ตอนที่ 1,235 มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
‘ฮันลั่วเซวี่ยไม่ได้บอกท่านหรือว่าข้ามีภรรยาอยู่แล้ว?’
กล่องข้อความปรากฏขึ้นเหนือริมฝีปากของหลินเป่ยเฉิน
อันต้าหวงเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
นี่คือครั้งแรกที่นางเห็นเจ้าเด็กใบ้ใช้วิธีการสื่อสารชนิดนี้… นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ว่าอย่างไรนะ?
เขาแต่งงานแล้ว?
พูดอีกอย่างก็คือ ฮันลั่วเซวี่ยหลงรักคนที่แต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ?
เป็นไปได้อย่างไร?
อันต้าหวงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็ดูออกทันทีว่าอันต้าหวงผู้นี้ปิดบังความรู้สึกไม่เก่ง
‘ท่านไม่ทราบหรือ?’
หลินเป่ยเฉินส่งกล่องข้อความปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
อันต้าหวงพยักหน้า
หลังจากนั้น นางก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้หลินเป่ยเฉินกลับไปพบฮันลั่วเซวี่ยอีกแล้ว หญิงสาวตัดสินใจว่าตนเองสมควรกลับไปพูดคุยกับหลานสะใภ้ให้รู้เรื่อง
เด็กสาวไร้เดียงสา ไม่รู้หรืออย่างไรว่าการตกหลุมรักบุรุษที่แต่งงานแล้ว จะทำให้ตนเองต้องกลายเป็นอนุภรรยา
“เจ้าช่วยชีวิตฮันลั่วเซวี่ยกับมารดาของนางเอาไว้ ข้าในฐานะตัวแทนตระกูลฮันคงต้องขอขอบคุณเจ้า สามีของข้าอยากจะมาขอบคุณเจ้าด้วยตนเอง แต่น่าเสียดายที่ช่วงหลัง ๆ มานี้ภารกิจราชการยุ่งเหยิง เขาจึงไม่มีเวลามาพบเจอเจ้า หนุ่มน้อย บอกข้ามาสิว่าเจ้าต้องการสิ่งใดเป็นของรางวัลตอบแทน?”
อันต้าหวงถามอย่างตรงไปตรงมา
หลินเป่ยเฉินรู้ได้โดยทันทีว่าเขาไม่จำเป็นต้องไปพบฮันลั่วเซวี่ยอีกแล้ว
ความจริง เขาเองก็หวังว่าจะไม่ได้พบนางอีกตลอดไป
เพราะบัดนี้ ฮันลั่วเซวี่ยกลายเป็นคุณหนูในตระกูลใหญ่ มีผู้คนคอยดูแลล้อมหน้าล้อมหลังมากมาย แตกต่างจากชิงเล่ยผู้โดดเดี่ยวและไร้ความช่วยเหลือ
หลินเป่ยเฉินไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
บุญคุณและความแค้นทั้งหมดล้วนจบลงไปแล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องทำให้ฮันลั่วเซวี่ยเสียเวลาอีกต่อไป
และหลินเป่ยเฉินก็ยืนยันได้อีกหนึ่งอย่างว่า ความลับของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังไม่ถูกเปิดโปง
อย่างน้อย ฮันฉวินก็ยังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
แต่เรื่องของรางวัล…
หลินเป่ยเฉินนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองเพิ่งจะถูกเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหลอกไถเงินไปไม่นาน
‘ข้าน้อยอยากจะมีชื่อเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งเทพเจ้าหน้าใหม่ประจำสภาเทพเจ้าขอรับ’
กล่องข้อความปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน
“เรื่องนี้…”
อันต้าหวงคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะมีข้อเสนอเช่นนี้
หลังจากเสียเวลาขบคิดอยู่เล็กน้อย หญิงสาวก็ให้คำตอบออกมาด้วยน้ำเสียงขออภัย “เสียใจด้วย ข้ามีเหตุผลที่พูดไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้จริง ๆ เจ้าพอจะเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นแทนได้หรือไม่ อย่างเช่น คัมภีร์ฝึกวิชาเทวะ ศิลาเทวะ คะแนนศรัทธาหรืออะไรทำนองนั้น ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ล้วนบอกออกมาได้เลย”
‘ให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น?’
หลินเป่ยเฉินกระตุกยิ้ม กล่องข้อความปรากฏขึ้นเบื้องหน้าขณะที่เขาส่ายศีรษะ ‘เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว’
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินกลับออกมาทันที
อันต้าหวงส่งเสียงตะโกนไล่หลังมาว่า “เจ้าลองคิดดูใหม่ หากต้องการสิ่งใด สามารถมาบอกข้าได้ตลอดเวลา”
‘ข้าน้อยคงไม่รบกวน’
หลินเป่ยเฉินเปิดประตูห้องอาหารและเดินจากไปโดยไม่เหลียวมองกลับหลัง
ฮันลั่วเซวี่ยเคยช่วยชีวิตเขาไว้ จึงไม่จำเป็นที่นางต้องตอบแทนบุญคุณเขาอีก
บริเวณหน้าห้องอาหาร
เด็กรับใช้แมวเหมียวยังคงมีแววตาขุ่นเคืองใจ แต่นางก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อประตูห้องอาหารเปิดออกอย่างกะทันหัน
นางจ้องมองร่างของหลินเป่ยเฉินเดินจากไปด้วยความสงสัยเต็มใบหน้า
“หืม? ทำไมครั้งนี้ใช้เวลาแค่นิดเดียวเอง?”
นั่นคือคำถามใหญ่ที่ปรากฏขึ้นในดวงตากลมโตของนาง
…
หลินเป่ยเฉินยังคงอารมณ์เสียตอนที่เดินออกมาจากหอสุราเหมียวเหมียวหง่าว
การพบกับอันต้าหวงไม่ควรค่าต่อการจดจำ
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในความทรงจำของเขาก็คือชุดเกราะสีดำที่นางสวมใส่ หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าชุดเกราะชุดนั้นมีความแตกต่างกับชุดเกราะทั่วไปมาก
ดูเหมือนมันจะบรรจุพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านในใช่หรือไม่?
คล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิต
หลินเป่ยเฉินขบคิดขณะเดินไปข้างหน้า
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป
ในหอสุราที่เงียบเหงาแห่งหนึ่งของพื้นที่เขต 3 ประจำแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เด็กหนุ่มก็ได้มาพบกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ผู้ที่ปลอมตัวเป็นขอทานคนหนึ่ง
“เอาไปสิ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโยนป้ายเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งมาให้พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าลงทะเบียนให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นอย่างไรเล่า สำนึกในบุญคุณของข้าบ้างหรือยัง?”
สำนึกกับผีเถอะ!!
หลินเป่ยเฉินตอบกลับในใจเงียบ ๆ
นี่เห็นได้ชัดว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสามารถบรรจุชื่อเขาเข้าสู่การแข่งขันได้นานแล้ว แต่นางก็ยังส่งข้อความผ่านทางแอปวีแชต เพื่อมาหลอกไถคะแนนศรัทธาจากเขาอยู่… นับเป็นบุคคลร้ายกาจไม่มีใครเกินจริง ๆ
“แล้วข้าต้องไปยืนยันการลงทะเบียนด้วยตนเองหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
“เรื่องนั้นยังไม่ต้องพูดถึงหรอก”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหยิบชามบรรจุสุราขึ้นซดรวดเดียวจนหมด นางยกแขนเช็ดปาก ระบายลมหายใจออกมาเป็นกลิ่นสุราและกล่าวด้วยน้ำเสียงขื่นขม “เพื่อช่วยเหลือเจ้าในครั้งนี้ ข้าต้องเสียสละไปมากมาย…”
“ท่านเสียสละอันใดไม่ทราบ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ “ข้ามองท่านออกทะลุปรุโปร่ง คนอย่างท่านไม่มีทางยอมเอาตัวเข้าแลกเด็ดขาด และท่านจะไม่ทำสิ่งใดที่ตนเองเสียประโยชน์ ไม่ต้องหาทางมาหลอกลวงเพื่อเอาคะแนนศรัทธาจากข้าเลย”
เจ้าเด็กคนนี้ฉลาดขึ้นหรือนี่?
“บัดซบ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงล้มเลิกแผนการไถเงินของตนเองและกล่าวต่อ “ข้ามีอีกข่าวหนึ่งมาบอกเจ้า คิดว่าเจ้าน่าจะต้องสนใจมากแน่ ๆ นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าคือลูกศิษย์ของเทพีกระบี่อย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่?”
ว่าอย่างไรนะ?
เขาเนี่ยนะเป็นลูกศิษย์ของเทพีกระบี่?
ในช่วงเวลาที่อาศัยอยู่บนดินแดนทวยเทพ หลินเป่ยเฉินเริ่มจะเข้าใจเรื่องลำดับชั้นของตระกูลเทวะขึ้นมาบ้างแล้ว
“เช่นนั้นข้าก็สามารถเข้าพบเทพีกระบี่ได้แล้วสิ?”
หลินเป่ยเฉินมีความสนใจขึ้นมาจริง ๆ
เขาถูมือด้วยความตื่นเต้นขณะกล่าวต่อ “พูดก็พูดเถอะ ไม่มีสาวกเทพีกระบี่ผู้ใดที่จะเชื่อมั่นในตัวนางมากกว่าข้าอีกแล้ว และข้าก็ยังเป็นนักบวชชายเพียงคนเดียวของวิหารเทพีกระบี่อีกด้วย ข้ารอคอยโอกาสนี้มานานแล้ว รอที่จะได้พบกับตัวจริงของเทพีกระบี่เสียที”
“องค์เทพีกักตัวฝึกวิชา ไม่ทราบกำหนดว่าจะออกมาเมื่อไหร่”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่มีสิ่งใดผิดปกติ “แต่ถึงพระองค์ท่านจะเลิกกักตัวแล้ว พระองค์ท่านก็ไม่ยอมพบเจอผู้ใดทั้งสิ้น ข้าเป็นเพียงคนกลางคนเดียวเท่านั้นที่จะคอยติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น สถานะของเจ้าต่ำต้อยมากกว่าข้า เพราะฉะนั้น อย่าได้ตั้งความหวังเอาไว้สูงมากนักเลย นี่คือสิทธิพิเศษที่ข้าต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้มา… เอาเถอะ เราอย่ามาพูดเรื่องไร้สาระกันเลยดีกว่า พวกเรามาทำพิธีรับลูกศิษย์อย่างเป็นทางการให้เรียบร้อยก่อน เจ้ามีแต่ต้องเป็นลูกศิษย์ของเทพีกระบี่อย่างเป็นทางการเท่านั้น จึงจะไปยืนยันตัวตนการลงทะเบียนเข้าแข่งขันได้”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมถึงพูดเยอะขนาดนี้? ท่านกำลังรู้สึกผิดอยู่ใช่หรือไม่? หรือว่าท่านกำลังปิดบังบางอย่างจากข้า?”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าว “ยื่นมือของเจ้าออกมา หลับตาลง ตั้งสมาธิและรับพลังจากข้า… เมื่อกลายเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าก็จะได้รับการแบ่งปันพลังศักดิ์สิทธิ์จากองค์เทพีกระบี่”
“เดี๋ยวก่อนสิ มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”
หลินเป่ยเฉินพยายามจะทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ “ข้าสามารถปลดผนึกตำแหน่ง ‘เซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุน’ ได้แล้วไม่ใช่หรือ? พูดอีกอย่างก็คือ บัดนี้ข้ามีสถานะเป็นเทพเจ้าแล้ว เหตุใดข้าถึงต้องไปเป็นลูกศิษย์ของเทพเจ้าองค์อื่นด้วย?”
“อย่าพูดมากน่า หลับตาลงเถอะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงชักสีหน้าด้วยความรำคาญใจ “เจ้าคิดว่าองค์เทพีกระบี่รับลูกศิษย์มากมายหรือไร? คิดว่าพระองค์ท่านจะสามารถนำมาเปรียบเทียบกับเทพเจ้าทั่วไปได้อย่างนั้นหรือ? ต่อให้เจ้าเป็นเทพเจ้าจริง ๆ เจ้าก็จะเป็นเทพเจ้าภายใต้อาณัติของพระองค์ท่าน… นี่เทียบเท่ากับได้เป็นเทพเจ้าขั้นสูง จงดีใจในวาสนาของตนเสียเถิด”
นางพูดเกลี้ยกล่อมอย่างไหลลื่น
“สาบานได้ไหมล่ะว่าท่านไม่ได้โกหกข้า”
หลินเป่ยเฉินยังคงรู้สึกไม่แน่ใจอยู่ดี
“นี่เจ้าไม่เชื่อใจเทพเจ้าอย่างข้าหรือ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะในลำคอด้วยความไม่สบอารมณ์ “ก็ได้ ข้าขอสาบาน… หากข้าโกหกต่อเจ้า ขอให้คนที่ข้ารักต้องตกตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุด”
เทพธิดาสาวเอ่ยคำสาบานอย่างว่าง่าย
หลินเป่ยเฉินหลงเชื่อแล้วจริง ๆ
เขาหลับตาลงอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจอีกแล้ว
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผู้นั่งอยู่ด้านข้างพึมพำคาถาบางอย่าง มันเป็นภาษาที่หลินเป่ยเฉินฟังไม่รู้เรื่อง แต่เขากลับรู้สึกว่าท่วงทำนองและจังหวะการออกเสียงนั้นช่างไพเราะเสนาะหูเหลือเกิน
ในไม่ช้า หลินเป่ยเฉินก็ตกอยู่ในสภาวะคล้ายถูกสะกดจิต
ท่ามกลางความมืดมิด หัวใจของเด็กหนุ่มเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา
ยิ่งรับฟังเสียงสวดมนต์ของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็ยิ่งรู้สึกปลอดโปร่ง ร่างกายของเขาปกคลุมด้วยม่านพลังปริศนา มันทำให้เขาสัมผัสได้ถึงมวลพลังวิญญาณที่เชื่อมโยงมาจากระยะไกล
หลังจากนั้น กระแสพลังสายหนึ่งก็ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเขา
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด
“เรียบร้อยแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหยุดสวดมนต์
หลินเป่ยเฉินลืมตาขึ้นมา
เขาหันไปมองหน้านาง “สะ…เสร็จแล้วหรือ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือออกมาข้างหน้าและส่งบางสิ่งบางอย่างให้กับเขา
มันเป็นแผ่นพับคัมภีร์เล่มหนึ่ง
บนหน้าปกสลักข้อความ ‘กระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทร’ เด่นหรา
“นี่คือคัมภีร์เวทมนตร์ที่ข้าตั้งใจนำมามอบให้เจ้าโดยเฉพาะ จงเอาไปฝึกฝนซะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง