บทที่ 378 อายุขัยสวรรค์ลดลงครึ่งหนึ่ง
จากระลอกคลื่นอารมณ์ของเทพวิญญาณโยวจิง ในคุกแห่งนี้ก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น รอบๆ สั่นสะเทือนรุนแรง คุกสีเลือดนั่นก็ฉายประกายแสบตาออกมา
โยวจิงที่ถูกผนึกอยู่ในนั้น ตอนนี้ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด เสียงคำรามดังห้องไปทั่ว ความเกลียดชังในใจของนางต่อเผ่ามนุษย์เบื้องหน้าคนนี้พุ่งถึงขีดสูงสุดแล้ว
อารมณ์ด้านลบที่อัดอั้นในใจทั้งหมด ตอนนี้ประดุจเขื่อนแตก ไหลทะลักโหมบ่าออกมา
“ข้าจะฆ่าเจ้า!!”
นายกองเงยหน้า ถอนหายใจ เอ่ยเย้ยหยัน
“ท่านด่าคนไม่เป็นหรือ พูดแต่ประโยคนี้ ให้ข้าสอนให้หรือไม่ขอรับ”
เทพวิญญาณโยวจิงคลุ้มคลั่งแล้วโดยสมบูรณ์
เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองกระแอมขึ้นครั้งหนึ่ง สีหน้าฉายแววได้ใจ เขาย่อมไม่กังวลว่าตัวเองจะถูกผู้ครองกระบี่ฆ่าตายเอาไปให้เป็นอาหารเทพวิญญาณโยวจิง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่สายหลักของเผ่ามนุษย์แล้ว
จะอย่างไรสำหรับโถงครองกระบี่ กฎก็คือกฎ ต้องปฏิบัติตาม
สิ่งที่ทำให้เขายิ่งได้ใจคือ ไม่ใช่ผู้ครองกระบี่กลางคนที่อยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ความตื่นตะลึงฉายอยู่เต็มใบหน้า แม้แต่ศิษย์น้องเล็กของตนตอนนี้สีหน้าก็ยังเปลี่ยนไปอย่างหาได้ยาก
นี่ทำให้นายกองเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าครั้งนี้ตนชนะสองต่อ
“เรื่องนี้วันหน้าก็สามารถโอ้อวดต่อหน้าอาชิงน้อยได้สิบปีแล้ว นอกจากนั้น พวกผู้เฒ่าผู้ครองกระบี่พวกนั้น เห็นข้าเฉินเอ้อร์หนิวยอดเยี่ยมเพียงนี้ จะต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อข้าอย่างแน่นอน”
นึกถึงตรงนี้ นายกองก็เก็บเสื้อผ้าพวกนั้นขึ้นมาอย่างเนิบนาบ แต่ว่าเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่รักษาคำพูด ดังนั้น ขนเส้นนั้น…เขาไม่ได้เอาคืนมา ทิ้งไว้ที่ข้างหน้ากรง
หลังจากจัดระเบียบสิ่งของอื่นๆ นายกองก็เดินมาข้างกายสวี่ชิง ยักคิ้วให้สวี่ชิง
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าข้าคนนี้เป็นอย่างไร!”
นายกองหัวเราะร่า จิตใจเบิกบานขีดสุด แล้วหันไปมองทางชิงชิว
ชิงชิวกรอกตาใส่เขา ในใจยิ่งระมัดระวังสุดขีด
ผู้ครองกระบี่กลางคนที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้มองเฉินเอ้อร์หนิวสายตาค่อนข้างซับซ้อน เขายอมรับว่าเจ้าเด็กหนุ่มเฉินเอ้อร์หนิวคนนี้มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ แต่ตอนนี้เขารู้สึกรางๆ ว่า เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้อนาคตจะสร้างชื่อเสียงที่ส่งผลกระทบต่อโถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันหรือไม่
ในเมื่อคนคนนี้ไร้คุณธรรม ทั้งยังต่ำช้านัก ตอนนี้เขานึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้คิดอยากจะตบสักผัวะ
ขณะเดียวกัน ในตำหนักใหญ่โถงครองกระบี่ ผู้อาวุโสผู้ครองกระบี่ทั้งหลายต่างมองม่านแสงที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ในม่านแสงก็คือพวกสวี่ชิงทั้งสามคนนั่นเอง
ผู้อาวุโสเหล่านี้มองเห็นทุกคำพูดและการกระทำของนายกองตลอดทั้งเหตุการณ์
แต่ละคนต่างพูดกันไม่ออก สุดท้ายมีเพียงผู้อาวุโสคนหนึ่งส่ายหน้าพูดขึ้น
“ต่ำช้าเหลือเกิน”
ในขณะเดียวกัน ในที่สุดการค้นวิญญาณของโถงครองกระบี่ก็หาจุดอ่อนเจอจากระลอกคลื่นอารมณ์รุนแรงของโยวจิง เรื่องหลังจากนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกสวี่ชิงทั้งสามคนจะมีส่วนด้วยได้แล้ว ดังนั้นไม่นานนักผู้ครองกระบี่กลางคนคนนั้นก็ส่งพวกเขาลงไป
ส่วนคุณงามความชอบ ครั้งนี้นายกองได้รับความชอบอันดับหนึ่ง จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากมองเงาร่างทั้งสามหายลับไปจากโถงครองกระบี่ ผู้ครองกระบี่คนนี้ก็ถอนหายใจยาว
“ลูกศิษย์ของพันธมิตรแปดสำนักครั้งนี้…”
เขาส่ายหน้า ไม่รู้ว่าควรจะวิพากษ์วิจารย์อย่างไรดี
และจากที่เรื่องนี้จบสิ้นลง ชิงชิวก็ตามลัทธินอกวิถีกลับไปในทันที เหมือนว่าไม่อยากจะอยู่ให้นานแม้เพียงเค่อเดียว
ส่วนพันธมิตรแปดสำนักก็ตัดสินใจกลับไปหลังจากวันที่สองที่เรื่องนี้จบลง จะกลับไปยังพันธมิตรแปดสำนัก ทว่าก่อนที่เรือเหาะลำมหึมาของพันธมิตรแปดสำนักจะเหินขึ้นก็เกิดเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ แทรกเข้ามา
นายกองหายตัวไป
จะอย่างไรเขาก็ไม่มีความกล้าที่จะกลับสำนัก เห็นได้ชัดว่ากังวลถึงเพลิงโทสะของจอมเซียนจื่อเสวียนและบทลงโทษของอาจารย์ตนเมื่อกลับไปถึง ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าในจดหมายที่ตอบกลับมาจอมเซียนจื่อเสวียนเขียนตอบว่าอะไร
แต่ว่ามีบรรพจารย์อยู่ แผนการหนีของนายกองก็กำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องล้มเหลว
ดังนั้นในตอนที่เรือเหาะเหินไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หลังจากที่เสี่ยเลี่ยนจื่อออกไปแล้วกลับมาอีกครั้ง ในมือของเขาคว้านายกองที่แผนการหนีล้มเหลวเอาไว้
สีหน้าของนายกองแฝงรอยห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยาก ขณะที่ถอนหายใจไม่หยุดก็ถูกเสี่ยเลี่ยนจื่อโยนไปบนเรือเหาะ จากคำสั่งที่บัญชาลงมา เรือเหาะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าดังสะเทือนเลื่อนลั่น พุ่งไปทางพันธมิตรแปดสำนักอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตา เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะที่ตั้งตระหง่านบนพื้น ในสายตาสวี่ชิงก็เปลี่ยนมาเล็กลงเรื่อยๆ จวบจนหายไปจากครรลองสายตา
มองไปทางเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย
ตอนที่มาเขาเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์พันธมิตรแปดสำนัก อย่างมากก็นับได้ว่าเป็นแค่ว่าที่ผู้สืบทอดมรรคาเท่านั้น แต่ตอนนี้…เขาเป็นผู้ครองกระบี่ที่ได้ประกายแสงหมื่นจั้งอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในมณฑลรับเสด็จราชัน ในขั้นตอนการคัดเลือกยิ่งเดินมาถึงจุดสูงสุด จากผู้เข้าร่วมแปรเปลี่ยนเป็นพยาน
ฐานะ ชื่อเสียง แตกต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง
จุดนี้สวี่ชิงสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากสายตาที่ลอบมองเขาของลูกศิษย์พันธมิตรที่อยู่รอบๆ
ก่อนหน้านี้ สายตาของลูกศิษย์พันธมิตรที่มองเขาสิ่งที่มีมากคืออิจฉา แต่ตอนนี้คือความยำเกรง
การเปลี่ยนแปลงของสายตา ในขณะเดียวกับที่มาจากพลังแท้จริง ที่มากกว่านั้นคือมาจากการเปลี่ยนแปลงของฐานะ
เขาในตอนนี้เป็นผู้บำเพ็ญกรมครองกระบี่แห่งห้ากรมทมิฬ สายหลักเผ่ามนุษย์ มีกระบี่อาญาสิทธิ์ หลักฐานยืนยันชัดเจน ภายใต้ขอบเขตพลังแท้จริงของตัวเอง ใต้จักรพรรดิลงมาล้วนฟาดฟันสังหารได้ทั้งสิ้น
เช่นกัน ภายใต้การคุ้มครองจากฐานะนี้ หากมีใครจะฆ่าเขา ก็ต้องเผชิญหน้ากับการประกาศจับจากกรมครองกระบี่
ในขณะเดียวกับได้รับสิ่งเหล่านี้ ผู้ครองกระบี่ก็ต้องทำภาระหน้าที่ของตัวเอง จับกระบี่เพื่อเผ่ามนุษย์ ปกป้องสรรพชีวิตทั้งปวง
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หน้าที่ของผู้ครองกระบี่ยิ่งใหญ่นัก เขาไม่รู้ว่าตัวเองในอนาคตจะต้องทำเช่นไร
“มุ่งมั่นมิผันแปร” สวี่ชิงพึมพำ จากนั้นก็เก็บความคิดลงไป หันมามองนายกองที่เดินกะเผลกๆ มาปรากฏข้างกายตน
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าเสียใจมากๆ อยู่เรื่องหนึ่ง”
“หนีช้าไปน่ะหรือ” สวี่ชิงมองขานายกอง
“ไม่ใช่” นายกองสีหน้าเศร้าโศก
“ข้าเสียใจว่าทำไมถึงเข้าร่วมผู้ครองกระบี่ช้าถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นคงบรรลุกระบี่จักรพรรดิเร็วกว่านี้ บ่มเพาะจนถึงตอนนี้ ระดับหวนสู่อนัตตาเห็นข้าก็ยังต้องเกรงใจ”
“ก่อนอื่นท่านต้องเป็นระดับปราณก่อนกำเนิดขั้นสูงสุด นอกจากนั้นท่านต้องมีชีวิตอยู่ได้ถึงสองพันปี” สวี่ชิงเอ่ยเตือน
“ข้า…” นายกองเลิกคิ้ว แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ถอนหายใจออกมา
“ระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสูงสุดของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นี่เป็นขีดสูงสุดของทั้งชีวิตผู้บำเพ็ญหลายคนแล้ว คนที่ติดอยู่ตรงนี้จนอายุขัยหมดสิ้นไม่อาจทะลวงขั้นได้มีมากมาย…
“อย่างไรเสียระดับขั้นนี้อยู่ในโลกเล็กๆ เทียบเท่ากับขอบเขตสูงสุดของโลกใบหนึ่งที่นั่น คนของโลกใบเล็กฝึกฝนถึงขอบเขตสูงสุดของโลกใบหนึ่ง ขั้นต่อไปก็ทะลวงสวรรค์ตามหาสมบัติลับมาแล้ว แต่ว่านี่ก็ยังพอไหว แต่สองพันปีนี่ยาก
“ตอนนี้ไม่เหมือนก่อนที่เทพเจ้าจะมาเยือน ตอนนั้นไม่มีไอพลังประหลาด ระดับปราณก่อกำเนิดแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มีอีกชื่อว่าอายุขัยสวรรค์ หนึ่งวังก่อกำเนิดหนึ่งปราณ หนึ่งปราณอายุขัยหกสิบปี ตอนนี้อายุขัยลดลงครึ่งหนึ่ง นอกเสียจากจะมีวัตถุดิบล้ำค่าฟ้าดิน มิเช่นนั้นแล้วระดับปราณก่อนกำเนิดสูงสุดก็หล่อเลี้ยงกระบี่สะบั้นหวนอนัตตาขั้นหนึ่งไม่ได้”
นายกองกลัดกลุ้ม
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจขอบเขตหวนสู่อนัตตาขอบเขตนี้
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ศิษย์น้องเล็ก ข้าลองคิดดูแล้ว ไม่เช่นนั้นหลังจากกลับไปแล้วเจ้าทำตามจอมเซียนจื่อเสวียนสักครั้ง ไม่เป็นไร แค่หลับตาก็เรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้น ศิษย์พี่ใหญ่คงไปเขตปกครองผนึกสมุทรกับเจ้าไม่ได้ ข้าเกรงว่าจอมเซียนจื่อเสวียนคงตบข้าตายในทีเดียว”
สวี่ชิงคิดๆ แล้วยื่นถุงใบหนึ่งไปให้นายกอง
“ของในนี้บางทีอาจจะช่วยศิษย์พี่ใหญ่ให้ทนวิบากกรรมครั้งนี้ผ่านไปได้”
“ในนี้คืออะไรหรือ” นายกองตาวาววาบ รับมากำลังจะเปิดออก สวี่ชิงก็เอ่ยเสียงเรียบนิ่งมา
“ยารักษาบาดแผล”
นายกองชะงักค้าง มองมาทางสวี่ชิงอย่างตัดพ้อ
สวี่ชิงไม่สะทกสะท้าน เขาไม่เชื่อว่านายกองจะมีอันตรายแก่ชีวิต อย่างมากก็แค่กินดีขมสักหน่อยเท่านั้น และสำหรับนายกองที่ชอบเสี่ยงเอาชีวิตมาล้อเล่นแล้ว ชั่วชีวิตนี้สิ่งที่กินมากที่สุดก็คือดีขม เช่นนั้นจะกินให้มากขึ้นอีกนิด สวี่ชิงคิดว่าก็ไม่เป็นไร
อย่างไรเสียนายกองต่อให้พิกลพิการ ผ่านไปไม่กี่วันก็งอกขึ้นมาใหม่ ตอนนั้นเหลือแค่หัวใช้เวลาแค่เดือนเดียวก็ฟื้นคืนกลับมา
และเส้นทางสู่เขตปกครองผนึกสมุทรยาวไกล อย่างมากตอนที่ตนเดินทางพกหัวนายกองไปด้วยก็ได้แล้ว
คิดแล้วยังไม่ทันถึงเขตปกครองปกสมุทร นายกองก็ลุกขึ้นมาเต้นได้อีกครั้ง
นายกองทอดถอนใจ แต่กลับเก็บยารักษาบาดแผลลงไป ถือผิงกั่วแล้วกินคำหนึ่ง
เขาคิดว่าลูกกลอนขายเอาเงินได้ ตัวเองตอนนี้ในกระเป๋าว่างเปล่า สินทรัพย์สะสมกว่าครึ่งก่อนหน้านี้ก็เอาไปใช้ซื้อคำถามหมดแล้ว คิดถึงว่าหินวิญญาณมากมายของตนที่แลกมาได้แค่ประกายแสงจั้งเดียว ความสงสัยก็ผุดขึ้นมารุนแรงอย่างอดไม่ได้
“เจ้าไม่ช่วยข้าพูดกับจอมเซียนจื่อเสวียนก็ได้ แต่เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าวันนั้นที่มหาจักรพรรดิหยั่งใจ เจ้าตอบอะไรไป
“คำถามนี้ข้าคิดมาตั้งนานแล้ว ขบคิดทุกวัน วิเคราะห์ทุกคืน เจ้าดูสิผมข้าร่วงหมดแล้ว”
นายกองกะพริบตาปริบๆ ความจริงก่อนหน้านี้เขาพูดมากมายขนาดนั้น ทำการปูเรื่อง ก็เพื่อถามให้ได้คำตอบข้อนี้
เขาคิดว่าแผนการที่พื้นหิมะครั้งที่แล้วไม่ถูกต้อง จะอ้าปากถามตรงๆ ไม่ได้ ต้องพูดเรื่องอื่นปูเรื่องสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่น อายุขัยสวรรค์ปราณก่อกำเนิด ใช้เรื่องนี้เบนความสนใจของสวี่ชิง จากนั้นค่อยเอ่ยปากถามไปตามน้ำ แบบนี้อัตราความสำเร็จถึงจะสูง
และในเสี้ยวพริบตาที่เขาถามคำถามนี้ออกมา ในห้องลับบนเรือเหาะ เสี่ยเลี่ยนจื่อที่นั่งสมาธิอยู่หูก็ขยับเล็กน้อย เพ่งสมาธิไปฟัง จอมคนบูรพาสงัดที่อยู่ข้างๆ ก็อยู่ในห้องลับเช่นกัน มองไปทางที่สวี่ชิงอยู่
กระทั่งว่าที่ไกล บนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะที่ไม่เห็นร่องรอย ผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่คนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน มองไปทางทิศที่เรือเหาะพันธมิตรแปดสำนักจากไป
ในขณะที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ตั้งใจฟังอย่างละเอียดและจับตามอง สวี่ชิงก็มองผมของนายกองแวบหนึ่ง
นายกองก็มองสวี่ชิงตาปริบๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่พื้นหิมะวันนั้นข้าบอกท่านไปแล้วนี่นา” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
นายกองอึ้ง ย้อนนึกอย่างละเอียด ขณะเดียวกัน เสี่ยเลี่ยนจื่อก็ขมวดคิ้วเริ่มนึกย้อนไปเช่นกัน ผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่ก็เผยสีหน้าคาดไม่ถึง
“เจ้า…น้ำลายหรือ”
คิดถึงตรงนี้ นายกองก็พูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
สวี่ชิงพยักหน้า
“ข้าถ่มน้ำลายใส่เทพเจ้า
นายกองอึ้งตะลึงเล็กน้อย
“จากนั้นเล่า ถ่มน้ำลายก็ได้แสงหมื่นจั้งหรือ”
“ข้ายังด่ามันว่าไอ้ลูกหมาเลี้ยง” สวี่ชิงชี้ไปที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าที่อยู่บนท้องฟ้า
เสี่ยเลี่ยนจื่ออึ้งงงงัน ผู้อาวุโสใหญ่แห่งโถงครองกระบี่สีหน้าฉายแววแปลกประหลาด ส่วนนายกองที่อยู่ข้างหลังสวี่ชิงตอนนี้พึมพำ
“เจ้า…เจ้าด่าเสี้ยวหน้าเทพเจ้าว่าไอ้ลูกหมาเลี้ยงอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่แค่ประโยคเดียว” สวี่ชิงแก้ เอ่ยอย่างจริงจัง
“ข้ายังด่าอีกหลายประโยค นอกจากไอ้ลูกหมาเลี้ยงแล้ว ข้ายังด่ามันว่าไอ้หมาพันธุ์ทาง แล้วก็ด่าว่าไอ้ชั่วช้าสารเลว
“ประโยคสุดท้ายข้ายังด่าไปว่าไอ้เทพเจ้าชาติชั่วเวรตะไล”
สวี่ชิงพูดพลางถ่มน้ำลายไปนอกเรือเหาะ นายกองมองสวี่ชิง ในดวงตาตอนนี้มีแสงแรงกล้าฉายออกมา
ตอนนี้ ในโถงครองกระบี่ ผู้อาวุโสใหญ่ผู้ครองกระบี่คล้ายครุ่นคิด มุมปากเผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้ยกยิ้มกว้างขึ้นไม่หยุด สุดท้ายก็หัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะสะใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง เสียงดังก้องไปทั่วโถงครองกระบี่ ทำให้ผู้ครองกระบี่จำนวนมากแปลกประหลาดใจนัก ต่างมองมา
ในความทรงจำของพวกเขา ผู้อาวุโสใหญ่เข้มงวดมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือการบรรยายเรื่องสมุนไพรที่ลานพิธีเต๋าล้วนเป็นเช่นนี้ และการหัวเราะอย่างสะใจอย่างวันนี้มีให้เห็นน้อยมาก
โดยเฉพาะหัวเราะๆ ไป ผู้อาวุโสใหญ่ยังเอ่ยปากพูดคำหยาบออกมา
“ไอ้ลูกหมาเลี้ยง!”
ในขณะเดียวกัน บนเรือเหาะของพันธมิตรแปดสำนัก เสี่ยเลี่ยนจื่อก็หัวเราะร่าขึ้นมาเหมือนกัน เพียงแต่เขาหัวเราะๆ ไป ในดวงตาของเขาก็แดงเล็กน้อย นานมาแล้วเขาก็เคยด่าแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร เขาไม่กล้าด่าแบบนั้นแล้ว
บนเรือเหาะ นายกองสูดลมหายใจลึก เขาเงยหน้าขึ้น มองเสี้ยวหน้าเทพเจ้าพลางตะโกนเสียงดัง
“ไอ้เทพเจ้าชาติชั่วเวรตะไล!”
พูดจบเขาก็ขากสุดแรงแล้วถ่มน้ำลายออกมา
ถ่มน้ำลายเสร็จ นายกองหัวเราะ สวี่ชิงก็หัวเราะเหมือนกัน
บนท้องฟ้า เสี้ยวหน้าเทพเจ้ายังคงทรงอำนาจน่าเกรงขามเช่นเดิม เหมือนว่าทุกอย่างบนโลกเทียบกับมันแล้ว สู้ไม่ได้แม้กระทั่งมดปลวก
เวลาก็ค่อยๆ หมุนผ่านไปอย่างช้าๆ เช่นนี้เอง เรือเหาะผ่านที่ราบทางเหนือ ผ่านแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเซียน ไปทางใต้ตามเทือกเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย
จวบจนเที่ยงวันหลังจากนั้นครึ่งเดือน ในยามที่แสงแดดเจิดจ้า จากที่ไกลๆ เมืองยิ่งใหญ่ตระการตาของพันธมิตรแปดสำนักก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของทุกคนบนเรือที่ทอดสายตามองไปทางใต้
ขณะเดียวกัน เสียงระฆังเป็นระลอกๆ ก็ดังสะท้อนมาจากในพันธมิตรแปดสำนักกึกก้องไปในผืนเมฆ
นี่คือระฆังต้อนรับ
ระฆังต้อนรับผู้ครองกระบี่กลับมา