ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 590 ป้อนด้วยปาก

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 590 ป้อนด้วยปาก

ตอนที่ 590 ป้อนด้วยปาก

“อา ไม่ใช่เรื่องของฉันซะหน่อยค่ะ” หลินเซี่ยเหลือบมองหลินเยี่ยนและเซี่ยไห่แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อกี้นี้พี่ชายของเราเพิ่งสารภาพรักกับชุนฟางได้สำเร็จ พวกเราทุกคนเห็นฉากนั้นกับตาตัวเองเลย”

หลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเมื่อได้ยินข่าวดี “สารภาพรักเหรอ?”

หลินเยี่ยนยังพูดอย่างมีความสุขว่า “ใช่ค่ะ วันนี้พี่ชายฉันสร้างบรรยากาศทุกอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก ทุกคนรู้ใช่ไหมคะว่าวันนี้เราไปร้องเพลงกัน? ระหว่างนั้นเขาแอบออกไปซื้อช่อดอกไม้ด้วย โรแมนติกสุด ๆ”

คุณแม่เซี่ยตบต้นขาตัวเองดังฉาดอย่างมีความสุข “ไอหยา หลานชายฉันนี่จัดแจงเรื่องสำคัญจนสำเร็จได้จริง ๆ แปลว่าตอนนี้ชุนฟางกลายเป็นแฟนของจินซานแล้วสินะ?”

หลินเซี่ยพยักหน้า “ค่ะ คราวนี้เป็นแฟนกันอย่างเปิดเผยแล้ว”

สมาชิกในครอบครัวดีใจมากที่ได้ยินข่าวดังกล่าว

ในฐานะหัวหน้าครอบครัวและพ่อเลี้ยงของหลินจินซาน เซี่ยเหลยเริ่มวางแผนถึงอนาคตแล้ว “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เราต้องเตรียมงานของเราตั้งแต่เนิ่น ๆ หาวันไปเจอกับครอบครัวของชุนฟางในภายหลัง พวกเขาทั้งสองคนโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แถมยังไม่ใช่คนที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันสองวัน ดังนั้นเราควรจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด”

เซี่ยเหลยเคยให้สัญญากับหลินต้าฝูที่หน้าหลุมศพของเขาว่าเขาจะช่วยสนับสนุนให้หลินจินซานและหลินเยี่ยนได้มีครอบครัวที่ดี เพื่อให้วิญญาณของหลินต้าฝูที่บนสวรรค์สามารถวางใจได้

ตอนนี้หลินจินซานสละโสดเป็นที่เรียบร้อย ที่เหลือคือพ่อแม่ต้องรับผิดชอบต่อขั้นตอนต่าง ๆ ที่ตามมา

คุณแม่เซี่ยแสดงท่าาทางเห็นด้วย

“เสี่ยวเหล่ยพูดถูก เราต้องจัดการตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่อย่างนั้นคนหนุ่มสาวสมัยนี้จะรักกันแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ทันใจ บางครั้งอาจออกนอกลู่นอกทางกันได้ เราจะมั่นใจได้ก็ต่อเมื่อลงหลักปักฐานกันแล้ว”

“พรุ่งนี้หลังจากจินซานเลิกงาน เรามาคุยกับเขาโดยละเอียด เพื่อดูว่าชุนฟางมีท่าทียังไง และพยายามไปเจอพ่อแม่ของหล่อนโดยเร็วที่สุด”

งานแต่งของหลินเซี่ยเพิ่งเสร็จสิ้นไปหมาด ๆ บรรดาผู้ใหญ่ก็กลับมาเงียบเหงา แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะมีงานแห่งความสุขเกิดขึ้นอีกครั้ง ยิ่งคราวนี้เป็นการแต่งสะใภ้เข้าบ้าน บรรยากาศในครอบครัวจึงกลับมาร่าเริงอีกครั้ง

ในขณะนี้ ทุกคนเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงานของหลินจินซาน

“เอาล่ะ ไปนอนกันก่อนแล้วค่อยคุยกันใหม่พรุ่งนี้”

ทุกคนกลับไปที่ห้องของตัวเอง

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า? มีไข้ด้วยเหรอ?” เซี่ยอวี่ถามคนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์

เซี่ยไห่หยุดชะงัก

“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปถึงที่นั่นทันที”

ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไรกลับมา เซี่ยอวี่จึงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เดี๋ยวเธอจะตายเอานะ”

พูดจบเซี่ยอวี่ก็กระวีกระวาดจะออกไปข้างนอก

เซี่ยไห่ถามเธอว่า “พี่สาว ใครเป็นไข้? หมอเย่เหรอ?”

เซี่ยอวี่ตอบกลับ “ไม่ใช่ ลินดาน่ะ หล่อนบอกว่าเธอเป็นไข้สูง ตอนนี้อยู่ที่ห้องคนเดียว ถ้าจับไข้ขึ้นมาจะเป็นอันตรายเอาได้ พรุ่งนี้เรามีนัดทบทวนบทกับคนเขียนบทและผู้กำกับอยู่ด้วย ฉันต้องออกไปอยู่ดูแลหล่อน”

เมื่อได้ยินว่าลินดาเป็นไข้ ใบหน้าของเซี่ยไห่ก็เปลี่ยนเป็นกังวลทันที

เขาดูนาฬิกา พบว่าเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว จึงอาสาว่า “เธอไม่ต้องไป ฉันจะไปเอง พรุ่งนี้เธอมีงานเช้า ต้องเข้านอนเร็ว เดี๋ยวสภาพหน้าจะโทรมจนทำให้คนเขียนบทร้องยี้อีก คราวนี้เธอได้โดนปัดตกจากการรับบทแน่”

“คิดว่าฉันจะทำอะไรเกินเลยกับยัยทอมบอยนั่นหรือไง? ที่ฉันอาสาก็ไม่ใช่เพราะช่วยเธอหรอกเหรอ?”

เซี่ยไห่พูดแล้วก็เริ่มควานหากล่องยาสามัญประจำบ้านไปทั่วบ้าน

เซี่ยเหลยและหญิงชรามีสุขภาพไม่แข็งแรงทั้งคู่ ดังนั้นที่บ้านจึงมีกล่องยาติดไว้ตลอดเวลา

เซี่ยไห่หยิบกล่องยาขึ้นมา กำลังจะออกไปข้างนอก

เขาพูดกับเซี่ยอวี่ “บอกที่อยู่ของยัยนั่นมาให้ฉันเร็วเข้า”

เซี่ยอวี่เห็นว่าเซี่ยไห่กระตือรือร้นมาก ดังนั้นหล่อนจึงต้องเขียนที่อยู่ของอีกฝ่ายให้แก่เขา

เมื่อเขากำลังจะออกไป เซี่ยอวี่ก็หยุดเขาไว้ แล้วยื่นกุญแจห้องให้…

เซี่ยไห่ถือกล่องยาไปวางไว้ในรถ สตาร์ทรถ และมุ่งหน้าไปยังที่พักของลินดา

เขาขับรถเร็วมากจนมาถึงปลายทางภายในยี่สิบนาที เซี่ยอวี่กลัวว่าลินดาจะป่วยหนักและเป็นลมล้มพับอยู่ในบ้านตามลำพัง จึงให้กุญแจแก่เขา ไม่ลืมกำชับเตือนให้เขาอย่าทำอะไรรุ่มร่าม ส่งเสียงหน้าประตูก่อนจะเปิดเข้าไป

เซี่ยไห่เองก็กลัวว่าจะเกิดสถานการณ์ที่น่าอับอายอย่างในอดีตอีกครั้ง เขาจึงเคาะประตูก่อน แต่ไม่ได้รับเสียงตอบกลับมา เขาโทรหาลินดาอีกหลายสาย ก็ยังไม่มีใครกดรับ

หัวใจของเซี่ยไห่เริ่มหวั่นวิตกทันที เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก รีบหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู จากนั้นเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่องยาในมือ

“ลินดา เธออยู่ไหน?”

เซี่ยไห่เดินไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นเลย จึงทำได้เพียงเปิดประตูห้องนอนเท่านั้น

จากนั้นเขาก็เห็นลินดานอนขดตัวเป็นลูกบอลบนเตียง โดยห่มผ้าห่มคลุมโปงขึ้นไปถึงเหนือศีรษะ

เมื่อเซี่ยไห่เห็นฉากนี้ หัวใจของเขาก็ปวดร้าว

ทันใดนั้นก็รู้สึกสงสารหล่อนจับใจ

แม้ผู้หญิงคนนี้จะดูเหมือนเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเมื่ออยู่นอกบ้าน แต่พอกลับถึงบ้าน หล่อนก็กลายเป็นคนโดดเดี่ยว ไม่มีใครรู้ร้อนรู้หนาวในสิ่งที่เกิดขึ้นกับหล่อน เมื่อเห็นหล่อนตกอยู่ในสภาพนี้ เขาก็อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะนึกเห็นใจ

ในขณะเดียวกันก็หวนนึกถึงตัวเองด้วย

หาเงินได้เยอะจะมีประโยชน์อะไร? ถึงป่วยเจียนตายก็ไม่มีใครมาส่งข้าวส่งน้ำให้

เซี่ยไห่เดินไปหา ค่อย ๆ เลิกผ้าห่มที่คลุมหัวหล่อนออก

จากนั้นเขาก็แตะหน้าผากหญิงสาว ทันใดนั้นเซี่ยไห่ก็ต้องสะดุ้งโหยง

อุณหภูมิร่างกายหล่อนร้อนจนแทบไหม้

เขาตบหน้าหล่อนเบา ๆ แล้วพูดว่า “ลินดา เธอได้ยินฉันไหม?”

ลินดาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แต่สายตากลับพร่ามัวเลื่อนลอยไม่หยุดอยู่กับสิ่งใด เห็นได้ชัดว่าสติกำลังพร่าเลือน

เซี่ยไห่รีบเทน้ำหนึ่งแก้ว หยิบยาลดไข้ออกมาจากกล่องยา อีกเม็ดหนึ่งคือยาแก้หวัด จากนั้นเขาก็เลิกผ้าห่มออก ตั้งใจว่าจะช่วยประคองหล่อนขึ้นมาเพื่อป้อนยา

หล่อนสวมเสื้อผ้าหนาพอสมควร ทำให้มีสภาพไม่ต่างจากก้อนสำลี เซี่ยไห่มองไปที่เสื้อสเวตเตอร์และแจ็กเก็ตบุผ้าฝ้ายบนตัวของหล่อนแล้วก็พึมพำว่า “แต่งตัวแบบนี้นี่เอง ตัวถึงได้ร้อนจี๋”

เขาถือน้ำและยาไว้ในมือ พูดว่า “มา อ้าปากหน่อย”

เมื่อเห็นหล่อนไม่ตอบสนอง เขาก็ขู่หล่อน

“อ้าปากเร็วเข้า ไม่งั้นฉันจะป้อนด้วยปากนะ”

ลินดาที่ตัวร้อนผ่าวเป็นไฟเหมือนได้ยินเสียงของเซี่ยไห่จากที่ไกล ๆ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาพร่ามัวเริ่มขยายใหญ่ขึ้น แถมยังได้ยินเขาบอกว่าจะป้อนยาให้หล่อนด้วยปาก

ดวงตาของหล่อนพร่าเลือน ยังคงพึมพำ “ฉันฝันไปหรือเปล่า?”

“อืม ฝันอยู่ อ้าปากเร็ว ๆ สิ” เซี่ยไห่เร่งเร้า

“เมื่อกี้นายว่าไงนะ? จะป้อนด้วยปากเหรอ?”

จิตใจของลินดาสับสน คิดว่าตัวเองกำลังฝันไปจริง ๆ ปกติหล่อนไม่กล้ามองหน้าผู้ชายมาดกวนคนนี้ตรง ๆ เท่าใด แต่ในเมื่อมันเป็นความฝัน หล่อนจึงมีความกล้าหาญอยู่บ้าง เหล่ตาแล้วยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มและพูดล้อเล่น

“งั้นนายก็ป้อนฉันเลยสิ”

เซี่ยไห่ “!!!”

ยัยทอมบอยคนนี้ใจกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ?

เขามองดูใบหน้าที่แดงก่ำของหล่อน ลามไปถึงดวงตาที่พร่ามัว จากนั้นก็กลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว

พอได้มองหล่อนใกล้ ๆ แบบนี้ ต้องบอกตามตรงว่าแม่สาวทอมบอยช่างพราวเสน่ห์เหลือเกิน

ปากของเซี่ยไห่เริ่มแห้งผาก เร่งเร้าอีกฝ่ายอย่างไม่อดทน

“อ้าปากเร็ว ๆ จะได้กินยา”

“ไม่คิดจะป้อนยาฉันด้วยปากแล้วหรือไง? ป้อนฉันหน่อยสิ เซี่ยไห่ หรือนายไม่กล้า”

พอลินดาตกอยู่ในภวังค์ความสับสน หล่อนก็เริ่มพูดเรื่องไร้สาระ

เซี่ยไห่รู้สึกแย่เมื่อได้ยินแบบนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อเล็กน้อยเมื่อหล่อนล้อเลียนเขา จากนั้นก็ตอบโต้ด้วยความโกรธ

“บ้าเอ๊ย ฉันไม่เคยนึกเลยว่าเธอจะทอดสะพานเก่งขนาดนี้”

เซี่ยไห่อ้าปากอย่างเกรี้ยวกราดและยัดยาเข้าไปข้างในปากอีกฝ่าย

เม็ดยาลดไข้ไม่ได้เคลือบน้ำตาลด้านนอก ทำให้มีรสขมปร่าเมื่อตัวยาสัมผัสถูกลิ้น

ทันใดนั้นลินดาจึงตื่นขึ้นจากอาการมึนงง

หรือว่านี่ไม่ใช่ความฝันกันนะ?

ในขณะที่กำลังมึนงง เซี่ยไห่ก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจ่อปากหล่อน

“ดื่มน้ำตามเร็ว”

“หา?” ลินดามองใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างว่างเปล่า สายตาของเริ่มเบลอมากขึ้นเรื่อย ๆ

เซี่ยไห่เห็นว่าหล่อนไม่มีกะจิตกะใจจะดื่มน้ำด้วยซ้ำ ได้แต่อมยาไว้ในปากราวกับว่าหมดเรี่ยวแรงจริง ๆ

ดวงตาของเขาจ้องไปที่ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มของหล่อนเป็นเวลาสองวินาที จิตใจของเขาก็หยุดเต้นกะทันหัน จากนั้นก็หยิบน้ำขึ้นมาจิบเล็กน้อย ก่อนที่จะ…

โน้มตัวเข้าไปใกล้หล่อน…

ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “เหลือแค่กลืนแล้ว”

สีหน้าของลินดากลับมาหม่นหมองและหวาดกลัวอีกครั้ง มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็ง

รับรู้ได้ถึงสัมผัสอันนุ่มนวลของริมฝีปากของจริง ตามด้วยความรู้สึกราวกับกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย…

หลังจากกลืนยา เซี่ยไห่กำลังจะอุ้มหล่อนขึ้นเตียง แต่เมื่อเห็นว่าหล่อนสวมเสื้อผ้าหนาเกินความจำเป็น อาจส่งผลให้นอนไม่ค่อยสบายเท่าใด เขาจึงถอดแจ็กเก็ตบุผ้าฝ้ายตัวนอกของหล่อนออก แล้วถอดเสื้อสเวตเตอร์ตัวรองอย่างยากลำบาก ให้ทั้งตัวเหลือแค่ชุดนอนแบบเสื้อและกางเกงแยกชิ้นแค่ชั้นเดียว แล้วอุ้มหล่อนขึ้นไปนอนบนเตียง

เขาตรวจสอบอุณหภูมิอีกรอบ แล้วพบว่าอุณหภูมิพุ่งถึงสามสิบเก้าจุดแปดองศา

การกินยาลดไข้อาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่เห็นผลชะงัด เซี่ยไห่เดินเข้าห้องน้ำเพื่อรองน้ำใส่กะละมัง หยิบผ้าเช็ดตัวติดมือมา แล้วนั่งลงบนเตียงเพื่อเช็ดตัว ทำให้ร่างกายระบายความร้อน

แม้ว่าเขาจะรู้จักลินดามาหลายปี แต่เขาแทบไม่เคยสังเกตหล่อนอย่างใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อน

เซี่ยไห่จ้องมองไปที่เสื้อแจ็คเก็ตและเสื้อสเวตเตอร์บุผ้าฝ้ายที่เขาเพิ่งถอดออก

ที่แท้เสื้อผ้าที่ยัยทอมบอยคนนี้ใส่ตอนอยู่บ้านก็มีสีสันสดใสสมกับเป็นผู้หญิงเหมือนกันนี่นา

จมูกของหล่อนโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเล็กละมุน ผิวหน้าบอบบาง อย่างไรก็ตาม ผมของหล่อนตัดซอยสั้นเกินไป ทำให้ดูไม่ชัดเจนถึงเพศสภาพ

อันที่จริงเขายังพอเข้าใจ ว่าในเมื่อหญิงสาวต้องทำงานคร่ำหวอดในวงการบันเทิง เป็นธรรมดาที่เธอต้องทำให้ตัวเองมีความสุขุมจริงจังสมเป็นผู้ใหญ่ และมีความสามารถเช่นเดียวกับผู้ชาย

ก่อนอื่น ต้องทำให้ตัวตนได้รับความไว้วางใจจากคนนอก

เซี่ยไห่หยิบผ้าเช็ดตัวชุบน้ำหมาด ๆ วางบนหน้าผาก เมื่อมองดูใบหน้าของหล่อนอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้า แต่แค่ยื่นมือออกไป มือข้างนั้นก็ชะงักแช่แข็งอยู่กลางอากาศ ชั่วครู่จึงชักมือกลับ

เขาไม่ทำอะไรนอกจากเฝ้าดูเงียบ ๆ คอยเช็ดตัวประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงวัดอุณหภูมิ ในที่สุดมันก็ลดลงเล็กน้อย

เซี่ยไห่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ยังไม่กล้าวางใจในทันที

เขาลุกไปถ่ายน้ำจากกะละมัง แล้วเช็ดตัวหล่อนต่อไป

เมื่อลินดาตื่นขึ้น ทันทีที่ลืมตาหันไปด้านข้าง ก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังนอนกรนอยู่ข้างเตียง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ได้เวลาทำคะแนนแล้วนะคะเซี่ยไห่ ตอนดูแลเอาใจใส่คนอื่นก็นุ่มนวลอ่อนโยนอยู่นะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

……………………………………

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท