ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 379 ตกที่นั่งลำบากยากจะหนี

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 379 ตกที่นั่งลำบากยากจะหนี

เสียงระฆังดังไม่นาน แค่สามครั้งเท่านั้น

“แค่สามครั้งเอง!”

บนเรือเหาะ นายกองเปลี่ยนชุดขุนนางผู้ครองกระบี่แล้ว ยืนอยู่ข้างหน้าอย่างทรงอำนาจน่าเกรงขาม เอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งทะนง

เขาเอามือไพล่หลัง ท่าทางเหมือนได้ใจนัก เพียงแต่ในจุดลึกของดวงตาซ่อนไว้ซึ่งความหวาดวิตกร้อนตัวนิดๆ

สวี่ชิงก็ถูกสั่งให้เปลี่ยนชุดผู้ครองกระบี่เช่นกัน แต่เขาในตอนนี้ไม่ได้สนใจเสียงระฆัง แต่ก้มหน้าประเมินชุดของตัวเอง

ชุดขุนนางของผู้ครองกระบี่ไม่เหมือนกับชุดนักพรต ปกเสื้อยาวกว่า แขนเสื้อกว้างตกลงเล็กน้อย ทั้งชุดเป็นพื้นสีขาว มีเพลิงสีชาดเป็นลวดลาย

ลวดลายเหลือบเลื่อม ไม่ได้เห็นชัดเจน มีเพียงอยู่ใต้แสงอาทิตย์เท่านั้นถึงจะปรากฏรางเลือนไปกว่าครึ่งของชุด ข้างล่างเชื่อมกับแขนเสื้อ ข้างบนเชื่อมกับปกเสื้อ ก่อเป็นเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้

จากลมที่พัดเสื้อสะบัดพริ้ว เสื้อที่ซ้อนทับก็เหมือนเปลวไฟกำลังไหวระริก ลุกไหม้โชติช่วง

ข้างหลังยังมีผ้าคลุมเป็นเสื้อชั้นนอก เชือกผูกสีแดงเพลิงผูกอยู่ที่คอ สะบัดพริ้วอยู่ข้างหลัง

เช่นนี้แล้ว ชุดขุนนางชุดนี้ดูเหมือนจะเรียบๆ แต่ความจริงแฝงไว้ด้วยเพลิงแรงกล้า มองภาพรวมขณะเดียวกับที่ดูสง่างามก็ไม่ขาดความองอาจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนร่างสวี่ชิงก็ทำเอาลูกศิษย์หญิงบนเรือเหาะต่างดวงตาฉายแสงประหลาด ต่างลอบมอง

เหยียนเหยียนยิ่งดวงตาหรี่ลงเป็นจันทร์เสี้ยว ยืนอยู่ข้างๆ สวี่ชิง ยืดอกน้อยๆ ท่าทางเหมือนเป็นเกียรติภาคภูมิใจไปด้วย

“พูดว่าแค่สามครั้งอะไรกัน ข้ากลับมาไม่เคยมีเสียงระฆัง เอ้อร์หนิว เจ้าคันเนื้อคันตัวอีกแล้วใช่หรือไม่” ในขณะที่สวี่ชิงสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง เสียงของบรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อก็ดังขึ้นอย่างราบเรียบ

นายกองหัวไว หันหน้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยแววประจบประแจง รัศมีอำนาจในเสี้ยวขณะนี้หายไปจนหมดสิ้น วิ่งมาอย่างรวดเร็วแล้วค่อยๆ ชะลอฝีเท้าเดินมาข้างกายเสี่ยเลี่ยนจื่อ

“ศิษย์คารวะท่านบรรพจารย์”

เสี่ยเลี่ยนจื่อแค่นเสียงหึขึ้นจมูก เดินมาข้างๆ สวี่ชิง ดวงตาแฝงด้วยความชื่นชมล้นปรี่

สวี่ชิงสีหน้าเคารพนอบน้อม โค้งตัวคารวะ

“อย่าไปฟังศิษย์พี่เจ้าพูดเพ้อเจ้อ อาชิง ตามประเพณีของเผ่ามนุษย์ เสียงระฆังมีความหมายที่แตกต่างกันไป เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องไปสนใจให้มากเกินไป รู้เพียงแค่ว่า เสียงระฆังของสำนักดังมากสุดแค่ยี่สิบเอ็ดครั้งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

“ทำไมล่ะขอรับ” นายกองที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างสงสัย

เสี่ยเลี่ยนจื่อไม่สนใจเขา มองสวี่ชิงอย่างอ่อนโยน

“อาชิง หลังจากกลับถึงสำนักแล้ว เจ้าจะฝึกฝนได้อีกสามเดือนเต็มๆ หลังจากสามเดือนก็ต้องออกเดินทางไกลแล้ว ถึงตอนนั้นบรรพจารย์ข้าคนนี้จะมอบของล้ำค่าให้เจ้า”

พูดจบ ไม่รอให้นายกองเอ่ยปาก เสี่ยเลี่ยนจื่อก็หันมาถลึงตาใส่นายกอง เอ่ยดุอบรม

“เจ้าก็โตอายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เอาอย่างศิษย์น้องของเจ้าบ้าง อย่าได้ทำตัวเหลวไหลอยู่ทุกวี่ทุกวัน ที่สำนักก็ช่างเถอะ ไปเขตปกครองผนึกสมุทรข้าเกรงว่าเจ้าจะถูกคนรุมอัดจนผนึกคลาย ถึงตอนนั้นพวกเขาทำเจ้าไม่ตาย เจ้าจะฆ่าตัวเองตายเสียก่อน”

“บรรพจารย์ อย่าเพิ่งพูดถึงเขตปกครองผนึกสมุทรเลย วิบากกรรมของข้าต่อจากนี้ยังไม่รู้ว่าจะผ่านไปอย่างไรเลยขอรับ…” นายกองถอนหายใจ มองบรรพจารย์อย่างน่าสงสาร

บรรพจารย์แค่นเสียงขึ้นจมูก กำลังจะพูดอะไร แต่ตอนนี้เอง จากการที่เรือเหาะเข้าใกล้พันธมิตรแปดสำนัก เงาร่างมากมายก็เหาะเหินออกมาจากในนั้น มุ่งหน้าตรงมาที่เรือเหาะ

ผู้ที่มาไม่ได้มีเพียงแค่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเท่านั้น แต่สำนักทั้งแปดก็มีคนมมาเยือนด้วย จะอย่างไร ลูกศิษย์ของพันธมิตรที่กลับมาจากการเดินทางครั้งนี้ ก็ล้วนมีมาจากสำนักทั้งแปด

แม้จะไม่ได้เป็นผู้ครองกระบี่ แต่ก็ได้ผ่านการฝึกฝน ได้เปิดโลกกว้างก็เป็นการเดินทางที่ไม่ธรรมดาครั้งหนึ่งเช่นกัน

เพียงแต่ นอกจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่นายท่านเจ็ดออกมาต้อนรับเองแล้ว สำนักอื่นๆ ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่มา

แต่พิธีก็ยังคงยิ่งใหญ่ ท่ามกลางเสียงแสดงความยินดีมากมายไม่ขาดสายก็ยิ่งมีพิธีที่ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจัดขึ้นเพื่อสวี่ชิงและนายกอง ดังนั้น ไม่นานนัก ท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังแว่ววนเวียน คนกลุ่มหนึ่งก็กลับมาถึงยังพันธมิตรอย่างยิ่งใหญ่ กลับมาถึงสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

ในเสี้ยวพริบตาที่กลับมมา ลูกศิษย์กว่าครึ่งของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มาถึงแล้ว ต่างโค้งคารวะไปทางท้องฟ้า ยิ่งใหญ่อลังการนัก

ท่ามกลางสายตาอิจฉาจากลูกศิษย์นับไม่ถ้วน นายกองสีหน้าท่าทางหวาดระแวง เมื่อสังเกตได้ว่าจอมเซียนจื่อเสวียนไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นก็ถอนหายใจโล่งอก

ขณะเดียวกัน ประธานพันธมิตรแปดสำนักก็ได้ปรากฏตัวบนท้องฟ้า ใบหน้าเหมือนแฝงด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นมากๆ ประกาศออกมาว่า

“มอบฐานผู้สืบทอดมรรคาแห่งพันธมิตรแปดสำนักให้แก่สวี่ชิง เฉินเอ้อร์หนิว!”

นี่เป็นเรื่องที่สมควรจะทำ ในเมื่อเป็นผู้ครองกระบี่แล้ว อีกทั้งครั้งนี้พันธมิตรแปดสำนักก็ถูกจับตามอง ในบรรดาผู้ครองกระบี่สามคน พันธมิตรแปดสำนักได้ไปแล้วสองคน

เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก่อนอย่างมากก็แค่คนเดียวเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้การมอบตำแหน่งผู้สืบทอดมรรคาให้เป็นเรื่องที่จำเป็น

นี่คือมารยาทสังคม ทำให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตดู ทำให้โถงครองกระบี่ดู และทำให้ผู้ครองกระบี่ในอนาคตของสำนักต่างๆ ดู

ไม่เกี่ยวกับจุดยืนและแผนการ ในฐานะที่เป็นประธานพันธมิตร สิ่งที่เขาคิดในใจ คนที่มองขาดมีไม่มาก แต่เรื่องที่เขาทำละเอียดรอบคอบมาโดยตลอด

ดังนั้นหลังจากประกาศฐานะผู้สืบทอดมรรคาแล้ว งานเลี้ยงของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ยิ่งคึกคัก ลูกศิษย์สำนักอื่นๆ ก็ส่งของกำนัลมา งานเลี้ยงดำเนินไปหนึ่งวันเต็มๆ

ในหนึ่งวันนี้ นายกองทักทายต้อนรับฝ่ายต่างๆ คล่องแคล่วชำนาญเป็นอย่างยิ่ง ประเดี๋ยวๆ ก็คุยโวขึ้นมา

“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ ที่เมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ประกายแสงของข้ากับอาชิงน้อยที่ได้มาล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเรารวมกันประกายแสงเกินหมื่นจั้ง!”

สวี่ชิงได้ยินอยู่ไกลๆ ไม่ได้สนใจ ตอนนี้หวงเหยียนอยู่ข้างหน้าเขา ใบหน้าทอดถอนใจ

“สวี่ชิง แป๊ปเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ตอนนี้เจ้ายังเป็นผู้ครองกระบี่แล้ว

“เฮ้อ ข้าก็ยังไม่ชินกับมณฑลรับเสด็จราชัน ข้าโน้มน้าวศิษย์พี่หญิงแล้ว พวกเราวางแผนว่าจะกลับทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ศิษย์พี่หญิงก็ไปประจำการพอดี วันหน้าพวกเราเจอกันที่นั่น”

ก่อนหน้านี้สวี่ชิงได้ยินหวงเหยียนพูดว่าไม่ชอบมณฑลรับเสด็จราชัน ตอนนี้เมื่อได้ยินก็เอ่ยโน้มน้าวลำบาก จึงพยักหน้า เขาก็ได้พูดถึงเรื่องเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาด้วยการสอบถามจากหวงเหยียน

หวงเหยียนทำท่าเหมือนค่อนข้างสนใจเรื่องนี้

เวลาค่อยๆ หมุนไป พลบค่ำค่อยๆ คืบคลานมา งานเลี้ยงก็ใกล้จะจบสิ้นลงแล้ว สวี่ชิงคิดว่าจะไปหลังเขาเซ่นไหว้นายท่านหกสักหน่อย

แต่ในตอนที่งานเลี้ยงจะจบลง เขาเตรียมตัวจะจากไป เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

บนท้องฟ้า แสงสีม่วงส่องกะพริบ แสงพรายรุ้งยามสนธยาก็เปลี่ยนสี ในตอนที่สวี่ชิงเงยหน้า นายกองที่กำลังคุยโวกับจางซานอยู่ไกลลิบๆ ก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

เสี้ยวขณะต่อมา แสงสีม่วงทั่วฟ้าก็หลอมรวม ก่อเป็นเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง

ผิวนวลเนียน รูปร่างอรชร ใบหน้าที่งดงามราวเซียน บุคลิกท่วงท่าสง่างาม พลังบำเพ็ญที่น่ากลัว เมื่อประกอบด้วยกันแล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นหญิงงามหยาดเยิ้มที่เหมือนเดินออกมาจากภาพวาด

เป็นจอมเซียนจื่อเสวียนนั่นเอง

นางไม่ได้มาในตอนจัดงานเลี้ยง แต่มาที่นี่ตอนงานเลี้ยงจบลงแล้ว รายละเอียดนี้ความจริงก็เพื่อแสดงความเคารพ

และการปรากฏตัวขึ้นของนางสวี่ชิงก็ลนลานนิดๆ ไปตามสัญชาตญาณ นึกถึงจดหมายที่ได้ เขารู้สึกว่าจิตใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ขึ้นมาทันที ตอนนี้คิดแค่ว่าอยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด จึงถอยไปข้างหลังเงียบๆ

ส่วนทางนายกองยิ่งทำแบบนั้น แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่เห็นแสงสีม่วง ร่างของเขาก็ไหววูบ หนีไปในทันที

แต่เขาไม่รู้ว่านายท่านเจ็ดจับตามองเขามาโดยตลอด

แทบจะในเสี้ยวพริบตาเดียวที่นายกองหนี มือขวาของนายท่านเจ็ดก็ยกขึ้นคว้ากลางอากาศ เงาร่างของนายกองที่อยู่ท่ามกลางเสียงร้องโศกเศร้าก็ถูกนายท่านเจ็ดหิ้วเอาไว้

ในตอนที่ปรากฏขึ้นในมือนายท่านเจ็ด แขนขาของนายกองยังเตะป่ายไปมา ทำท่าเหมือนกำลังดิ้นรน แต่กลับไร้ประโยชน์ สุดท้ายก็ทำได้แค่มองนายท่านเจ็ดอย่างน่าสงสาร

“อาจารย์…”

นายท่านเจ็ดไม่มองลูกศิษย์คนโตของตัวเองคนนี้ แต่มองไปยังจอมเซียนจื่อเสวียนที่มาถึงกลางท้องฟ้าด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“สหายจื่อเสวียน ลูกศิษย์เนรคุณของข้าคนนี้สร้างความลำบากให้เจ้าแล้ว บทลงโทษที่เจ้าเสนอมาเมื่อครั้งที่แล้ว ข้าว่าไม่มีปัญหาอะไร”

นายท่านเจ็ดพูดพลางโยนเฉินเอ้อร์หนิวที่อยู่ในมือไปกลางอากาศ หลังจากที่ร่วงลงต่อหน้าจอมเซียนจื่อเสวียน เฉินเอ้อร์หนิงก็ส่งเสียงร้องอย่างเศร้าสร้อย

แขนขาของเขาถูกมัดขยับไม่ได้ แต่คอขยับได้อยู่ จึงก้มหน้าอย่างรวดเร็ว เห็นสวี่ชิงที่ถอยหลังไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางฝูงคนไปที่ไกลๆ แล้ว

“ศิษย์น้องเล็กช่วยข้าด้วย เจ้ารีบพูดจาดีๆ กับจอมเซียนจื่อเสวียน หรือไม่ก็อยู่เคียงข้างข้า…”

สวี่ชิงโมโหขึ้นมาทันที แอบพูดในใจว่าเจ้าเฉินเอ้อร์หนิวตัวดี จนตอนนี้แล้วก็ยังไม่ลืมที่จะลากข้าไปเกี่ยวด้วย ตอนนี้เขาเร่งความเร็วถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ แต่ก็ช้าไปแล้ว

หลังจากที่นายกองส่งเสียงออกมา จอมเซียนจื่อเสวียนก็ก้มศีรษะงดงามของตน ดวงตาคู่สวยมองไปทางสวี่ชิงทางนั้น สีหน้าจะยิ้มก็เหมือนไม่ยิ้ม

“สหายตัวน้อย ไปกับข้าเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”

สวี่ชิงใจหล่นตุบ นึกถึงจดหมายที่ตอบกลับมาอีกครั้ง จิตใจว้าวุ่น ขบคิดว่าจะปฏิเสธอย่างไร

นายกองได้ยินคำพูดนี้ก็ดวงตาวาววาบ กำลังจะอ้าปาก แต่ถูกจอมเซียนจื่อเสวียนสะบัดมือผนึกปากเอาไว้ พูดไม่ได้

เขาทำได้แค่กะพริบตาให้สวี่ชิงอย่างบ้าคลั่ง กะพริบตาปริบๆ ไม่หยุด

สวี่ชิงเมิน กำลังจะพูด แต่นายท่านเจ็ดกระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง

“เจ้าสี่ เจ้าไปเถอะ”

สวี่ชิงมองอาจารย์ตัวเองอย่างเงียบงันแวบหนึ่ง นายท่านเจ็ดแกล้งทำเป็นไม่เห็น

ดังนั้นเสี้ยวขณะต่อมา ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ ของจอมเซียนจื่อเสวียน ร่างของสวี่ชิงก็ลอยขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะลอยต่ำมาข้างกายนาง

เพิ่งจะเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมที่คุ้นเคยก็ปะทะหน้ามา ยิ่งมีเสียงไพเราะจับจิตเหมือนน้ำพุดังสะท้อนข้างหู

“สหายตัวน้อย เจ้าได้รับจดหมายของข้าแล้วหรือยัง”

สวี่ชิงรีบส่ายหน้า

จอมเซียนจื่อเสวียนหัวเราะเบาๆ แขนเสื้อเพียงสะบัด ในตอนที่สวี่ชิงส่ายหน้าก็พาเขากับนายกองหายตัวไปจากตรงนั้น

ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ในแดนลับอสรพิษปีศาจแล้ว

สิ่งที่สะท้อนในดวงตาสวี่ชิงคือกระดูกอสรพิษมหึมาที่คดเคี้ยวไปมาเหมือนภูเขา

ใจกลางกระดูกอสรพิษยังมีคนอีกคนหนึ่ง

คนคนนี้คืออู๋เจี้ยนอู

ในมือของเขาถือแปรงใหญ่อันหนึ่ง ปากถูกปิดเอาไว้ด้วยผนึก กำลังขัดทำความสะอาดกระดูกอสรพิษอย่างหมดอาลัยตายอยาก

ตอนนี้หลังจากที่พวกสวี่ชิงทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ดวงตาของอู๋เจี้ยนอูก็ฉายประกายวาววับทันที

นายกองมองเห็นทุกอย่างนี้ก็ร้องไห้ในใจ

“เฉินเอ้อร์หนิว เจ้าขโมยเขี้ยวอสรพิษ หากเป็นคนอื่นข้าจะต้องถลกเอ็นเลาะกระดูกอย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้อาจารย์ของเจ้ามาขอร้อง นอกจากนี้ข้าก็เห็นแก่ศิษย์น้องของเจ้า ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า

“เขี้ยวนั่นหากอยากใช้ เดิมมาขอยืมข้าก็ได้ ไยต้องขโมย ช่างเถอะ เขี้ยวนั่นให้เจ้ายืมใช้ก็ได้ แต่ลงโทษให้เจ้าขัดกระดูกอสรพิษสามเดือน ภายในสามเดือนนี้ต้องขัดให้สะอาด

“ไปเถอะ”

จอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยราบเรียบ ขณะสะบัดมือ ร่างของนายกองก็ร่วงลงไปที่กระดูกอสรพิษข้างๆ อู๋เจียนอู

อู๋เจี้ยนอูใบหน้าเต็มไปด้วยความได้ใจ ในดวงตายิ่งฉายความตื่นเต้น ยื่นแปรงให้นายกองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ชี้ไปที่ไกล

เห็นได้ว่าความจริงกระดูกอสรพิษที่นี่ก็ถูกขัดสะอาดไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ส่วนใหญ่ที่เหลือเหมือนอู๋เจี้ยนอูจะจงใจไม่ขัด รอมาโดยตลอด

ตอนนี้สหายที่เขารอมาถึงแล้ว นิ้วที่ชี้นั่นเหมือนจะบอกนายกองว่า ส่วนนั้นข้าเหลือไว้ให้เจ้า

นายกองถอนหายใจ แต่ก็ลอบโล่งใจ เพราะการลงโทษนี้ก็เหมือนจั๊กจี้ เบาจนไม่อาจเบาไปได้มากกว่านี้แล้ว

“ท่าทางจดหมายที่ข้าเขียนจะได้ผล วันหน้าต้องเขียนให้เยอะหน่อย!”

นายกองกะพริบตาปริบๆ ทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ ก้มหน้าขัดกระดูกอสรพิษ แต่ขัดๆ ไปสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เพราะกระดูกอสรพิษที่นี่พิเศษ ยากจะขัดให้สะอาด ต่อให้โคจรพลังบำเพ็ญก็ยังยาก

และเห็นกระดูกอสรพิษที่เหมือนภูเขาเช่นนี้ สีหน้าของนายกองก็ค่อยๆ ขมขื่นขึ้นมา

สวี่ชิงมองทุกอย่างนี้ ในใจเบิกบานนัก

และหลังจากที่โยนเฉินเอ้อร์หนิวลงไป จอมเซียนจื่อเสวียนก็พาสวี่ชิงเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง มาปรากฏตัวบนจุดสูงสุดของแดนลับ ซึ่งก็คือบนกะโหลกอสรพิษปีศาจที่โผล่ออกมาเหมือนจะคำรามไปบนท้องฟ้านั่นเอง

ที่นี่ นางนั่งลง เอียงศีรษะยิ้มตาหยีมองสวี่ชิง

“นั่งลงสิ”

สวี่ชิงกัดฟันนั่งลง ตรงนี้เขาสามารถมองเห็นนายกองที่กำลังทำงานอยู่ข้างล่างได้ชัดขึ้น ความสะใจเบิกบานก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ถูกจอมเซียนจื่อเสวียนมองแบบนี้ความกังวลก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

โดยเฉพาะเมื่อจอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยเสียงเบาออกมาประโยคหนึ่ง

“สหายตัวน้อย จดหมายที่เจ้าเขียนให้ข้า เรื่องที่สัญญากับข้าไว้สามเรื่อง ตอนนี้สัญญาเรื่องแรกเจ้าเริ่มได้แล้ว”

สวี่ชิงจิตใจว้าวุ่น สีหน้าฉายแววสับสนลนลาน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท