ตอนที่ 1,228 โฉมหน้าภายใต้หน้ากาก
หลินเฟิงอี้ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขาจะได้พบกับคู่แข่งที่น่ากลัวเช่นนี้
ตนเองยังไม่มีเวลาได้ชักกระบี่ ก็ถูกต่อยจนล้มลงมานอนกองอยู่กับพื้นเสียแล้ว
พลังหมัดนี้มันช่าง…
เป็นพลังหมัดแห่งการทำลายล้าง
ดวงตาที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากสีขาวนั้นจ้องมองมาด้วยความเหยียดหยาม หลินเฟิงอี้รู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าความมั่นใจในตนเองทั้งหมดถูกทำลายลงไม่เหลือชิ้นดี
ชิงเล่ยผู้ยืนอยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน
นางรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งมาก
มิฉะนั้น เขาคงไม่สามารถล่าสัตว์อสูรจากหุบผาอเวจีแดน 4 มาได้มากมาย และแม้แต่อสูรกิ้งก่าไฟซึ่งเป็นราชันแห่งอสูรประจำแดนสี่ทั้งมวลก็ยังถูกล่ามาด้วยเช่นกัน
แต่ชิงเล่ยก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
เขาสามารถเอาชนะหลินเฟิงอี้ได้ด้วยหมัดเดียว?
อย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบเทวะระดับสามัญ
“ท่านอยากแก้แค้นด้วยตนเองหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองไปที่ชิงเล่ยและถามว่า “ท่านเกลียดเขามากไม่ใช่หรือ? ข้าจะให้โอกาสท่านได้แก้แค้น”
ไม่มีสิ่งใดจะดีงามมากไปกว่าการจบสิ้นฝันร้ายด้วยมือของตนเอง
ชิงเล่ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะแผ่วเบา
หลินเฟิงอี้จะตายไม่ได้
การฆ่าเขาเท่ากับเป็นการดูหมิ่นวิหารเทพพงไพร
และนั่นจะนำมหันตภัยมาสู่หลินเป่ยเฉิน
“ปล่อยเขาไปเถอะ”
ชิงเล่ยเสแสร้งแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“ฮ่า ๆ…”
เมื่อหลินเฟิงอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างผู้ชนะ
บุรุษหนุ่มผมทองแสยะยิ้มด้วยความมั่นใจ ก่อนกล่าวว่า “เห็นหรือไม่? นางฆ่าข้าไม่ลง ฮ่า ๆ เจ้าตัวบัดซบ เจ้าคิดหรือว่าจะสามารถครอบครองหัวใจนางได้? ผิดถนัด หัวใจของนางเมื่อเคยเป็นของข้าแล้ว มันก็จะเป็นของข้าตลอดไป แม้ว่านางจะไม่อยากยอมรับความเป็นจริงก็ตาม แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าจิตใจสตรีนั้น ยิ่งนางโกรธแค้นมากเท่าไหร่ ก็หมายความว่านางยิ่งรักข้ามากเท่านั้น เล่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้พบเจอข้าตั้งหลายปี คงคิดถึงข้าแทบบ้าตายแล้วล่ะสิ ฮ่า ๆ …เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
“ไม่นะ ไม่ใช่ ข้า…”
ชิงเล่ยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ พยายามจะอธิบายอะไรบางอย่าง
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของหญิงสาว เป็นสัญญาณบอกนางว่าไม่ต้องเป็นกังวล จากนั้นเขาจึงก้มหน้ามองลงไปที่หลินเฟิงอี้อีกครั้ง
“เพราะเหตุใด?”
เขาถาม
หลินเฟิงอี้ยิ้มทั้งน้ำตาขณะตอบว่า “เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะว่าข้าหล่อเหลา ส่วนเจ้ามันเป็นบุคคลอัปลักษณ์ที่ต้องซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากน่ะสิ ข้าเดาถูกไหมล่ะ ฮ่า ๆ”
“บุคคลอัปลักษณ์?”
หลินเป่ยเฉินอดหัวเราะออกมาไม่ได้
นี่คือครั้งแรกที่มีบุคคลอื่นพูดใส่หน้าว่าเขาเป็นบุคคลอัปลักษณ์
ช่างโง่เขลาสิ้นดี
หากจะด่าว่าเขาเป็นคนชั่วร้ายจิตใจสกปรกนั้นไม่เป็นไรหรอก
แต่ถ้าจะมาดูแคลนหน้าตาของเขานั้น…
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาที่หน้ากากของตนเอง
“ไม่นะ คุณชาย ท่านไม่ต้องถอดหน้ากาก…”
ชิงเล่ยรีบห้ามปรามอย่างลนลาน “ท่านอย่าถูกเขาหลอกปั่นหัวเด็ดขาด เขากำลังยั่วโมโหท่าน หากเขาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของท่าน เขาก็จะจดจำไว้เพื่อแก้แค้นในภายหลัง… คุณชายไม่รู้หรอกว่าเขาคนนี้ชั่วร้ายมากเพียงใด”
นั่นก็คือหนึ่งในเหตุผล
แต่มีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญก็คือชิงเล่ยจำได้ว่าเด็กหนุ่มเคยบอกว่าหน้าตาของตนเองต้องเสียโฉมระหว่างการฝึกฝนวิทยายุทธ์ นางกำลังกังวลว่าหากเขาถอดหน้ากากออกมา นั่นก็จะยิ่งทำให้หลินเฟิงอี้สะใจมากกว่าเดิม
ชิงเล่ยย่อมรู้ดีว่าหลินเฟิงอี้เป็นคนที่ผูกจิตคิดอาฆาตมากเพียงใด
หลินเป่ยเฉินหันมามองหน้านาง
“ท่านเคยถามไม่ใช่หรือว่าเพราะเหตุใด ข้าจึงต้องสวมใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา?”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับขณะกล่าวต่ออย่างแช่มช้า “ท่านเตรียมใจดูโฉมหน้าของข้าให้ดี…”
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ถอดหน้ากากออก
ชิงเล่ยจ้องมองโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาโดยไม่รู้ตัว
แล้วลมหายใจต่อมา ก็คล้ายกับเกิดแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องมาที่เบื้องหน้าของชิงเล่ยจนนางแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
ใบหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏอยู่ตรงหน้าชิงเล่ย
เป็นใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างไม่สามารถสรรหาถ้อยคำมาอธิบายได้อย่างคู่ควร
เด็กหนุ่มช่างหล่อเหลา
ซ้ำยังมีจิตวิญญาณของผู้กล้า
ดังนั้น เมื่อเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา ชิงเล่ยจึงอดคิดไม่ได้ว่าตนเองกำลังเห็นภาพลวงตาใช่หรือไม่
แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้… มีผิวพรรณขาวเนียนไร้ราคี ระหว่างที่นางกับเขาร่วมรักกันในหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว ชิงเล่ยได้เห็นมากับตาแล้วว่าเด็กหนุ่มมีร่างกายกำยำที่สมบูรณ์แบบมากเพียงใด…
ความคิดมากมายนับไม่ถ้วนถาโถมใส่สมองของชิงเล่ย
ดังนั้น นางจึงยืนตกตะลึงอยู่กับที่ เช่นเดียวกับหลินเฟิงอี้
ตอนแรกที่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉิน บุรุษหนุ่มผมทองรู้สึกว่าดวงตาของตนเองแทบจะมืดบอดแล้ว
เขาเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ความละอายใจในตนเอง’ ซึ่งปะทุตัวออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด
โลกนี้มีบุคคลที่หล่อเหลาเช่นนี้อยู่ได้อย่างไร?
หลินเฟิงอี้ไม่อยากจะเชื่อ
เด็กหนุ่มผู้นี้มีอายุน้อยกว่าเขา มีขั้นพลังแข็งแกร่งกว่าเขา และที่สำคัญที่สุดก็คือ…
มีใบหน้าหล่อเหลามากกว่าเขาหลายพันเท่า
และไม่ใช่ความหล่อเหลาสวยงามหวานหยดเหมือนใบหน้าของสตรี
แต่เป็นความหล่อเหลาสมชาติชายชาตรี
“ฮ่า ๆ”
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองด้วยแววตาเย้ยหยัน “ในโลกใบนี้ คนที่จะเป็นคู่แข่งความหล่อเหลาของข้ายังไม่เกิด… ตัวประหลาดผมทองอย่างเจ้า มีค่าคู่ควรอันใดมาอยู่ต่อหน้าข้า จงสำนึกเอาไว้ซะ”
“ข้า…”
ลำคอของหลินเฟิงอี้สัมผัสได้ถึงรสชาติขมฝาด ก่อนที่เขาจะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
“ข้าพ่ายแพ้แล้ว…”
บุรุษหนุ่มผมทองพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินยกเท้าของตนเองขึ้น
พลั่ก!
แล้วเขาก็ตวัดเท้าเตะหลินเฟิงอี้ไถลไปกระแทกกับกำแพงหินที่อยู่ห่างออกไป
“วันนี้ชิงเล่ยไม่อยากฆ่าเจ้า ถือเป็นวาสนาของเจ้า ยังไม่รีบไสหัวไปอีก”
หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความดุร้าย “และอย่าให้ข้าได้พบเจอพวกเจ้าอีกเป็นอันขาด มิฉะนั้นแล้ว… รับรองว่าพวกเจ้าได้โดนหนักมากกว่านี้แน่”
หลินเฟิงอี้รีบลุกขึ้นและยกมือปาดคราบเลือดที่ริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น เขาจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก หลังจากนั้นบุรุษหนุ่มผมทองจึงพาลูกสมุนที่เหลืออยู่อีกสองคนของตนเองเดินจากไปด้วยสภาพสะบักสะบอม
หลินเป่ยเฉินจ้องมองแผ่นหลังของชายฉกรรจ์ทั้งสามและยิ้มออกมาด้วยความเย็นชา
หลังจากนั้น เขาก็หันมามองหน้าชิงเล่ยและยื่นมือออกไปลูบศีรษะเด็กหญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของนาง “นี่คือบุตรสาวของท่านใช่หรือไม่? หน้าตาน่ารักน่าชังเสียจริง”
นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่อันอันเงยหน้าขึ้นมาสบตามองหลินเป่ยเฉินพอดี
นางไม่เคยเห็นบุรุษหนุ่มผู้ใดหล่อเหลามากเท่านี้มาก่อน
โดยเฉพาะหลังจากที่เขาช่วยเหลือมารดาของนางขับไล่ชายฉกรรจ์ผู้ชั่วร้ายเหล่านั้นเตลิดหนีไป อันอันจึงเงยหน้าขึ้นจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ บุตรสาวของข้ามีนามว่าอันอัน”
เมื่อชิงเล่ยได้สติ นางจึงดึงบุตรสาวออกมายืนอยู่ด้านหน้า
“อันอัน? แปลว่าอยู่รอดปลอดภัยชั่วชีวิตใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินย่อกายลงและอ้าแขนออกกว้าง “อันอันมาให้ท่านอากอดหน่อยสิ”
อันอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะโถมตัวเข้าใส่อ้อมแขนของหลินเป่ยเฉินราวกับเป็นลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง
“ท่านอา”
อันอันโอบแขนกอดรอบลำคอของหลินเป่ยเฉินแนบแน่น
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะและโอบอุ้มอันอันลุกขึ้นยืน “อันอันนับเป็นชื่อที่ดียิ่ง มารดาหวังจะให้เจ้าอยู่รอดปลอดภัยไปชั่วชีวิต… เดี๋ยวท่านอาจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง ดีหรือไม่?”
“อันอันอยากให้ท่านอาปกป้องท่านแม่ด้วย”
ใบหน้าที่ซีดเซียวของอันอันมีสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาในพริบตา
“ฮ่า ๆ ประเสริฐ ท่านอาจะปกป้องท่านแม่ด้วย ดีหรือไม่?” หลินเป่ยเฉินรีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
“ดีมากเจ้าค่ะ”
อันอันพูดออกมาอย่างมีความสุข
ชิงเล่ยผู้ยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองบุตรสาวของตนเองกับหลินเป่ยเฉินพูดคุยกันอย่างสนิทสนม นางรู้สึกว่านี่คือความฝันที่กลายเป็นความจริง จึงอดตะลึงลานไม่ได้
…
“บัดซบ บัดซบ บัดซบ…”
“บัดซบ บัดซบ บัดซบ”
หลินเฟิงอี้ได้แต่สบถอยู่ตลอดเวลา
ในชีวิตนี้ เขามักระวังคำพูดและกิริยาท่าทางมากที่สุดและเขาก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ที่ยับเยินเช่นนี้มาก่อน
หลินเฟิงอี้คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ตนเองเกือบจะต้องตายด้วยฝีมือคนรักใหม่ของอดีตภรรยา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูปโฉมของชิงเล่ยในยามนี้ดูจะมีความสวยงามเปล่งปลั่งมากกว่าในอดีตหลายเท่า เมื่อเทียบกับบรรดาสาวงามที่หลินเฟิงอี้เคยเชยชมมาตลอดสามปีที่เลยผ่าน ชิงเล่ยนับได้ว่ามีความงามเหนือล้ำมากกว่าสตรีเหล่านั้นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ทำไมเขาถึงไม่เคยเห็นความสวยงามของนางมาก่อนเลยนะ?
หลินเฟิงอี้เริ่มรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
เขาไม่ควรทิ้งชิงเล่ยกับบุตรสาวมาเลย
อย่างน้อยแต่งตั้งให้นางเป็นภรรยาหลวง หรือให้ติดตามเป็นภรรยาน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็นับเป็นทางเลือกที่ดีทั้งสิ้น
แต่บัดนี้ อดีตภรรยาผู้เลอโฉมกลับกลายเป็นสตรีของบุรุษอื่นไปเสียแล้ว…
นี่คือสิ่งที่หลินเฟิงอี้ไม่อาจทนทานได้เด็ดขาด
และเจ้าหนุ่มนั่นก็ยังหล่อเหลาไม่เบา
คอยดูเถอะ เขาจะกลับไปรวบรวมมือดีจากทางวิหารและหาทางแก้แค้นเจ้าหน้าอ่อนผู้นั้นให้ได้
“นายท่านขอรับ คราวนี้เราพาตัวคุณหนูกลับไปไม่ได้ เราจะหาข้อแก้ตัวอย่างไรดี?”
หนึ่งในลูกสมุนอดพูดขึ้นมาไม่ได้
ภารกิจหลักของพวกเขาในครั้งนี้ คือการนำตัวเด็กหญิงที่ชื่ออันอันกลับมาด้วยให้ได้ เนื่องจากนางกำลังจะต้องรับบทบาทสำคัญบางอย่าง
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าภารกิจในวันนี้จะล้มเหลวด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ พวกเขาก็เริ่มรู้สึกอึดอัดขัดใจขึ้นมาจริง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือความหล่อเหลา กลุ่มชายฉกรรจ์ล้วนแต่ไม่สามารถเทียบเคียงกับเด็กหนุ่มผู้นั้นได้เลย
นี่คือความจริงอันโหดร้าย
“เอาเถอะ ในเมื่อลงมือตอนกลางวันไม่ได้ผล งั้นเรารอลงมือตอนกลางคืนก็แล้วกัน ข้าไม่เชื่อว่ามันผู้นั้นจะอยู่เฝ้าพวกนางตลอดเวลา…”
หลินเฟิงอี้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุร้าย
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
เขาก็พบว่าลูกสมุนทั้งสองของตนเองกำลังจ้องมองมาด้วยแววตาแปลกประหลาด
“พวกเจ้า…”
หลินเฟิงอี้รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เพราะในเงาสะท้อนจากดวงตาของลูกสมุน เขาเห็นแสงสีแดงลุกโชนสว่างไสว
นั่นมัน…
เงาสะท้อนของเปลวไฟ
ลมหายใจต่อมา เปลวไฟร้อนระอุก็พวยพุ่งออกมาจากปาก จมูก ดวงตา ใบหู และรูอื่น ๆ ตามร่างกายของหลินเฟิงอี้
“อ๊าก…”
เสียงสุดท้ายในชีวิตของหลินเฟิงอี้คือเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน
หลังจากนั้น ตัวคนก็ถูกเปลวไฟเผาไหม้ ร่างกายแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ปลิวหายไปกับสายลม ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ลูกสมุนของเขาที่ยืนอยู่ทางด้านหลังทั้งสองคนตัวเย็นเฉียบ
เป็นมันผู้นั้น
ต้องเป็นมันผู้นั้นแน่ ๆ
เมื่อนึกถึงฉากที่หลินเป่ยเฉินใช้เถาวัลย์อัคคีมรณะสังหารสหายทั้งสองของตนเองไปอย่างง่ายดาย พวกเขาก็มั่นใจว่าผู้ที่สังหารนายท่านในขณะนี้ ต้องเป็นเด็กหนุ่มชุดเกราะขาวคนนั้นแน่นอน
น่ากลัวเกินไปแล้ว
“เร็วเข้า พวกเรารีบกลับไปรายงาน… อ๊าก”
“ไม่นะ…”
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
แล้วเปลวไฟก็ลุกโชนเผาไหม้ทั่วร่างกาย
มันเผาไหม้อย่างร้อนแรงจนร่างของชายฉกรรจ์ทั้งสองสลายกลายเป็นหมอกควันไปเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในร่างของพวกเขาสลายหายไปจากโลกใบนี้
ใช่แล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่ใช่คนดีอันใด
แล้วเขาจะปล่อยให้ศัตรูลอยนวลไปได้อย่างไร
หลินเป่ยเฉินเพียงแค่ไม่ต้องการสังหารหลินเฟิงอี้ต่อหน้าชิงเล่ยกับอันอันเท่านั้น เพราะถึงอย่างไร หลินเฟิงอี้ก็มีสถานะเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดอันอันนั่นเอง