ตอนที่ 1,210 สาวงามผู้ซื่อสัตย์
บรรดาพ่อค้าเริ่มแย่งกันประมูลราคาอย่างเปิดเผย
สถานีขนส่งกลับมามีเสียงดังวุ่นวายอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่คิดเลยว่าแค่ซากอสูรกิ้งก่าไฟตัวเดียวจะก่อให้เกิดความวุ่นวายถึงเพียงนี้ เพราะว่ามันตายด้วยคมกระบี่ของเขาเพียงกระบวนท่าเดียว ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงไม่คิดไม่ฝันว่าซากอสูรกิ้งก่าไฟจะมีราคาแพงมากกว่าสัตว์อสูรชนิดอื่น ๆ หลายเท่าตัว
ทีนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าซากอสูรกิ้งก่าไฟมีราคาแพงมาก
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับ
หากเป็นเช่นนี้ ถ้าเขาเข้าไปในหุบผาอเวจีแดน 4 โดยมีเป้าหมายว่าจะล่าอสูรกิ้งก่าไฟโดยเฉพาะ นั่นก็คงทำเงินให้แก่หลินเป่ยเฉินได้ไม่น้อย
“แม่นางชิงเล่ย ท่านเองก็ได้ยินแล้วว่ามีผู้เสนอราคาสูงกว่าท่าน” หลินเป่ยเฉินยกมือกอดอกและกล่าวต่อ “ไม่ทราบว่าหอการค้าของท่านสามารถจ่ายให้ได้ในราคาเดียวกันหรือไม่?”
“คือว่า…”
แน่นอนว่าชิงเล่ยต้องการจะเก็บซากอสูรกิ้งก่าไฟตัวนี้เอาไว้ แต่นางยังคงอยู่ในสถานะผู้ชี้แนะกระโปรงแดง ซึ่งไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องการค้าขายในราคาสูงระดับนี้
“ซากศพอสูรกิ้งก่าไฟตัวนี้ต้องเป็นของพวกเราแต่เพียงผู้เดียว”
น้ำเสียงอันดุดันของเกอสือเหนียนพลันดังขึ้น
ชายอ้วนเคลื่อนกายมาข้างหน้าเสมือนกับลูกบอลกระเด้งดึ๋งๆ พร้อมกับพูดว่า “คุณชายอย่าได้ลังเลใจ หอการค้าคนแคระเทวะของเรายินดีให้ข้อเสนอเป็นคะแนนศรัทธาเจ็ดแสนแต้ม…”
เมื่อได้ยินว่าหลินเป่ยเฉินกำลังนำซากอสูรกิ้งก่าไฟออกมาแสดง เกอสือเหนียนก็ต้องรีบปรากฏตัวออกมาทันที
แม้ว่าหลังจากการซื้อขายรอบที่แล้ว เขาจะไม่อยากเห็นหน้าเด็กหนุ่มชุดเกราะดำผู้นี้อีกเลยก็ตาม
แต่บัดนี้ ชายอ้วนดีใจที่ตนเองไม่ได้แสดงกิริยาหยาบคายต่อ ‘เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย’ ของเขามากเกินไปนัก
เพราะนี่คือซากอสูรกิ้งก่าไฟ
ในสถานีขนส่งแดน 4 แห่งนี้ โอกาสที่นักล่าอสูรจะนำซากอสูรกิ้งก่าไฟออกมาขายได้ นับว่ามีน้อยเป็นอย่างยิ่ง
เพราะกล่าวตามความสัตย์จริง อสูรกิ้งก่าไฟเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเกินกว่านักล่าอสูรในเขตแดนนี้จะสามารถฆ่าพวกมันได้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะล่าพวกมันได้สำเร็จ ก่อนหน้านี้ เคยมีกลุ่มนักล่าอสูรสามารถล้มอสูรกิ้งก่าไฟตัวหนึ่งได้สำเร็จจริง ๆ แต่ก็แลกมากับการบาดเจ็บล้มตายของสหายนักล่าอสูรเป็นจำนวนมาก…
เว้นแต่บางครั้ง บรรดานักรบเทวะขั้น 5 ขั้น 6 หรือแม้แต่ขั้น 7 ที่อยากจะเข้ามาพักผ่อนบรรเทาความตึงเครียดจากโลกภายนอก พวกเขาก็จะมาล่าสัตว์อสูรในเขตแดนระดับ 4 และก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะล้มอสูรกิ้งก่าไฟได้สำเร็จอย่างไม่ยากเย็นนัก
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ซากอสูรกิ้งก่าไฟมีราคาสูง
เพราะมันไม่มีขายในท้องตลาด
ในเมื่อซื้อหาไม่ได้ ราคาจึงสูงขึ้นเองโดยปริยาย
ต่อให้ซื้อมาในราคาคะแนนศรัทธาเจ็ดแสนแต้ม ไม่ว่าอย่างไรก็ยังนำไปขายต่อได้กำไรอยู่ดี
ซ้ำยังเป็นกำไรก้อนใหญ่อีกด้วย
“ฮ่า ๆๆ กราบเรียนคุณชายที่เคารพ ก่อนหน้านี้ การค้าขายระหว่างพวกเราดำเนินไปอย่างราบรื่น ข้าน้อยเชื่อว่าคุณชายคงต้องพึงพอใจเป็นแน่แท้ สำหรับซากอสูรกิ้งก่าไฟตัวนี้ มอบให้แก่หอการค้าคนแคระเทวะเราเป็นผู้ดูแลเถอะนะขอรับ ข้าน้อยเชื่อว่าแม่นางชิงเล่ยจะต้องสำนึกในบุญคุณของคุณชายอย่างแน่นอน…”
เกอสือเหนียนพยักหน้าก่อนก้มศีรษะทำความเคารพและหัวเราะคิกคัก
ขณะนี้ เขาไม่กล้าแสดงกิริยาวาจาดูหมิ่นเด็กหนุ่มในชุดเกราะทมิฬอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอและกล่าวว่า “ตกลงตามนั้น”
เกอสือเหนียนยิ้มอย่างมีความสุข
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “แต่ข้ามีข้อแม้อยู่หนึ่งข้อ”
เกอสือเหนียนถึงกับชะงักกึก
ประโยคนี้อีกแล้ว
“ไม่ว่าคุณชายต้องการสิ่งใด ได้โปรดบอกออกมาเลยขอรับ”
เกอสือเหนียนกล่าวด้วยความกระตือรือร้น ไม่ว่าข้อแม้ของเด็กหนุ่มคืออะไร เขาก็ยินดีตอบสนองโดยไม่เกี่ยงงอน แม้ว่าเด็กหนุ่มจะสั่งให้เขาจับชิงเล่ยเปลื้องผ้าส่งขึ้นเตียงนอน เกอสือเหนียนก็ยินดีทำด้วยความเต็มใจยิ่ง
หลินเป่ยเฉินยังคงยกมือกอดอกตอนที่กล่าวว่า “สิ่งที่ข้าต้องการไม่มีอะไรซับซ้อน ข้าแค่อยากให้ท่านช่วยเลื่อนตำแหน่งแม่นางชิงเล่ย ขึ้นสู่สถานะผู้ชี้แนะกระโปรงม่วงเดี๋ยวนี้”
“หา? นั่นมัน…”
เกอสือเหนียนถึงกับตกตะลึงแล้วจริง ๆ
เขาหันไปมองหน้าชิงเล่ยโดยไม่รู้ตัว
วันนี้ทำไมนางถึงได้โชคดีนัก?
นี่ไม่ใช่เพียงแค่ช่วยเหลือชิงเล่ยขึ้นมาจากกับดักที่ชายอ้วนวางเอาไว้เท่านั้น แต่เด็กหนุ่มชุดเกราะดำกำลังจุดไฟเผาทำลายกับดักของเขาอีกด้วย
เกอสือเหนียนรู้ตัวดีว่าในอนาคตหลังจากนี้ หากชิงเล่ยสามารถขึ้นเป็นผู้ชี้แนะระดับกระโปรงม่วงได้จริง ๆ เขาก็คงต้องคิดให้ดีหากอยากจะรังแกนางอีก
เมื่อเห็นท่าทีลังเลใจของชายอ้วน ดวงตาของหลินเป่ยเฉินก็เป็นประกายวาวโรจน์ “หรือว่าท่านมีปัญหา?”
เกอสือเหนียนตัวสั่นเทา รีบตอบรับกลับไปด้วยความลนลาน “ย่อมไม่มีปัญหาขอรับ ข้าน้อยจะจัดการให้… ชิงเล่ย เดี๋ยวเจ้าตามข้าเข้าไปในสำนักงาน พวกเราจะทำเรื่องเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าอีกครั้ง”
ชิงเล่ยเพิ่งหลุดออกมาจากภวังค์แห่งความตกตะลึง
ขณะนี้ โฉมงามผู้มีใบหน้ารูปไข่กำลังแสดงความประหลาดใจออกมาเช่นเดียวกับความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของคุณชาย ข้าน้อยไม่รู้จะตอบแทนคุณชายอย่างไรดี…” ชิงเล่ยไม่รู้เลยว่าตนเองควรพูดอย่างไร
หลินเป่ยเฉินหยอกเย้ากลับไปว่า “เรื่องนี้ไม่ยาก ท่านสามารถตอบแทนข้าได้สองวิธี”
“หืม? คุณชายได้โปรดพูดออกมา”
ใบหน้าที่สวยงามของชิงเล่ยเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย และนั่นก็ยิ่งทำให้ใบหน้าขาวผ่องของนางดูมีเสน่ห์มากกว่าเดิม
หลินเป่ยเฉินกล่าวออกไปว่า “ท่านจะยอมมอบเรือนร่างให้กับข้า หรือจะยอมเป็นวัวเป็นม้าทำงานชดใช้หนี้บุญคุณให้ข้าในชาติภพหน้า ท่านก็เลือกเอาเองแล้วกัน”
“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ…”
คำพูดประโยคแรกของเด็กหนุ่ม ทำเอาชิงเล่ยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีกแล้ว
ในสถานีขนส่งกำลังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้น
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
หัวเราะกันไปเถอะ
บรรดาคนที่กำลังหัวเราะกันอยู่นี่น่ะ ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสักนิด
เพราะพวกเขาไม่เคยอ่านนิยายกำลังภายใน บ่อยครั้งเวลาที่พระเอกช่วยเหลือนางเอก ก็มักจะมีบทพูดกันอยู่สองรูปแบบเท่านั้น
หากพระเอกเป็นพวกหนุ่มหล่อหน้าตาดี คารมคมคาย นางเอกก็จะบอกว่าตนเองไม่มีสิ่งใดตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ นอกจากขอมอบเรือนร่างรับใช้เขาไปตลอดชีวิต
แต่ถ้าพระเอกเป็นพวกจอมยุทธ์หนุ่มพเนจร ไร้หัวนอนปลายเท้า สถานะยากจน เป็นยาจกท่าทางไร้อนาคต นางเอกก็จะบอกว่าตนเองไม่มีสิ่งใดตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ ดังนั้น ไว้เกิดชาติหน้าฉันใดจะขอเกิดเป็นวัวเป็นม้าใช้แรงงานทดแทนบุญคุณให้ก็แล้วกัน…
“ชิงเล่ย ตามข้าเข้าไปดำเนินการเลื่อนตำแหน่ง”
เกอสือเหนียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เขากลัวหากตนเองแสดงกิริยาก้าวร้าวมากเกินไป หลินเป่ยเฉินอาจจะเปลี่ยนใจได้ และนั่นก็จะเป็นหายนะของตนเองแล้ว
ชิงเล่ยกำลังจะติดตามเกอสือเหนียนกลับเข้าไปในตึกแถวสามคูหาหลังนั้นอีกครั้ง
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ชิงเล่ยก็กำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาสามขั้นรวด
เรื่องราวเช่นนี้ อย่าว่าแต่ในหอการค้าคนแคระเทวะเลย ต่อให้เป็นหอการค้าอื่น ๆ ในสถานีขนส่งแดน 4 ก็คงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินทอดสายตามองด้านหลังของชิงเล่ยเดินห่างออกไป ทันใดนั้น เขาก็ตะโกนออกมาว่า “ช้าก่อน”
ชิงเล่ยหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มในชุดเกราะสีดำด้วยความพิศวง
หลินเป่ยเฉินกล่าว “กราบเรียนแม่นางชิงเล่ย ข้าชื่นชอบท่านเวลาใส่ชุดสีแดงเป็นอย่างมาก หากท่านได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ได้โปรดอย่าเพิ่งเปลี่ยนชุด จงกลับมาหาข้าด้วยชุดนี้เถอะ”
“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ชิงเล่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงเหมือนระบบอัตโนมัติ นางพยักหน้า ก่อนหมุนตัวเดินจากไป
บังเกิดเสียงหัวเราะครืนครันในสถานีขนส่งดังขึ้นอีกครั้ง
เจ้าพวกตัวประกอบเอ๊ย
หลินเป่ยเฉินแอบก่นด่าอยู่ในใจ
บรรดาผู้คนที่ส่งเสียงหัวเราะเหล่านั้นไม่ได้รู้อะไรเลย
ถึงหลินเป่ยเฉินจะมองว่าชิงเล่ยมีหน้าตาสวยงามใช้ได้ แต่เขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะพานางขึ้นเตียงแต่อย่างใด
เพราะว่าเขาไม่ได้บ้าตัณหาราคะขนาดนั้น
เหตุผลที่หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนใจเลือกให้ชิงเล่ยกลับมารับตำแหน่งนายหน้าซื้อขายสินค้าให้กับเขาอีกครั้ง ก็เป็นเพราะว่าเขาบังเอิญได้ยินเรื่องที่นางต้องเลี้ยงดูบุตรสาวด้วยความยากลำบาก
นางเป็นสตรีผู้อ่อนแอ แต่กลับเป็นแม่ผู้แข็งแกร่ง
หลินเป่ยเฉินทะลุมิติมาอยู่โลกแห่งวรยุทธ์ บางครั้งก็คิดถึงพ่อแม่ขึ้นมาจับใจ ดังนั้นเขาจึงซาบซึ้งใจไปกับความสัมพันธ์แม่ลูกของชิงเล่ย
หากกล่าวกันตามตรง การเลือกให้ชิงเล่ยเป็นนายหน้าซื้อขายสินค้าทำให้หลินเป่ยเฉินต้องเสียผลประโยชน์มากมาย แต่สิ่งที่ได้คืนกลับมาก็คือคุณค่าทางจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินทองซื้อหาไม่ได้
แต่ไหน ๆ เขาก็ยอมเสียผลประโยชน์ในส่วนของตนเองไปแล้ว หลินเป่ยเฉินจะขอดูนางแต่งชุดแดงเป็นอาหารตาบ้างไม่ได้หรืออย่างไร?
ความต้องการของหลินเป่ยเฉินก็มีเพียงเท่านี้
เรียบง่ายและบริสุทธิ์
หลังจากนั้น
ชิงเล่ยผู้ผ่านการเลื่อนตำแหน่งก็เดินกลับมา
หญิงสาวยังคงสวมใส่ชุดกระโปรงสั้นสีแดงอยู่จริง ๆ
แต่แผ่นป้ายบนหน้าอกเปลี่ยนเป็น ‘ผู้ชี้แนะกระโปรงม่วง ชิงเล่ย’ เรียบร้อยแล้ว
หลังจากตรวจสอบสินค้าคร่าว ๆ การโอนคะแนนศรัทธาค่าซากอสูรกิ้งก่าไฟก็เสร็จสิ้น
บนกำไลผลึกแก้วกิเลนรุ่นที่สาม ของหลินเป่ยเฉินมีการแจ้งเตือนว่าเขาได้รับยอดโอนเป็นคะแนนศรัทธาเจ็ดแสนแต้ม
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
เด็กหนุ่มเมินเฉยต่อการประจบเอาใจของเกอสือเหนียน เขาเก็บข้าวของของตนเอง และภายใต้การจ้องมองของสายตานับไม่ถ้วน หลินเป่ยเฉินก็เดินออกมาจากลานด้านหน้าคูหาของหอการค้าคนแคระเทวะในที่สุด
หลินเป่ยเฉินตั้งใจจะเดินดูร้านค้าแผงลอยที่อยู่ในสถานีขนส่ง เพราะอยากจะหาของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับไปเป็นของฝากให้แก่เฉียนเหมย เฉียนเจิน นักพรตหญิงชิน หลิงเฉิน ไป๋ชินอวิ๋น เยว่เว่ยหยางและคนอื่น ๆ
คุณสมบัติที่ดีของยอดนักรักคือการไม่ลืมเลือนสตรีของตนเอง
แต่เดินมาได้สักพัก เด็กหนุ่มก็ต้องหยุดชะงัก
“แม่นางชิง เหตุไฉนท่านถึงได้เดินตามข้าตลอดเวลาเช่นนี้?”
หลินเป่ยเฉินหมุนกายกลับไปถาม
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้ก็คือชิงเล่ยที่สวมใส่ชุดกระโปรงสีแดงแหวกอกผ่าเอวอวดเรียวขาขาวเนียนยืนยิ้มอย่างมีความสุข
“ขะ…ข้าน้อยเพียงอยากมาถามว่า คุณชายยังต้องการให้ข้าน้อยทำสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
ชิงเล่ยตอบตะกุกตะกัก