ตอนที่ 1,209 คุณชายต้องการ… ที่จะ… ขาย…
ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย
ชิงเล่ยก็สวมใส่ชุดกระโปรงสีแดงเดินกลับออกมาที่ลานด้านหน้าคูหาอีกครั้ง
บังเกิดเสียงอุทานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นั่นเป็นเพราะว่าชุดกระโปรงสีแดงที่นางสวมใส่ยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงความสวยงามของแม่นางชิงเล่ย จนบุรุษหนุ่มทุกคนที่เฝ้ามองอดอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงไม่ได้
คอเสื้อแนบเนื้อเว้าลึกอวดเนินอกอิ่ม เอวคอดกิ่วชวนให้ผู้จ้องมองต้องกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
ตัวเสื้อแหวกลึกเผยให้เห็นถึงหน้าท้องแบนราบปราศจากไขมัน
ผิวขาวราวหิมะไม่มีตำหนิแม้แต่จุดเดียว
กระโปรงสั้นเสมอต้นขาสีแดงแหวกออกเป็นสองฝั่ง ด้านในมีกางเกงขาสั้นสีแดงสวมทับอีกหนึ่งชั้น กางเกงตัวนี้รัดรูปเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เรียวขาที่ขาวผ่องของนางชวนจ้องมองมากขึ้นไปอีก
ชุดกระโปรงสีแดงชุดนี้ทำให้ชิงเล่ยดูมีความน่าเชื่อถือและเย้ายวนใจมากกว่าเดิม
ทุกส่วนสัดตลอดร่างกายของนางลงตัวสมบูรณ์แบบ ล้วนเป็นอย่างสตรีที่บุรุษทุกคนใฝ่ฝันอยากครอบครอง ส่วนที่ควรแบนราบก็แบนราบ ส่วนที่ควรเต่งตึงก็เต่งตึง
ไม่มาก ไม่น้อย ทุกอย่างกำลังพอดี
เช่นเดียวกับรองเท้าหนังเสริมส้นสีแดงนั้นก็เข้าชุดกับเครื่องแบบของชิงเล่ยเป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้ ยามที่ชิงเล่ยสวมใส่ชุดเครื่องแบบกระโปรงขาว นางไม่ต่างจากดอกไม้แรกแย้มผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องและเขินอายในความสวยงามของตนเอง
แต่บัดนี้ เมื่อนางเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดเครื่องแบบกระโปรงสีแดง ดอกไม้งามดอกนี้ก็บานสะพรั่งอวดความสวยงามของตนเองออกมาอย่างไม่เขินอายอีกต่อไป
หลายคนรู้จักชิงเล่ยมานานแล้ว แต่ขณะนี้ พวกเขาก็ยังต้องจ้องมองนางด้วยความพิศวงและเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า…
“ทำไมข้าถึงไม่สังเกตเห็นมาก่อนเลยนะว่านางมีความสวยงามถึงเพียงนี้?”
ด้วยความสวยงามระดับนี้ ตำแหน่งของโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งสถานีขนส่งแดน 4 ยังจะหนีนางไปไหนได้อีก?
ตอนนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังนำขาขึ้นมาวางพาดอยู่บนโต๊ะหิน นำโทรศัพท์มือถือออกมากดดูข้อความเรื่อยเปื่อย แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ต้องชักขาลงไปจากโต๊ะและลุกขึ้นนั่งเหยียดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว
เชี่ย
ให้ตายเถอะ
ไม่อยากจะเชื่อ!
สามคำนี้คือสิ่งที่เขาอุทานอยู่ในใจ
เด็กหนุ่มรีบยกมือจับจมูกของตนเอง
ไม่มีเลือดกำเดาไหลออกมา
นับว่าเขายังอาการไม่หนักเกินไปนัก
โชคดีที่หลินเป่ยเฉินเคยพบกับสาวงามมามากมายแล้ว จึงพอจะมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง และเขาก็ไม่ใช่เจ้าหนุ่มน้อยที่ยังบริสุทธิ์อีกต่อไป
ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงไม่มีเลือดกำเดาไหลออกมา
แต่ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าชุดกระโปรงเครื่องแบบของหอการค้าคนแคระเทวะนั้นล้วนแต่ออกแบบมาด้วยจุดประสงค์ขับเน้นจุดเด่นในเรือนร่างสตรีอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าบุรุษหนุ่มผู้ใดได้จ้องมอง ก็เป็นต้องตกตะลึงในความงดงามของสตรีเหล่านั้นทุกนางไป
ไม่ทราบว่าคนออกแบบชุดเหล่านี้ก็เป็นพวกที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่นเหมือนกันใช่หรือไม่?
มิฉะนั้นแล้ว ทำไมถึงออกแบบได้อย่างดีเยี่ยมขนาดนี้?
ออกแบบได้ดีกว่าพวกเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพงในชาติภพที่แล้วของหลินเป่ยเฉินเสียอีก
“กราบเรียนคุณชาย ข้าน้อยกลับมาแล้ว”
ชิงเล่ยยิ้มแย้มอย่างเขินอาย แต่น้ำเสียงก็หวานหยดย้อยราวกับความสดใสของน้ำค้างยามเช้า “คุณชายมีอะไรจะพูดคุยกับข้าน้อยหรือเจ้าคะ?”
นางเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินจะยื่นข้อเสนอใด ชิงเล่ยก็ยินดีตอบตกลง ไม่คิดปฏิเสธเด็ดขาด
ในเมื่อสุดท้ายก็หนีเงื้อมมือบุรุษไม่พ้นอยู่ดี แล้วทำไมนางถึงไม่มอบเรือนร่างให้แก่คนที่ช่วยเหลือนาง แทนคนที่คอยแต่รังแกนางเล่า?
หลินเป่ยเฉินยิ้มตอบกลับมา “ข้าอยากจะคุยเรื่องข้อเสนอกับท่าน”
สุดท้ายก็เป็นเรื่องนี้จริง ๆ ด้วย
บุรุษหนุ่มกลัดมันไม่ว่าอย่างไรก็นิสัยเหมือนกันหมดจริง ๆ
บรรดาผู้คนที่ชมดูเหตุการณ์อยู่รอบข้างต่างก็อดดูถูกเด็กหนุ่มในชุดเกราะสีดำขึ้นมาไม่ได้
“ไม่ว่าเป็นข้อเสนอใด คุณชายได้โปรดบอกออกมา”
ในเมื่อชิงเล่ยเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว สีหน้าและแววตา รวมไปถึงน้ำเสียงของนางจึงเป็นปกติไม่มีสิ่งใดผิดแปลกไปจากเดิม
“นี่ ข้ามีของดีอีกอย่างมาให้ดู”
หลินเป่ยเฉินว่า ก่อนจะนำบางสิ่งบางอย่างออกมา
ตึง!
ซากศพสัตว์อสูรขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นในลานโล่งหน้าคูหาอีกครั้ง
บรรยากาศของสถานีขนส่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
ได้ยินเสียงอุทานดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มผู้คนที่มุงดูอยู่รอบข้างยังคงไม่หายจากอาการตกตะลึงก่อนหน้านี้ บัดนี้ พวกเขาก็ยิ่งตกตะลึงมากไปกว่าเดิมอีกหลายเท่า
เพราะซากสัตว์อสูรที่ถูกนำมาวางตั้งอยู่เบื้องหน้าชิงเล่ยนั้น ก็คือซากอสูรกิ้งก่าไฟตัวหนึ่ง
อสูรกิ้งก่าไฟถูกยกย่องให้เป็นราชาแห่งหุบผาอเวจีแดน 4
ว่ากันว่าพวกมันมีเชื้อสายมังกร
ว่ากันว่าพวกมันคือผู้ที่อยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหารในหุบผาอเวจีแดน 4
อสูรกิ้งก่าไฟมีความสามารถรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งรับก็แข็งแกร่ง การโจมตีก็น่าหวาดกลัว พลังลมปราณอสูรที่อยู่ในตัวของพวกมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกรี้ยวกราดรุนแรงเกินหน้าเกินตาสัตว์อสูรชนิดอื่น ๆ
กล่าวโดยสรุปก็คือ มีแต่กลุ่มนักล่าอสูรชั้นนำเท่านั้นจึงจะกล้าไปตามล่าพวกมัน และก่อนที่พวกเขาจะลงมือล่าอสูรกิ้งก่าไฟ ก็จำเป็นต้องวางแผนการอย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด
มีนักล่าอสูรเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่เคยล่าอสูรกิ้งก่าไฟได้สำเร็จ
แต่บัดนี้…
กิ้งก่ายักษ์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารนอนแน่นิ่งราวกับเป็นภูเขาขนาดย่อม ดวงตาของมันเบิกค้างราวกับยังมีชีวิตอยู่ และไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวแหลมหรือกรงเล็บก็ยังสะท้อนประกายกับแสงคบไฟวิบวาว แสดงให้เห็นถึงความคมกริบของพวกมันที่คมยิ่งกว่าคมกระบี่…
ซากศพของอสูรกิ้งก่าไฟทำให้ผู้คนโดยรอบตกตะลึงอย่างแท้จริง
ถึงพวกเขาจะทราบดีว่าราชาแห่งหุบผาอเวจีแดน 4 ได้เสียชีวิตลงแล้ว แต่หลายคนก็ยังไม่กล้าเข้ามาใกล้ เพราะเกิดความหวาดกลัวที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก
หลังจากสิ้นเสียงอุทานด้วยความตกใจ สถานีขนส่งก็กลับมาปกคลุมด้วยความเงียบสงัดอีกครั้ง
ดวงตาทุกคู่จับจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน
ชิงเล่ยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของนางย่อมแสดงออกถึงความตกตะลึงสุดขีด
“นะ…นี่มันอสูรกิ้งก่าไฟ?”
นางรู้สึกเหมือนตนเองจะเป็นลม
แม้ว่าชิงเล่ยจะทำงานในสถานีขนส่งประจำแดน 4 มาได้สามปีแล้ว ย่อมเคยเห็นซากศพสัตว์อสูรมามากมาย แต่นี่คือครั้งแรกที่หญิงสาวได้พบเห็นซากอสูรกิ้งก่าไฟใกล้ชิดถึงเพียงนี้
หลังจากหายตกตะลึง รอยยิ้มอย่างมีความสุขก็กลับมาปรากฏอยู่บนใบหน้าของชิงเล่ย
นางหันหน้ามองไปทางหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อและกล่าวว่า “คุณชายต้องการ… ที่จะ… ขาย…”
“ใช่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ตอบว่า “เชิญตีราคาได้”
ชิงเล่ยกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ รู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมาในทันใด “ซากอสูรกิ้งก่าไฟหนึ่งตัว มีค่าไม่ต่ำกว่าคะแนนศรัทธา ห้าแสนแต้ม พวกเรา…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
“พวกเราหอการค้าระฆังทองขอเสนอคะแนนศรัทธาห้าแสนห้าหมื่นแต้มขอรับ…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะชิงเล่ย
ชายเคราแพะสวมใส่ชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่จากหอการค้าระฆังทองรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “คุณชายได้โปรดคิดดูให้ดี ไม่มีใครให้ราคาซากอสูรกิ้งก่าไฟดีไปกว่านี้อีกแล้ว พวกเรายินดีซื้อในราคาที่สูงที่สุด…”
หลินเป่ยเฉินยังไม่ทันมีเวลาได้ตอบคำใดออกไป
อีกเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาว่า “หอการค้าอาชาเหล็กขอเสนอราคาคะแนนศรัทธาหกแสนแต้ม…”
“ช้าก่อน หอการค้าเมฆาเงินยินดีให้ราคาคะแนนศรัทธาหกแสนห้าหมื่นแต้ม…”
“หกแสนเจ็ดหมื่นแต้ม…”