ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 548 ซิ่งหลินถัง(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 548 ซิ่งหลินถัง(2)

ตอนที่ 548 ซิ่งหลินถัง(2)

หลังจากทุกคนออกไปแล้ว ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือก็อดถอนหายใจไม่ได้ แต่ก็ทราบว่าสามีอยากมีงานทำ พวกหล่อนจึงต้องคอยสนับสนุน

ฉินเจี้ยนเซ่อและเซี่ยเหวินปิงกำลังทำงานอย่างหนักอยู่ที่เซินเจิ้น เช่นเดียวกับฉินมู่หลานที่กำลังยื่นขอใบอนุญาตยาทั้งหมดที่เธอกับเซี่ยปิงหรุ่ยเป็นผู้ผลิตขึ้นมา

“ปิงหรุ่ย จากนี้ก็ค่อย ๆ รอไปก่อนนะ”

“ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป พวกเรายังเรียนไม่จบเลย”

เมื่อเห็นว่าเซี่ยปิงหรุ่ยก็ไม่ได้รีบร้อนเหมือนกัน ฉินมู่หลานก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ พวกเราค่อยเป็นค่อยไปเถอะ เดี๋ยวรอให้พวกเราพัฒนายาให้เยอะขึ้น หลังจากได้รับใบอนุญาตแล้ว พวกเราก็เปิดซิ่งหลินถังของพวกเราได้เลย”

นี่คือชื่อที่พวกเธอทั้งสองตกลงกันแล้ว ร้านขายยาของพวกเธอจะมีชื่อว่าซิ่งหลินถัง

“ตกลง”

หลังจากทั้งสองพูดคุยกันสักพัก ก็ถึงเวลาเริ่มเรียนคาบต่อไปแล้ว

ช่วงเวลาต่อไป ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยต่างยุ่งกันมาก ไม่เพียงแค่ยุ่งกับการเรียนที่มหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังต้องทุ่มกายใจไปกับการพัฒนายาตัวใหม่ด้วย ดังนั้นพวกเธอทั้งสองจึงยุ่งขึ้นกว่าเดิมมาก

คุณปู่ฉินเห็นว่าหลานสาวของเขายุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาได้หายใจ สุดท้ายจึงพูดสิ่งที่ค้างอยู่ในใจมานานแล้วออกมา “มู่หลาน ปู่เห็นว่าบางครั้งหลานก็ยุ่งอยู่กับการปรุงยา จริง ๆ แล้ว…ปู่ก็ช่วยได้นะ ปู่อยู่ที่บ้านว่างมาก ทำไมถึงไม่ให้ปู่ช่วยล่ะ”

หากจะช่วยเลี้ยงเด็กนั่นไม่ต้องถึงมือเขาเลย เพราะมีหญิงชราและพวกนายท่านเหยาคุณนายเหยาคอยช่วยดูยู่แล้ว ตอนนี้เขาจึงกลายเป็นคนไร้ภาระหน้าที่มากที่สุดในครอบครัว

ฉินมู่หลานได้ยินคุณปู่ฉินกล่าวแบบนี้ ก็ยังแปลกใจนิดหน่อย

“คุณปู่ อยากจะปรุงยาจริง ๆ เหรอคะ?”

“ใช่แล้ว ปู่อยู่ที่บ้านอย่างนี้ ไม่เหมือนกับตอนก่อนหน้านี้ที่อยู่ในหมู่บ้าน อย่างน้อยก็ยังได้ออกไปเดินเล่นได้ พอมาอยู่ที่นี่ รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรให้ทำเลย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานจึงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “คุณปู่ ถ้าอย่างนั้นต่อไปต้องรบกวนคุณปู่แล้วค่ะ”

เมื่อเห็นหลานสาวตอบตกลง คุณปู่ฉินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “รบกวนอะไรกันล่ะ ปู่ก็สมควรที่จะช่วยอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

หลังจากพูดจบ เขาก็รีบเอ่ยถาม “ตอนนี้จะทำอะไรเหรอ”

เมื่อเห็นท่าทางมุ่งมั่นของชายชรา ฉินมู่หลานก็อดยิ้มไม่ได้ หลังจากนั้นสองคนปู่หลานก็เริ่มยุ่งกัน

จนกระทั่งซูหว่านอี๋กลับถึงบ้าน แล้วทราบว่าพ่อสามีช่วยมู่หลานทำงาน จึงอดแอบถามลูกสาวไม่ได้ ก่อนจะทราบว่าพ่อสามีไม่อยากอยู่เฉย ๆ จากนั้นหล่อนก็ไม่ได้ถามมากอีก เพราะเป็นกังวลเรื่องฉินเจี้ยนเซ่อมากกว่า

“ไม่รู้ว่าพวกพ่อของลูกจะกลับมากันตอนไหน โครงการที่เซินเจิ้นนั่นจะเป็นยังไงบ้าง”

เมื่อเห็นแม่เป็นกังวล ฉินมู่หลานก็อดกล่าวไม่ได้ “แม่คะ แม่อย่ากังวลไปเลยค่ะ พ่อก็ส่งข่าวมาบอกแล้วไม่ใช่เหอคะ บอกว่าพวกเขาอยู่ที่เซินเจิ้นทุกอย่างเรียบร้อยดี แล้วโหยวหย่งก็ไปเซินเจิ้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ”

แม้ว่าโหยวหย่งจะไปเซินเจิ้นเพื่อหาแนวทางในอาชีพของตัวเอง แต่ทุกคนก็ล้วนอยู่ที่เซินเจิ้น อย่างไรก็ดูแลกันได้

แม้จะทราบความจริงข้อนี้ ซูหว่านอี๋ก็ยังกังวลนิดหน่อย แต่เพื่อไม่ให้ลูกสาวเป็นกังวลไปด้วย หล่อนจึงไม่พูดอะไรมาก ทำเพียงแค่ถามถึงเซี่ยเจ๋อหลี่ขึ้นมา “ช่วงนี้เจ๋อหลี่ไม่ค่อยกลับมาเลย ออกไปทำภารกิจอีกแล้วเหรอ ไม่รู้ว่าเขาจะมีวันหยุดเมื่อไหร่”

ช่วงนี้ภายในบ้านค่อนข้างเงียบเหงาลงไม่น้อย ฉินจี้ยนเซ่อและเซี่ยเหวินปิงไม่อยู่กัน ส่วนเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ไม่ได้กลับมานานแล้วหลังจากครั้งก่อน

“อาหลี่ออกไปทำภารกิจอีกแล้วค่ะ อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ”

“เฮ้อ…ทำไมพวกเขาถึงได้ยุ่งกันขนาดนี้”

ไม่ใช่แค่ซูหว่านอี๋เท่านั้น อันที่จริงเหยาจิ้งจือก็กังวลเรื่องที่สามีอยู่ห่างไกลในเซินเจิ้นเหมือนกัน โชคดีที่เย็นวันนั้น เผยเจิ้งผู่เป็นคนนำจดหมายมาให้

“พี่สะใภ้ทั้งสองครับ นี่คือจดหมายที่เหวินปิงกับเจี้ยนเซ่อฝากผมมาให้พวกพี่สะใภ้ครับ”

เมื่อเห็นจดหมายที่เผยเจิ้งผู่ยื่นมาให้ ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือจึงรีบรับทันที และไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณ “เจิ้งผู่ ขอบคุณมากเลยนะ”

เผยเจิ้งผู่บอกกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ผมผ่านเซินเจิ้นทุกครั้งที่จะกลับมา ยังไงก็เป็นทางเดียวกัน”

“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณอยู่ดี”

ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือไม่ลืมที่จะขอบคุณ แต่มือก็ยังเคื่อนไหวไม่หยุด ฉีกซองจดหมายออกอ่าน หลังจากทราบว่าทุกอย่างที่เซินเจิ้นเรียบร้อยดีก็โล่งใจได้

และเผยเจิ้งผู่ก็มีจดหมายอีกฉบับหนึ่ง

“นี่เป็นจดหมายของอาจารย์เหลียงครับ รบกวนพวกพี่สะใภ้นำไปให้ภรรยาของเขาหน่อยนะครับ”

ซูหว่านอี๋รีบรับไว้แล้วกล่าวว่า “ได้ เดี๋ยวรอเคอวั่งกลับมา ฉันจะให้เขาเอาไปให้ที่บ้านอาจารย์เหลียง”

“อย่างนั้นก็ดีครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

ขณะที่เผยเจิ้งผู่กำลังจะกลับไป ฉินมู่หลานก็เพิ่งมาถึงพอดี เขาจึงยิ้มแล้วกล่าวทักทายว่า “มู่หลาน ไม่เจอกันนานเลยนะ”

“ไม่เจอกันนานเลยค่ะ อาเผย”

เป็นเพราะเขานำจดหมายมาให้ พวกเขาจึงได้ติดต่อกับเผยเจิ้งผู่มากขึ้น และฉินมู่หลานก็ไม่ลืมที่จะเชิญเขามาร่วมรับประทานอาหารด้วย “อาเผยคะ พรุ่งนี้มากินข้าวที่บ้านพวกเรากันเถอะค่ะ พากวงซิ่นมาด้วยนะคะ”

“ได้สิ ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองพ่อลูกต้องขอรบกวนหน่อยแล้ว”

หลังจากเผยเจิ้งผู่หลับไป ฉินมู่หลานก็เดินตรงไปที่ห้อง ซูหว่านอี๋เห็นว่าลูกสาวกลับมาแล้ว จึงรีบเอ่ยถาม “มู่หลาน เคอวั่งล่ะ จะให้เขารีบไปส่งจดหมายให้ภรรยาของอาจารย์เหลียงสักหน่อย”

“เคอวั่งอยู่ที่ห้องค่ะ เดี๋ยวหนูไปเรียกเขามาให้”

หลังจากฉินเคอวั่งมา ก็รีบออกไปส่งจดหมายทันที ครั้งนี้อาจารย์ไปเฉิงเผิง เขาจะคอยวิ่งไปที่บ้านของอาจารย์เหลียงตลอด เพราะอาจารย์ไม่อยู่ เขาจึงต้องคอยดูแลอาจารย์แม่ให้ดี

ฉินมู่หลานหันมองซูหว่านอี๋ก่อนจะเอ่ยถาม “แม่คะ พวกพ่อเขียนจดหมายมาว่ายังไงบ้างคะ พวกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่?”

“จะกลับมาเมื่อไหร่ไม่รู้ แค่บอกว่าพวกเขาอยู่ที่เซินเจิ้นทุกอย่างเรียบร้อยดี”

เหยาจิ้งจือก็กล่าวตาม “ใช่แล้ว เหวินปิงก็เขียนบอกแบบนี้ในจดหมายเหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ตอนอาเผยกลับไป พวกแม่ก็ฝากจดหมายไปเขาได้นะคะ ลองถามว่าพวกพ่อจะกลับมาเมื่อไหร่”

ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือต่างก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่ เดี๋ยวพวกเราจะลองถามให้แน่ใจ”

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เผยเจิ้งผู่และเผยกวงซิ่นสองพ่อลูกก็มาที่นี่กัน

ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือเตรียมอาหารแสนอร่อยเป็นพิเศษ ระหว่างที่รับประทานอาหารก็เอ่ยขอบคุณเผยเจิ้งผู่ตลอด

เผยเจิ้งผู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ทั้งสอง เกรงใจกันเกินไปแล้วครับ ยังไงก็เป็นทางผ่านของผมอยู่แล้ว”

เมื่อเห็นเผยเจิ้งผู่พูดแบบนี้ ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือจึงไม่พูดอะไรอีก แต่พวกหล่อนก็ยังสงสัยเรื่องของตระกูลเผยนิดหน่อย “เจิ้งผู่ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เจอไฉ่อิงนานแล้วนะ”

พวกหล่อนเกลียดข่งไฉ่อิงมากจริง ๆ แต่เผยเจิ้งผู่เป็นคนดีมาก จึงไม่ได้เก็บเอาเรื่องที่ข่งไฉ่อิงทำก่อนหน้านี้มาใส่ใจอีกแล้ว

เมื่อพูดถึงภรรยาของตัวเอง ท่าทางของเผยเจิ้งผู่ก็ดูเบื่อหน่ายนิดหน่อย

“อ๋อ หล่อนอยู่ฮ่องกงครับ ต่อไปคงไม่กลับมาที่ปักกิ่งแล้ว”

แวบเดียวที่ได้เห็นท่าทางของเผยเจิ้งผู่ ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือก็ทราบว่าไม่ควรเอ่ยถามเรื่องนี้เลย คงจะมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่

เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสอง เผยเจิ้งผู่ก็รีบกล่าวทันที “ขอบคุณพี่สะใภ้ทั้งสองที่ต้อนรับนะครับ พวกเรากินข้าวกันต่อเถอะ”

เห็นเผยเจิ้งผู่กล่าวแบบนั้น ทั้งสองก็รู้สึกได้ว่าคงมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเผยเจิ้งผู่และข่งไฉ่อิง แต่มันไม่ง่ายที่จะถามเรื่องแบบนี้ จึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “ค่ะ กินก็กิน”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

กระจายงานให้คนอื่นที่ว่างๆ เถอะมู่หลาน งานจะได้ไม่โหลดคนเดียว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท