ตอนที่ 1,217 หญิงสาวผู้หยาบคาย
‘อย่างแรก เจ้าต้องรู้ก่อนว่าในเผ่าเทพพงไพรมีคนที่เคยฝึกวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณสำเร็จน้อยมาก เพราะฉะนั้น ถึงพวกเขาจะเห็นปานแดงบนหน้าผากของเจ้า พวกเขาก็คงไม่รู้อยู่ดีแหละว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่มาจากการบรรลุขั้นพลังอัคคีเทวะจากวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ’
‘อย่างที่สอง ถึงเจ้าจะบรรลุขั้นพลังอัคคีเทวะได้ก็จริง แต่มันก็เป็นเปลวไฟที่เกิดจากพลังศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ได้ต่างไปจากเทพเจ้าคนอื่น ๆ ที่สามารถควบคุมเปลวไฟได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น เรื่องนี้จึงไม่มีผู้คนสงสัยอย่างแน่นอน’
‘และอย่างสุดท้าย มีคนมากมายในดินแดนทวยเทพที่มีตราสัญลักษณ์อยู่กลางหน้าผาก โดยเฉพาะนักรบที่ใช้พลังธาตุไฟ… ดังนั้นทุกคนจะต้องพากันเข้าใจว่า เจ้าเป็นนักรบเทวะผู้ใช้พลังธาตุไฟทั่วไปเท่านั้นเอง’
‘อีกอย่าง เมื่อเจ้าบรรลุขั้นพลังอัคคีเทวะเช่นนี้ เจ้าก็จะปลอดภัยมากกว่าเดิมอีกด้วย’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งข้อความอธิบายมายาวเป็นพรืด
หลินเป่ยเฉินอ่านจบก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีสินะ
สุดท้าย การที่เขาเสียตัวให้แก่แม่นางชิงเล่ย ก็ไม่ได้นับว่าเป็นความเสียหายแต่อย่างใด
‘เจ้าฝึกฝนวิชาในหุบผาอเวจีต่อไปนั่นแหละดีแล้ว รีบควบคุมพลังอัคคีเทวะของตนเองให้ได้โดยเร็วที่สุด ไหอู่กับข้ากำลังหาทางยัดเจ้าเข้าใส่การแข่งขันชิงตำแหน่งเทพเจ้าหน้าใหม่แห่งสภาเทพเจ้าให้ได้ หากมีความคืบหน้าใด เดี๋ยวข้าจะแจ้งข่าวให้ทราบก็แล้วกัน’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งข้อความมาอีกครั้ง
หลังจากนั้น นางก็กดออกจากระบบไปหน้าตาเฉย
‘อ้าว?’
‘เดี๋ยวก่อนสิ ท่านจะไม่ให้คำแนะนำอะไรในการควบคุมพลังบ้างเลยหรือ?’
‘แล้วข้าจะสามารถควบคุมพลังอัคคีเทวะได้อย่างไร?’
‘ท่านอยู่หรือไม่? นี่ ตอบข้อความหน่อยสิ?’
‘ให้ตายเถอะ’
หลินเป่ยเฉินเกือบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งด้วยความโมโห
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเคยพึ่งพาไม่ได้อย่างไรก็พึ่งพาไม่ได้อย่างนั้น เมื่อนางออกจากระบบไปแล้ว ก็ไม่มีทางตอบข้อความเขาอีก แต่ใจคอจะหายเข้ากลีบเมฆไปทั้งที บอกลากันให้จริงจังสักหน่อยไม่ได้หรือไง?
เด็กหนุ่มเก็บโทรศัพท์อย่างช้า ๆ
ช่างมันเถอะ เดี๋ยวไปเดินดูตามร้านค้าในสถานีขนส่งดีกว่า บางทีอาจมีคัมภีร์ฝึกการควบคุมเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์วางขายอยู่ก็เป็นได้
เมื่อมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับผู้ใช้พลังธาตุไฟศักดิ์สิทธิ์แล้ว หลินเป่ยเฉินก็จะสามารถปลอมตัวเป็นนักรบเทวะธาตุไฟได้อย่างแนบเนียนมากขึ้น
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาจ้องมองลูกกิ้งก่ายักษ์ทั้งสี่ตัวที่นั่งขดตัวรวมกันอยู่ก้นถ้ำด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะสังหารแค่แม่ของเจ้าเท่านั้น ข้าไม่ทำอะไรพวกเจ้าหรอก”
“กินให้เยอะ ๆ โตให้เร็ว ๆ ล่ะ”
“พวกเจ้าคือความหวังของข้า”
“เมื่อพวกเจ้าโตได้ที่แล้ว ข้าจะกลับมาหาอีกครั้ง”
หลินเป่ยเฉินพูดกับลูกกิ้งก่ายักษ์เหล่านั้นด้วยท่าทางสบายใจ ก่อนที่เขาจะลากซากศพมารดาพวกมัน เพื่อออกไปจากถ้ำใต้ดิน
แต่ใครจะไปรู้เลยว่าเดินมาได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
แล้วผู้คนนับสิบชีวิตก็กรูเข้ามาในถ้ำใต้ดินซึ่งเป็นรังของอสูรกิ้งก่าไฟ
ผู้ที่เดินนำเข้ามาด้านหน้าสุดเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายสูงใหญ่ห้าคน แต่ละคนสูงมากกว่าเก้าเซียะ ไม่ต่างจากยักษ์ปักหลั่น ชุดเกราะที่สวมใส่แกะสลักลวดลายอักขระสวยงาม บอกชัดว่าเป็นชุดเกราะระดับสูง
และผู้ที่เดินตามเข้ามาก็ยังมีผู้ใช้เวทมนตร์ที่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำขลิบทองอีกสองคน พวกเขาดึงผ้าคลุมขึ้นมาปิดบังใบหน้า มีลักษณะลี้ลับไม่ต่างจากวิญญาณคนตายที่กำลังเดินอยู่ในความมืด
และผู้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างนักเวทสองคนนี้ก็คือเด็กสาวผมทองนางหนึ่ง
เด็กสาวมีอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้น ใบหน้าสวยงาม ดวงตามีลักษณะยาวรีเป็นประกายคมกริบ ขนคิ้วเป็นสีทองคำเลิกขึ้นสูง จมูกโด่ง สองแก้มมีกระขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบางราวกับปีกจักจั่น
ยามที่เด็กสาวผู้นี้จ้องมองไปที่ผู้ใด ก็จะก่อให้เกิดความรู้สึกคล้ายกับพญาเหยี่ยวกำลังจ้องมองเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น
และผู้ที่เดินตามมาทางด้านหลังก็คือบรรดานักธนูที่สวมใส่ชุดเกราะน้ำหนักเบา พวกเขามีแขนยาวเลยหัวเข่า ในมือถือคันธนูคู่กาย กลางแผ่นหลังและข้างเอวสะพายกระบอกใส่ลูกธนูอีกคนละสามกระบอก
ท้ายขบวนประกบปิดด้วยครึ่งมนุษย์ครึ่งวัวกระทิงผู้มีร่างกายสูงใหญ่กว่าสิบสองเซียะอีกจำนวนหกตัว จมูกของพวกมันห้อยร้อยไว้ด้วยห่วงทองคำ บนหน้าผากเหลือเพียงตอเขาที่ถูกตัด พวกมันสวมใส่เสื้อผ้าประดับสัญลักษณ์คนบาป บริเวณข้อมือและข้อเท้าถูกตีตรวนพันธนาการและบนแผ่นหลังก็ยังแบกห่อของสัมภาระที่มีขนาดใหญ่มากกว่าตัวของพวกมันเองมาอีกด้วย
คนกลุ่มนี้คือนักล่าอสูรมืออาชีพ
ถนัดเรื่องการแย่งชิงสิ่งของมาจากผู้อื่น
หลินเป่ยเฉินสามารถรู้ได้โดยทันที
ดูเหมือนว่านักล่าอสูรกลุ่มนี้คงหมายตาอสูรกิ้งก่าไฟที่เขาเพิ่งฆ่าตายได้สำเร็จ และพวกเขาก็รอให้หลินเป่ยเฉินจัดการมันได้สำเร็จเรียบร้อย ถึงค่อยปรากฏตัวออกมา
ขณะที่หลินเป่ยเฉินจ้องมองพวกเขา นักล่าอสูรกลุ่มนี้ก็จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
เสื้อดำ กางเกงดำ ชุดเกราะสีดำ หน้ากากสีดำ
ไม่ทราบที่มาที่ไป
เด็กสาวผมทองมีท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่ม นางจ้องมองซากศพของอสูรกิ้งก่าไฟที่หลินเป่ยเฉินลากมาทางด้านหลัง จากนั้นจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า “ส่งซากอสูรตัวนั้นมาให้ข้า”
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเช่นกันและตอบกลับไป “นี่คือเหยื่อที่ข้าสามารถสังหารได้สำเร็จ ตามกฎของหุบผาอเวจี มันสมควรเป็นของข้าจึงจะถูกต้อง…”
“ใครบอกเจ้าว่าที่นี่มีกฎ”
เด็กสาวผมทองกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “เลือกเอาว่าจะยอมส่งซากอสูรกิ้งก่าไฟตัวนั้นมาเสียดี ๆ หรือเจ้าจะยอมทิ้งชีวิตอยู่ที่นี่”
“ฮ่า ๆๆ เรื่องนี้เลือกได้ไม่ยาก”
หลินเป่ยเฉินเหวี่ยงซากศพอสูรกิ้งก่าไฟที่อยู่ด้านหลังไปกองรวมอยู่กับกองกระดูกที่ด้านข้าง หลังจากนั้น เขาก็ยกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียก
“เจ้าโง่ ถ้าอย่างนั้นก็ตายซะเถอะ”
เด็กสาวผมทองมีสีหน้าเย็นชา ยกมือขึ้นส่งสัญญาณออกคำสั่งกับลูกสมุนของตนเองว่า “ฆ่ามัน”
ชายฉกรรจ์ที่เดินนำหน้ามาทั้งห้าคนดึงขวานและอาวุธคู่กายออกมาโจมตีใส่หลินเป่ยเฉินด้วยความรวดเร็ว
รังสีกระบี่และพลังกดดันจากขวานพิฆาตแผ่ปกคลุมในอากาศ
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ทั้งห้าคนนั้นโจมตีใส่เด็กหนุ่มจากรอบทิศทาง
ในเวลาเดียวกันนี้ นักเวททั้งสองคนก็ร่ายคาถา ส่วนนักธนูที่อยู่ด้านหลังก็รั้งสายธนูและยิงลูกศรออกมาเสียงดังฟึบฟับ
การโจมตีของฝ่ายตรงข้ามถาโถมเข้าหาหลินเป่ยเฉินในเวลาเดียวกัน
ฉับพลันนั้น รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกายของเด็กหนุ่ม
และการต่อสู้กับกลุ่มนักล่าอสูรก็อุบัติขึ้น
…
ณ สถานีขนส่งประจำแดน 4
นักบวชสาวเซียงเหยียนยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าประตูขนส่งและรอคอยย่างยาวนานมาหลายชั่วยามแล้ว
แต่นางก็ยังไม่พบเจอหลินเป่ยเฉิน
เพื่อการนี้ นักบวชสาวเซียงเหยียนถึงกับสั่งให้ผู้คนจากเผ่าคนแคระเทวะออกสำรวจรอบบริเวณ
แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีผู้ใดพบเห็นเด็กหนุ่มในชุดเกราะสีดำผู้นั้นกลับออกมาจากประตูขนส่งเลย
นักบวชสาวเซียงเหยียนไม่ได้คิดเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะแอบเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดเกราะเป็นชุดใหม่
นางเฝ้ามองหาแต่เด็กหนุ่มในชุดเกราะสีดำที่ตนเองซื้อให้ แต่ไม่ว่าพบเห็นนักรบเทวะในชุดเกราะสีดำผู้ใด สุดท้ายก็ไม่ใช่หลินเป่ยเฉินอยู่ดี
และจากการสอบถามกับผู้เห็นเหตุการณ์ในหุบผาอเวจีทั้งหมด นักบวชสาวเซียงเหยียนก็ได้ข้อสรุปว่า…
หลินเป่ยเฉินยังไม่ได้กลับออกมาจากหุบผาอเวจีแดน 4 จริง ๆ
เมื่อลองนับดู
เด็กหนุ่มเข้าไปอยู่ในนั้นได้สามวันสองคืนแล้ว
ตามความน่าจะเป็น หลินเป่ยเฉินสมควรกลับออกมานานแล้ว
หรือว่า…
เขาจะตกอยู่ในอันตราย?
ยิ่งนักบวชสาวเซียงเหยียนคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากเท่านั้น
“ไม่ได้การ เราต้องเข้าไปดูสักหน่อยแล้ว”
นักบวชสาวเซียงเหยียนส่งข้อความแจ้งเตือนถึงนักบวชมือกระบี่ผู้เป็นองครักษ์ประจำตัว จากนั้นจึงก้าวเดินผ่านประตูขนส่งเข้าไปโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับมาอีกเลย
นี่คือครั้งแรกที่นางเข้าสู่หุบผาอเวจีแดน 4 ในรอบสามปี นับตั้งแต่ที่ตนเองถูกแต่งตั้งให้เป็นนักบวชขั้น 9 ของวิหารเทพพงไพร
เพราะว่าอสูรในเขตแดนนี้ไม่ท้าทายสำหรับนางอีกแล้ว