บทที่ 257 เขาตาบอดหรือ?
บทที่ 257 เขาตาบอดหรือ?
“งามนัก”
โม่จวินเจ๋อไม่สนใจกิ่งไม้ที่บดบังสายตา เขารู้สึกว่าปิ่นหยกขาวช่างเข้ากับหลิงเยว่ยิ่งนัก
ผู่ตานร้องฮึดฮัดขึ้นมา พลางมองสีหน้าของโม่จวินเจ๋อราวกับกำลังมองสิ่งประหลาดอะไรบางอย่าง ตอนนี้หลิงเยว่เนื้อตัวสกปรก แม้แต่ผมที่รวบไว้ยังยุ่งเหยิงไปหมด แล้วจะสวยงามได้อย่างไร?
เขาตาบอดหรือ?
โม่จวินเจ๋อเข้าใจสายตาของผู่ตานดี
“ไปกันเถอะ พวกเราจะลงไปชั้นสอง แล้วไปช่วยศิษย์พี่ที่ชั้นสามอีกฝั่ง”
หลิงเยว่จูงมือทั้งสองฝ่าหมอกปีศาจ มุ่งหน้าตรงไปยังโพรงใหญ่ด้านหน้าทันที
เมื่อมาถึงชั้นสาม กลับพบว่าสถานการณ์ที่นี่ย่ำแย่กว่าที่พวกเขาคิดไว้
ติงหลิวหลิ่วนอนแน่นิ่งอยู่ด้านข้าง หากไม่ได้โล่ป้องกันคุ้มครองไว้ กลัวว่าคงถูกปีศาจกินจนหมดแล้ว
“ศิษย์น้องห้า ท่านมาได้อย่างไร!”
ว่านอวี้เฟิงที่ถูกช่วยออกมาจากวงล้อมของปีศาจร้องไห้ออกมา ไม่ว่าจะสังหารปีศาจเหล่านี้อย่างไร พวกมันก็จะรวมตัวกันเป็นปีศาจตัวใหม่อย่างรวดเร็ว ฆ่าไม่มีวันหมดสักที!
อวี้เจินและลู่เป่ยเหยียนตาแดงฉานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แม้แต่ตอนที่ถูกหลิงเยว่ลากตัวออกมา มือและเท้ายังคงโบกไปมา ทั้งตัวดิ้นพล่านไปหมด ปากยังคงตะโกนให้ฆ่าอยู่ตลอดเวลา
ทั้งเจ็ดคนเข้าไปอยู่ในโล่ป้องกันที่วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยสร้างขึ้น หลิงเยว่ประคองติงหลิวหลิ่วขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วป้อนโอสถให้นาง ในขณะที่ผู่ตานและโม่จวินเจ๋อพันแผลให้คนอื่น ๆ
เมื่อโม่จวินเจ๋อเห็นบาดแผลบนไหล่ของลู่เป่ยเหยียนที่ถูกหมอกปีศาจรุกราน ริมฝีปากของเขาเริ่มเป็นสีดำม่วง…
หมอกปีศาจได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว
อวี้เจินก็เช่นกัน ไม่แปลกใจที่จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้สติ
“สุราปราบมารน่าจะได้ผล”
หลิงเยว่หยิบสุราปราบมารออกมา ป้อนให้ทั้งสองคนครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งใช้ล้างบาดแผลของพวกเขา
แน่นอนว่าหลังจากดื่มเหล้าและล้างบาดแผลแล้ว ทั้งสองจึงสงบลง
สุราปราบมารเหลือไม่มากแล้ว หลิงเยว่รู้สึกเสียใจยิ่งนัก รู้อย่างนี้น่าจะเอามาเยอะสักหน่อย ตอนนี้เหลือแค่สิบไหก็ไม่พอแล้ว
อวี้เจินที่ได้สติ จุ๊ปากแล้วมองไปที่หลิงเยว่ พลันแย่งสุราปราบมารในมือของอีกฝ่ายไปทันที
หนึ่งถ้วยมีมูลค่าเท่ากับหินวิญญาณขั้นกลางหนึ่งพันล้านก้อน หลิงเยว่ถึงกับเอามันมาใช้แบบนี้ อวี้เจินรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
“อย่าเสียของเลย ให้ข้านั่งสมาธิสักพักเพื่อขับไล่พลังปีศาจออกไปก็พอ”
ลู่เป่ยเหยียนก็ห้ามโม่จวินเจ๋อไม่ให้ใช้สุราปราบมารไปเสียเปล่า ผู้บาดเจ็บทั้งสี่เริ่มนั่งขัดสมาธิบนพื้นทันที
หลิงเยว่เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก พลางมองไปที่ผู้บำเพ็ญและสัตว์อสูรที่คลุ้มคลั่งอยู่นอกโล่ป้องกัน ทางออกของชั้นสี่อยู่ที่ไหน?
หรือว่าครั้งนี้จะต้องบังคับทะลุกำแพงด้านบนอีก พึ่งพาการยั่วยุสัตว์ที่อยู่ในชั้นสี่ให้มันลงมา
หลิงเยว่นึกถึงประสบการณ์ช่วงนี้ เลือดแทบจะแห้งหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อขึ้นไปข้างบน พลังของสัตว์อสูรก็ยิ่งแข็งแกร่ง เพิ่งมาถึงชั้นสาม พวกเขาเจ็ดคนก็เหลือแค่ครึ่งเดียวแล้ว ไม่ได้! ยังคงต้องหาทางขึ้นไปชั้นสี่ให้ได้โดยเร็ว
ขอแค่ขึ้นไปชั้นสี่ได้สำเร็จ ชั้นบนสุดคือชั้นหกก็ไม่ไกลแล้ว
ผู่ตานและโม่จวินเจ๋อสบตากัน แล้วออกไปตามหาทางขึ้นชั้นสี่
หลิงเยว่ก็อยากไป แต่เมื่อมองดูสี่คนที่บาดเจ็บ จึงได้แต่เลือกที่จะนั่งมองอยู่ในโล่ป้องกันต่อไป
สองคนเพิ่งออกไปก็ดึงดูดเหล่าสัตว์อสูรในทันที
ชั้นสามใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาจะหายังไงดี?
หลิงเยว่นึกถึงปีศาจดอกเบญจมาศที่หนีไป ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ มันน่าจะอยู่ที่นี่ ขอแค่หามันเจอก็จะเจอทางเข้าชั้นสี่ได้!
โม่จวินเจ๋อและผู่ตานก็นึกถึงปีศาจดอกเบญจมาศเช่นกัน คนหลังปล่อยตะขาบมรกตตัวที่สองให้มันหาโดยใช้การดมกลิ่น
“เหม็นเกินไป ข้าจะถูกรมควันตายแล้ว!”
ตะขาบมรกตตัวที่สองบ่นอยู่ในปาก แต่ยังคงหาต่อไปอย่างขยันขันแข็ง
“ข้าได้กลิ่นของสิ่งน่าเกลียดนั่นแล้ว!”
ตะขาบมรกตตัวที่สองบินไปมาอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ปีศาจดอกเบญจมาศเคยปรากฏตัวที่นี่ แต่กลิ่นเริ่มหายไปแล้ว!
“มันอยู่ตรงนั้น!”
ผู่ตานเหลือบมองเห็นปีศาจดอกเบญจมาศที่น่าเกลียดที่สุดในบรรดาปีศาจ ไม่รอช้าแม้แต่วินาทีเดียว เขาก็รีบไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
“มาไล่ตามข้าสิ ถ้าไล่ทัน… ฮ่า!” ปีศาจดอกเบญจมาศวิ่งไป แถมยังหันหลังกลับมายิ้มให้อีก ยิ้มจนอีกฝ่ายอยากจะแทงตามันให้บอดเสีย!
ทำไมถึงได้หน้าตาน่าเกลียดและมีกลิ่นเหม็นขนาดนี้!
สองคนหนึ่งตะขาบไล่ตามไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ ก็พบว่าพวกเขาถูกพาไปยังห้องโถงใหญ่ที่ไม่มีเวทมนตร์ชั่วร้าย ทางซ้ายขวาและตรงกลางของห้องโถงใหญ่ต่างมีประตู
บนประตูทั้งสามแกะสลักด้วยภาษาปีศาจ มนุษย์ทั้งสองบอกว่าอ่านไม่ออก
ปีศาจเบญจมาศยืนตระหง่านอยู่ตรงกลางประตูทั้งสามบาน ถึงแม้เมื่อครู่จะถูกตีจนพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับฟื้นตัวจนหายดีเป็นปลิดทิ้ง
“หากพวกเจ้ายอมบอกว่าของล้ำค่าอยู่ที่ใด ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าประตูบานใดนำไปสู่ทางที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานนัก”
“ของล้ำค่าอะไรกัน?”
ผู่ตานรู้ว่าปีศาจเบญจมาศกำลังพูดถึงหลิงเยว่ แต่ว่าบนตัวศิษย์น้องของเขามีอะไรดึงดูดปีศาจได้ขนาดนี้กัน?
ปีศาจเบญจมาศเหลือบมองผู่ตานอย่างดูแคลน มันไม่อยากอธิบายอะไร แต่กลับจ้องมองไปที่โม่จวินเจ๋อซึ่งกำลังสังเกตประตูอย่างเงียบ ๆ
“ข้าพลัดพรากจากนางแล้ว”
“ไม่จริง! กลิ่นของนางยังติดตัวเจ้าอยู่เลย!”
ปีศาจเบญจมาศตะโกนด้วยความไม่เชื่อ “พวกเจ้าต้องซ่อนนางไว้แน่ ๆ รีบส่งตัวนางมา ไม่อย่างนั้น!”
ประตูตรงกลางถูกเปิดออกครึ่งหนึ่งอย่างกะทันหัน ดวงตาสีดำสนิทคู่หนึ่งจ้องมองพวกเขาอย่างเย็นชา บรรยากาศรอบด้านเย็นยะเยือก ผู่ตานสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว
พลังปีศาจที่เย็นยะเยือก พยายามบุกรุกร่างกายของพวกเขาทั้งสอง แต่กลับพบว่าพลังปีศาจถูกดูดซับหายไปเมื่อสัมผัสผิวหนังของทั้งคู่
“หือ?” ดวงตาคู่นั้นกะพริบปริบ ๆ
“ช่างน่าสนใจ”
“อย่ามัวแต่สนใจอะไรนักหนา รีบค้นวิญญาณพวกมันเดี๋ยวนี้!”
ปีศาจเบญจมาศโกรธเป็นอย่างมาก
ค้น… วิญญาณ?
“หึ! อยากจะค้นวิญญาณของข้าหรือ? ไปค้นในนรกแล้วกัน!”
เปลวไฟก้อนหนึ่งแบ่งออกเป็นหลายสาย พุ่งตรงไปยังดวงตาสีดำและปีศาจดอกเบญจมาศที่ซ่อนตัวอยู่ในประตู โม่จวินเจ๋อและตะขาบมรกตตัวที่สองก็เคลื่อนไหว
โม่จวินเจ๋อและผู่ตานหายไปเป็นเวลานาน นานจนกระทั่งอวี้เจินและอีกสามคนเกือบจะหายดีแล้ว หลิงเยว่ไม่อยากนั่งรอความตาย จึงตัดสินใจไปตามหาพวกเขา
“พวกเขาคงไม่ได้ขึ้นไปชั้นสี่หรอกนะ?” ติงหลิวหลิ่วสงสัย
“ข้ารู้สึกถึงพลังของตะขาบมรกตตัวที่สอง”
ตะขาบมรกตตัวที่สามกระพือปีก ตะขาบมรกตตัวที่สี่และตะขาบมรกตตัวที่ห้ารีบตามไปทันที วิญญาณผู้พิทักษ์ตัวน้อยจึงสลายโล่ป้องกันแล้วเกาะอยู่บนไหล่ของหลิงเยว่
ทั้งห้าฆ่าและไล่ล่าไปตลอดทางจนเห็นตะขาบมรกตตัวที่สองเพิ่งบินวนเป็นวงกลมเมื่อครู่
หลิงเยว่เพิ่งจะก้าวลงไป แต่กลับเหยียบลงไปในที่ว่างเปล่า อวี้เจินตาไวรีบจับมือของนางไว้ ทั้งสองจึงจมไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
ติงหลิวหลิ่วรีบกระโจนเข้าไปกอดขาอวี้เจินไว้ ว่านอวี้เฟิงและลู่เป่ยเหยียนที่อยู่ด้านหลังออกแรงดึงสุดกำลัง แต่ก็ไม่เป็นผล ว่านอวี้เฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดก็ถูกดึงลงไปด้วย ตะขาบมรกตทั้งสามตัวดำดิ่งลงไปด้วยเช่นกัน
ทุกคนคิดว่าถ้าแย่ที่สุดคงตกลงไปชั้นสอง แต่กลับพบว่าที่ที่ตกลงไปนั้นไม่ใช่ชั้นสองที่คุ้นเคย
กลับเป็นห้องหินที่ว่างเปล่า
พื้นข้างล่างนั้นว่างเปล่าจริง ๆ แต่ด้านบน… มีบางอย่าง
โลงศพสี่โลงแขวนเรียงกันอยู่ทางด้านซ้ายและขวา บนโลงศพมีโซ่ล่ามพันกันชั้นแล้วชั้นเล่า
ตะขาบมรกตตัวที่สองที่เพิ่งตกลงมา บังเอิญตกลงบนฝาโลงศพหนึ่ง
“อ๊ะ! อะไรมาทิ่มข้า!”
ตะขาบมรกตตัวที่สองลุกพรวด ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวมันจึงพ่นน้ำลายใส่โซ่บนหีบศพ แต่น่าแปลกที่ฤทธิ์กัดกร่อนนั้นกลับไม่มีผลต่อโซ่เลย!
ทันใดนั้น มีกลุ่มควันสีดำลอยออกมาจากช่องว่างของหีบศพ
ห้าคนกลืนน้ำลายพร้อมกัน แล้วค่อย ๆ ถอยหลังออกมา