ถือเป็นคนดีมีชื่อเสียงทีเดียว”
“อ้อๆๆ เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี!”
ในที่สุดจี้หยวนก็ยิ้มขึ้น จากนั้นพูดว่า
“จริงสิ พวกเขามีบุตรชายอีกคนตอนแก่ เจ้ามีน้องชายแท้ๆ คนหนึ่งนะ ชื่อว่าเลี่ยวเป่ากุย อายุหกปีแล้ว”
“จริงหรือ จริงหรือ!”
เลี่ยวเจิ้งเป่ามีสีหน้ายินดีชัดเจน สองมือจับกระบี่ไม้แน่นขนัด ก่อนจะตบต้นขาครั้งหนึ่ง
“ไอ้หยา กระบี่ไม้ด้ามนี้น่าจะเก็บไว้ให้น้องชายข้าเล่น นำมาให้ข้าทำไมกัน มีคำพูดส่งต่อมาถึงข้าก็พอแล้วไม่ใช่หรือ จริงสิ ท่านพ่อท่านแม่ข้านำคำพูดอะไรมาให้ข้าหรือ”
“เอ่อ…”
จี้หยวนมีคารมคมคายอยู่เสมอ อาศัยฝีปากเอาชีวิตรอดพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสมาได้หลายครั้ง ครั้งนี้กลับยากจะพูดออกไป สุดท้ายเขาก้าวเข้าไปใกล้เลี่ยวเจิ้งเป่า ใช้ระดับเสียงที่มีแต่อีกฝ่ายได้ยินพูดขึ้น
“ผู้อาวุโสตระกูลเลี่ยวทั้งสองหวังว่าเจ้าจะกลับบ้านได้ จากกองทัพกลับบ้านที่ไม่ได้กลับมาหลายปีแล้ว พวกเขาคิดถึงเจ้ามาก”
เลี่ยวเจิ้งเป่าอึ้งงัน มองจี้หยวนและฉางอี้ จากนั้นมองคนอื่นๆ ภายในห้องโถงก่อนพูดตามตรง
“ให้ข้ากลับไป?”
เมื่อพูดออกไปแล้ว บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดในทันที พลทหารหลายคนข้างๆ มองไปทางเลี่ยวเจิ้งเป่า แม้แต่แม่ทัพก็นั่งตัวตรงมองเขาตามสัญชาตญาณ
เลี่ยวเจิ้งเป่าพูดเสียงดัง จี้หยวนรวมถึงฉางอี้ล้วนรู้ได้รางๆ แล้วว่าเขาจะตอบอย่างไร
หลังจากเลี่ยวเจิ้งเป่าพูดก็มองกระบี่ไม้ในมือโดยตรง เงียบงันอยู่นานมาก สุกท้ายเสียงแผ่วเบาดังออกจากปากเขา
“ทั้งสองท่านมีความสามารถเพียงใด ถึงทำให้ข้ากลับบ้านได้”
ฉางอี้มองจี้หยวน เห็นอีกฝ่ายไม่พูดจาจึงตอบเอง
“เรื่องนี้ข้ากับท่านจี้ลำบากใจเช่นกัน การได้รับเอกสารราชการและมีคนส่งพวกข้ามาที่นี่ ก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายเรื่องนี้”
“ฮ่าๆ ท่านทั้งสองเป็นเพียงบัณฑิตที่ไร้ประโยชน์ เบื้องหลังแม้มีถุงสุราและถุงอาหาร ทว่ายังคงมีสิ่งกีดขวาง ทางการไม่ใช่เครื่องตกแต่งเช่นกัน อยากได้เอกสารราชการอาจเป็นเรื่องง่าย ทว่าข้ากลับไปเช่นนี้ถือว่าทรยศแล้วหลบหนี ถูกพบเข้าเมื่อใดต้องถูกฆ่าตัดหัว อีกทั้งยังทำให้ครอบครัวเดือดร้อนแล้ว แม้แต่พวกท่านก็จะเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน!”
ฉางอี้กล่าวต่อ
“นั่นเป็นเรื่องเล็ก จัดการได้เช่นกัน”
“ฮ่าๆ ข้าไม่เชื่อ”
เลี่ยวเจิ้งเป่าพูดแล้วเงยหน้ามองฉางอี้ ก่อนจะมองกระบี่ไม้ต่อ
แม่ทัพที่นั่งอยู่อยากพูดทว่าหยุดไป สองมือจับพนักแขนอีกครั้ง ความวุ่นวายภายในใจไม่มีทางน้อยไปกว่าเลี่ยวเจิ้งเป่า ตอนที่เขาเอยากเอ่ยปากบอกว่าตนเองช่วยได้ เลี่ยวเจิ้งเป่ากลับเงยหน้ามองจี้หยวนและฉางอี้
“ท่านทั้งสอง! ขอบคุณพวกท่านที่นำข่าวจากบ้านมาถึงข้า กระบี่ไม้ด้ามนี้…นำไปคืนน้องชายข้าแทนข้าด้วย!”
เลี่ยวเจิ้งเป่าคืนกระบี่ไม้ให้จี้หยวน คำพูดจากปากหนักแน่นมากอย่างชัดเจน
“ท่านพ่อข้าตั้งเนินดินฝังศพ เป็นคนดีมีชื่อเสียงที่บ้านเกิด บุตรชายเขาย่อมไม่อาจทรยศหลบหนีให้เสียเกียรติยิ่งกว่า ที่บ้านมีน้องชายข้าแล้ว ที่นี่ก็มีเช่นเดียวกัน! รบกวนท่านทั้งสองกลับไปบอกท่านพ่อท่านแม่และน้องชายข้า วันหน้าเจิ้งเป่าเสร็จหน้าที่แล้วจะกลับบ้านเกิดแน่นอน แต่ตอนนี้…ข้าจะไม่กลับไป…ฮู่…”
เลี่ยวเจิ้งเป่าพ่นลมหายใจออกมาในตอนสุดท้าย เสียงสั่นเครือ
จี้หยวนถอนใจเบาๆ ตบไหล่ฉางอี้เล็กน้อยแล้วส่ายหน้า หลังจากนั้นกล่าวกับเลี่ยวเจิ้งเป่า
“เจ้าแน่ใจหรือไม่ที่ตัดสินใจเช่นนี้”
ฉางอี้กล่าวต่ออย่างอดไม่ได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากับท่านจี้เป็นใคร เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเจ้ากลับไป ไม่เพียงเจ้าได้อยู่พร้อมหน้าร่วมกับครอบครัว ยิ่งจะได้รับพรที่คนธรรมดาทั่วไปยากจะได้รับ เจ้ารู้หรือไม่ว่า…”
“ท่านรู้หรือไม่ว่ามิตรภาพที่ข้ากับพี่น้องหลายพันคนในเมืองมีต่อกันนั้นมากมายเพียงใด ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าทิ้งพวกเขาแล้วจากไปลำพัง ในใจข้าจะทรมานเพียงใด เพียงแค่คิดข้าก็เจ็บปวดหัวใจแล้ว!”
เลี่ยวเจิ้งเป่าไม่รอฉางอี้พูดจบ ก็ตะโกนใส่อีกฝ่ายพร้อมตาแดงๆ
“ข้ารู้ว่าท่านทั้งสองเป็นผู้มีความสามารถแน่นอน ข้ารู้! แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ขอบคุณมาก!”
ฉางอี้ถูกตอกหน้าเช่นนี้กลับไม่โมโห เพียงพยักหน้าให้เลี่ยวเจิ้งเป่าพร้อมรอยยิ้มจาง จากนั้นหยิบลายยันต์แผ่นหนึ่งออกจากในเขนเสื้อตนเอง มันทอประกายในดวงตาของจี้หยวน ทว่าในดวงตาของคนรอบข้างเป็นเพียงลายยันต์ยึกยือเท่านั้น
“ให้เจ้า นี่เป็นพรสงบสุขที่บิดามารดาเจ้าขอให้เจ้า ให้เจ้าพกติดตัวตลอดเวลา เจ้าไม่น่าปฏิเสธมันหรอกกระมัง”
เลี่ยวเจิ้งเป่าอึ้งงั้น จากนั้นรีบฉวยมาไว้ในมือ
“ไยไม่นำออกมาก่อนหน้านี้เล่า ข้าย่อมต้องพกติดตัวอยู่แล้ว!”
จี้หยวนมองภาพนี้ด้วนรอยยิ้ม สุดท้ายพยักหน้าให้เลี่ยวเจิ้งเป่าและแม่ทัพที่นั่งอยู่
“เช่นนั้นข้ากับท่านฉางนับว่าเป็นผู้ทำลายความไว้วางใจแล้ว!”