ตอนที่ 1,201 นี่มันมากหรือน้อยกัน?
เมืองเยี่ยเฉิง แดนตะวันตกเฉียงเหนือ เขตพื้นที่ระดับ 1
มีเพียงผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตแดนนี้เท่านั้นจึงจะได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ตลอดวัน
นี่คือสถานที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมดีที่สุดและมีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดที่สุด เมื่อเทียบกับสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในเขตพื้นที่ระดับ 2 และระดับ 3
บนทางผ่านระหว่างเทือกเขาเขียวขจีเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์งดงามอันเงียบสงบหลังหนึ่ง
มันเป็นคฤหาสน์ลอยฟ้า
สำหรับในเขตพื้นที่ระดับ 1 ต้องเป็นเทพเจ้าขั้นสูงระดับหัวหน้าตระกูลศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ลอยฟ้าเช่นนี้
คฤหาสน์หลังนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน
ในอดีต คฤหาสน์หลังนี้เคยถูกปกครองด้วยเผ่าพันธุ์นกแก้วเทวะ แต่พวกมันก็ถูกฆ่ากวาดล้างเผ่าพันธุ์ในข้อหาคิดก่อกบฏต่อดินแดนทวยเทพ ดังนั้น เผ่าพันธุ์นกแก้วเทวะที่เคยดำรงอยู่มานานหลายร้อยปีจึงล่มสลายลงไปอย่างรวดเร็ว
บัดนี้ มีเจ้าของใหม่มาครอบครองคฤหาสน์ลอยฟ้าหลังนี้แล้ว
และตัวคฤหาสน์ก็ได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่…
เป็นคฤหาสน์ตระกูลฮัน
เจ้าของใหม่มีนามว่าฮันฉวิน เขาคือรองผู้บังคับการหน่วยรบแห่งกองทัพเทวะของสภาเทพเจ้า
เป็นน้องชายที่หายสาบสูญไปอย่างยาวนานของท่านผู้เฒ่าฮันหลี่
ฮันลั่วเซวี่ยและมารดาอู๋เหว่ยโดยสารรถม้าสีดำทมิฬเข้าสู่เขตพื้นที่ระดับ 1 และเดินทางมาถึงหน้าคฤหาสน์ลอยฟ้าโดยไม่รู้ตัว ที่นี่พวกนางมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติยี่สิบคน การใช้ชีวิตที่ยากลำบากในอดีตคล้ายกับเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
รองผู้บังคับการฮันฉวินเสร็จสิ้นงานราชการและเพิ่งได้มีโอกาสเดินทางกลับคฤหาสน์มาพบกับสองแม่ลูกเป็นครั้งแรก
“ตอนนั้นหากพี่ใหญ่ไม่ช่วยข้าหลบหนี ป่านนี้ข้าก็คงกลายเป็นเศษกระดูกกองใหญ่ไปแล้ว”
“หลายปีที่ผ่านมา ข้าต่อยตีฆ่าฟันผู้คนอยู่ที่ภายนอก ไม่เคยคิดลืมเลือนบุญคุณและความเมตตาของพี่ใหญ่เลยแม้แต่วันเดียว”
“ในที่สุด ข้าก็ได้รับการช่วยเหลือโดยเทพเจ้าแห่งดวงตะวัน และได้รับการบรรจุเข้าเป็นสมาชิกในตระกูลเทพเจ้า ข้าจึงมีหน้ากลับมาที่แดนพายัพ สิ่งแรกที่ข้าทำคือการตามหาตัวพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพี่ใหญ่จะ… เฮ้อ เขาช่างโชคร้ายยิ่งนัก ข้ารู้สึกผิดต่อพี่ใหญ่เหลือเกิน”
“แต่โชคดีที่พี่สะใภ้กับหลานสาวยังปลอดภัย ดังนั้นข้าจึงมีโอกาสได้ชดใช้ความผิดให้แก่ตนเองอยู่บ้าง”
“พี่สะใภ้กับหลานสาวโปรดอยู่ที่นี่ให้สบาย จงคิดเสียว่าคฤหาสน์ตระกูลฮันเป็นบ้านหลังใหม่ของพวกท่าน หากต้องการสิ่งใด สามารถบอกข้าได้เลยไม่ต้องเกรงใจ… บัดนี้ โลกภายนอกไม่สงบสุข หากไม่มีเหตุจำเป็นอันใด พวกท่านคงต้องออกจากคฤหาสน์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ฮันฉวินผู้แต่งกายด้วยชุดลำลองเรียบง่ายปรากฏตัวเข้ามาขออภัยอู๋เหว่ยกับฮันลั่วเซวี่ยสองแม่ลูก
อู๋เหว่ยเคยพบฮันฉวินมาแล้วครั้งหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ถึงนางจะไม่คุ้นเคยกับชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่หญิงชราก็รู้สึกได้ถึงความปรารถนาดี อู๋เหว่ยคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบการต่อสู้ในอดีต บัดนี้กลับเป็นถึงนักรบเทวะชั้นสูง อีกทั้งฮันฉวินยังมีรูปโฉมหล่อเหลา เป็นที่หมายปองของเทพธิดาจำนวนมาก
ฮันลั่วเซวี่ยไม่เคยพบเจอกับท่านอาผู้นี้มาก่อน นางจึงนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งฮันฉวินลุกขึ้นเตรียมตัวกลับเพื่อไปสะสางงานราชการต่อ ฮันลั่วเซวี่ยจึงได้เอ่ยออกมาว่า “ท่านอาเจ้าคะ… ช้าก่อน… หลานมีเรื่องอยากรบกวน”
ฮันฉวินหันหน้ามองไปที่หลานสาวของตนเองด้วยความเมตตา “เสี่ยวเซวี่ย หากเจ้ามีอะไรจะพูด ได้โปรดอย่าเกรงใจ”
“ข้าน้อยมีสหายอยู่ผู้หนึ่ง เขาหูหนวกและเป็นใบ้ เขา…”
ฮันลั่วเซวี่ยเกิดอาการลังเล อยากจะพูดออกมาเพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากท่านอา
ฮันฉวินยิ้มกว้างและกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าออกคำสั่งไปเรียบร้อยแล้ว หากเจ้าต้องการพบเขา ข้าก็สามารถสั่งให้คนไปพาตัวเขามาที่คฤหาสน์หลังนี้ได้ทันที”
“จริงหรือเจ้าคะ?”
ฮันลั่วเซวี่ยเบิกตาโตด้วยความดีใจ แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลินเป่ยเฉินมีภรรยาอยู่แล้ว สีหน้าของเด็กสาวจึงกลับมาเศร้าหมองอีกครั้ง “แต่หากเขาไม่อยากมา ก็ไม่ต้องบังคับเขาหรอกเจ้าค่ะ”
ฮันฉวินยังคงยิ้มและกล่าวต่อไป “ไม่ต้องห่วง เด็กใบ้ผู้นี้เป็นผู้ช่วยชีวิตเจ้ากับพี่สะใภ้ ข้าจะปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี”
ฮันลั่วเซวี่ยพยักหน้า
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เด็กสาวก็กล่าวอีกครั้ง “ท่านอาเจ้าคะ หลานต้องการฝึกวิทยายุทธ์ หลานอยากจะเป็นนักรบเทวะเช่นท่านอา หลานอยากจะกำหนดโชคชะตาด้วยตนเอง”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ข้าจะจัดหาอาจารย์มาฝึกสอนเจ้า นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าจะได้ฝึกวิทยายุทธ์ตามที่ใฝ่ฝัน”
ฮันฉวินตอบตกลงโดยไม่ลังเล
…
“นี่หรือคือแก่นกายอสูร?”
หลินเป่ยเฉินถือกระดูกที่มีขนาดเท่ากับเม็ดถั่วอยู่ในมือและสังเกตดูอย่างระมัดระวัง
ข้างกายเขาเต็มไปด้วยซากศพของหมาป่าขนเทาจำนวนหลายสิบตัว
พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่สามารถพบเจอได้เยอะที่สุดในเขตแดน 4 ของหุบผาอเวจี และพวกมันก็มักจะเป็นเหยื่อของนักผจญภัยหน้าใหม่เสมอ ว่ากันว่ามีจำนวนหมาป่าขนเทาต้องถูกล่าในแต่ละวันสูงถึงหลายหมื่นตัว
เคยมีคนผู้หนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า… จำนวนซากศพของหมาป่าขนเทาที่ถูกฆ่าตายทุก ๆ วันในหุบผาอเวจีนั้น สามารถนำมาจัดเรียงได้รอบเมืองเยี่ยเฉิงเลยทีเดียว
ดวงตาสีแดงก่ำหลายสิบคู่ที่หลินเป่ยเฉินเผชิญก่อนหน้านี้ ก็คือหมาป่าขนเทาเหล่านี้นี่เอง
เหล่านักผจญภัยผู้หลงทางคือเหยื่อที่หมาป่าขนเทาโปรดปราน พวกมันมักอาศัยขุมกำลังที่มากกว่าข่มเหงผู้ที่มีขุมกำลังน้อยกว่า หมาป่าขนเทามักจะจัดการเหยื่อด้วยความอำมหิต แต่วันนี้พวกมันกลับถูกหลินเป่ยเฉินจัดการได้อย่างง่ายดายยิ่ง
หลินเป่ยเฉินถือคัมภีร์ ‘คู่มือนักผจญภัยในหุบผาอเวจีฉบับเบื้องต้น’ อยู่ในมือและตรวจสอบจนพบข้อมูลว่าสำหรับหมาป่าขนเทาเหล่านี้ เขาสมควรผ่าเอาแก่นกายของพวกมันออกมาเพื่อนำไปขึ้นเงินแลกของรางวัลในภายหลัง
“หน้าตาดูแปลก ๆ แฮะ”
หลินเป่ยเฉินมองกระดูกที่อยู่ในมืออีกครั้งด้วยความประหลาดใจ “ตัวใหญ่แต่ดันมีแก่นกายเล็กแค่นี้เองเหรอเนี่ย?”
มิหนำซ้ำ แก่นกายของหมาป่าขนเทาหนึ่งชิ้นสามารถแลกเป็นคะแนนศรัทธาได้เพียง 0.1 แต้มเท่านั้น
ให้ตายสิ
คะแนนศรัทธาอย่างนั้นหรือ?
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นกุมหน้าผาก
สกุลเงินในดินแดนทวยเทพมีความซับซ้อนมากกว่าที่เขาคิด
หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าเทพเจ้าเหล่านี้จะใช้สกุลเงินหลักเป็นศิลาเทวะเสียอีก
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงมึนงงแล้ว
คะแนนศรัทธา 0.1 แต้มมันมากหรือน้อยกันล่ะ?
“ในคู่มือบอกว่าหมาป่าขนเทาเป็นสัตว์อสูรที่พบได้ทั่วไปในเขตแดน 4 เมื่อมันสามารถพบได้ทั่วไปก็คงมีราคาถูก งั้นก็สรุปได้ว่ามูลค่าคะแนนศรัทธา 0.1 แต้มนั้น ไม่น่าจะมากมายอะไร”
หลินเป่ยเฉินได้ข้อสรุปให้แก่ตนเอง
เขานี่มันอัจฉริยะเหลือเกิน
เมื่อชื่นชมตนเองจนพอใจแล้ว เด็กหนุ่มก็เริ่มชำแหละซากหมาป่า
เพียงไม่นาน เขาก็ได้แก่นกายอสูรที่มีมูลค่าเทียบเท่าคะแนนศรัทธา 1.2 แต้มมาอยู่ในมือ
หลินเป่ยเฉินถือกระบี่เดินลุยไปข้างหน้าต่อไป
อุโมงค์ดำมืดทอดยาวคดเคี้ยว แต่มันก็มีขนาดกว้างใหญ่มากพอที่จะให้รถม้าวิ่งเข้าออกได้เช่นกัน
แต่ขณะนี้ มีเพียงหลินเป่ยเฉินที่เดินอยู่ตามลำพังท่ามกลางความมืดมัว
และยิ่งเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์มากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งพบร่องรอยของต้นไม้กับวัชพืชที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดินและบนกำแพงหินมากเท่านั้น