ตอนที่ 1,221 กลีบที่เจ็ด
แดนตะวันตกเฉียงเหนือ เขตพื้นที่ระดับ 2
เด็กหญิงนามว่าอันอัน วัยสามขวบกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หินในลานหน้าบ้าน นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาว ใบหน้าซีดเซียว ดวงตากำลังจ้องมองแสงอาทิตย์สีทองที่สาดส่องอยู่นอกกำแพงตรอก
มีเพียงช่วงเวลานี้ของวันเท่านั้นที่บ้านของเด็กหญิงจะสามารถรับชมแสงอาทิตย์ได้อย่างชัดเจนที่สุด ส่วนเวลาอื่นตลอดทั้งวัน เขตพื้นที่นี้จะปกคลุมด้วยความมืดสลัว ยากนักที่จะมีแสงอาทิตย์ส่องผ่านลงมาถึง
“สวยจังเลย”
อันอันเฝ้าดูแสงอาทิตย์ตกดินด้วยความตื่นเต้น
เด็กหญิงนั่งชมแสงอาทิตย์อยู่บนเก้าอี้หินในความเงียบ แทบไม่กระดุกกระดิกตัว คล้ายกับกลัวว่าหากขยับตัวมากเกินไป ดวงอาทิตย์ดวงนั้นจะหายลับไปจากสายตา
แม้ว่าอันอันจะมีอายุเพียงสามขวบ แต่นางก็คุ้นเคยกับชีวิตที่อยู่กับบ้านทั้งวันทั้งคืน เมื่อมารดาออกไปทำงาน อันอันก็แทบไม่เคยออกมาจากบ้านเลยสักครั้ง
เพราะมารดาเคยสั่งเอาไว้ว่านอกบ้านไม่ปลอดภัย
เวลาเดียวที่เด็กหญิงจะออกมาอยู่นอกบ้าน ก็คือเวลาที่นางจะมานั่งจ้องมองแสงอาทิตย์เช่นนี้เอง
การนั่งดูดวงอาทิตย์ลับขอบกำแพงไปคือสีสันในชีวิตของอันอัน
มันเป็นสิ่งที่เด็กหญิงรักมากที่สุด
รองลงมาจากมารดา
ทุกวันเมื่อแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปและนับเวลาได้อีกหนึ่งก้านธูป มารดาของนางก็จะกลับมาจากทำงานพอดี
มีเพียงครั้งเดียวที่ไม่เหมือนเดิมในความทรงจำของอันอัน
คือเมื่อห้าวันที่แล้ว
วันนั้นมารดากลับมาบ้านช้ากว่ากำหนดถึงหนึ่งชั่วยาม
อันอันร้องไห้โฮด้วยความวิตกกังวล
แต่นางก็นั่งรอคอยอยู่ที่ลานหน้าบ้านด้วยความเชื่อฟัง
เพราะมารดาเคยสั่งเอาไว้ว่าหากวันไหนมารดากลับบ้านช้า ก็ให้เด็กหญิงมานั่งรอที่หน้าบ้าน แต่ห้ามออกมาตามหามารดาด้วยตนเองเด็ดขาด
โชคดีที่วันนั้นมารดากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
และในคืนนั้น มารดาก็ดูเปลี่ยนไป
อันอันรู้สึกได้ว่ามารดามีความงดงามมากขึ้น
คืนนั้น มารดาหัวเราะอย่างมีความสุข แต่บางครั้งกลับถอนหายใจออกมาเล็กน้อย…
อันอันไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
เด็กหญิงรู้เพียงอย่างเดียวว่าดูเหมือนมารดาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
หลายวันที่ผ่านมานี้ มารดาอารมณ์ดีมาก
เมื่อคิดได้ดังนี้ อันอันก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ตราบใดที่มารดามีความสุข อันอันก็มีความสุข
“วันนี้ท่านแม่ก็สมควรกลับมาได้แล้ว”
อันอันนั่งเท้าคางและจ้องมองตรอกทางเข้าบ้านด้วยความกระตือรือร้น
แสงอาทิตย์สีทองหายวับไปแล้ว
เด็กหญิงนั่งนับเวลารอคอย เมื่อผ่านไปหนึ่งก้านธูป ร่างของมารดาก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าตรอกน้อยแห่งนี้จริงๆ
อันอันผุดลุกขึ้นด้วยความดีใจ
“ท่านแม่ ท่านแม่…”
เด็กหญิงยืนอยู่หน้าประตูและยกมือป้องปากตะโกนเรียก
เนื่องจากลานหน้าบ้านของนางปกคลุมด้วยค่ายอาคม เสียงของเด็กหญิงจึงไม่อาจลอดผ่านไปด้านนอก นั่นหมายความว่าอันอันสามารถได้ยินเสียงด้านนอกทุกอย่าง แต่ชิงเล่ยไม่สามารถได้ยินเสียงของบุตรสาวได้เลย
หลังจากนั้น
ชิงเล่ยก็เดินมาถึงประตูรั้วและสลายค่ายอาคมลงไป
แอ๊ด
ประตูรั้วถูกเปิดออก
“ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้ว”
อันอันรีบวิ่งเข้าไปสู่อ้อมอกของชิงเล่ยและหอมแก้มผู้เป็นมารดาหลายฟอด
รอยยิ้มพิมพ์ใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงเล่ย
“วันนี้อันอันเป็นเด็กดีหรือไม่?”
หญิงสาวอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมแขน หอมแก้มนางให้ชื่นใจ หลังจากนั้นจึงหมุนตัวไปปิดประตูรั้วและเดินเข้าสู่ด้านในตัวบ้าน
“วันนี้อันอันเป็นเด็กดี”
เด็กหญิงโอบแขนรอบคอมารดาและกล่าวต่อ “อันอันรดน้ำต้นไม้ ให้อาหารนกแก้วน้อย หั่นผักและต้มน้ำร้อน… ท่านแม่ อันอันเก่งหรือไม่?”
ในฐานะที่เป็นเด็กสามขวบผู้หนึ่ง จึงนับได้ว่าอันอันมีความเก่งกาจมากทีเดียว
ชิงเล่ยเหนื่อยล้า แต่แววตาก็เป็นประกายอย่างมีความสุข
ไม่มีสิ่งใดจะทำให้นางมีความสุขได้เท่ากับเห็นบุตรสาวมีอาการดีขึ้นอีกแล้ว
“ท่านแม่ วันนี้มีคนมาที่บ้านของเราอีกแล้ว”
อันอันทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ขณะกระโดดขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หิน
ชิงเล่ยหัวใจกระตุกวูบและถามว่า “เป็นผู้ใด?”
“อันอันไม่รู้จักเขา”
คิ้วของเด็กหญิงขมวดมุ่น นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและตอบว่า “พวกเขาเป็นท่านลุงสามคน หนึ่งในนั้นมีหน้าตาหล่อเหลามาก คิ้วของเขาเรียวยาวราวกับคมกระบี่ ในมือของเขาถือกระบี่ทองคำมาด้วย และบนหน้าผากก็มีปานสีทองคำด้วยเช่นกัน…. ท่านแม่ ท่านลุงผู้นี้ก็ป่วยเหมือนอันอันใช่หรือไม่? บนหน้าผากของเขาจึงได้มีปานสีทองคำเช่นนั้น”
บนหน้าผากของอันอันในขณะนี้มีปานสีชมพูรูปกลีบดอกไม้ปรากฏขึ้นมา
มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดหกกลีบ
นี่คือโรคระบาดบุปผามรณะ
หากปานบนหน้าผากมีกลีบดอกไม้กลีบที่เจ็ดปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นก็หมายความว่าตัวโรคสิ้นสุดระยะแรกเริ่มและกำลังจะเข้าสู่ระยะที่สองแล้ว ซึ่งจุดต่อไปที่ปานรูปกลีบดอกไม้จะไปขึ้นก็คือบริเวณหน้าอก
เมื่อถึงตอนนั้น ตัวโรคก็จะเริ่มลุกลามไปทั่วร่างกาย
อันอันรับประทานยาหลิงหลงเจี๋ยมาตลอด แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาอาการของโรคในระยะแรกเริ่มเท่านั้น ดังนั้นปานสีชมพูรูปกลีบดอกไม้บนหน้าผากของเด็กหญิงจึงมีอยู่มาช้านาน แต่เมื่อรับฟังคำอธิบายของอันอัน หญิงสาวผู้เป็นมารดาก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที
เป็นเขาเอง
ต้องเป็นเขาแน่ ๆ
บุรุษผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยย่ำยีหัวใจและเป็นเสมือนผู้ที่ตายไปแล้วจากชีวิตของนาง
ครั้งนี้เขาจะกลับมาทำไมอีก?
ชิงเล่ยอดรู้สึกเคียดแค้นขึ้นมาไม่ได้
นางไม่ใช่เด็กสาวใสซื่อบริสุทธิ์อีกต่อไป ชิงเล่ยเคยเห็นธาตุแท้ของบุรุษผู้นี้มาแล้ว เขาคือปีศาจร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ความหล่อเหลา ดังนั้นการที่เขากลับมาหานางและบุตรสาวจึงต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่นอน
“อันอันได้พูดคุยกับพวกเขาหรือไม่?”
ชิงเล่ยนั่งลงจับมือบุตรสาวและสอบถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หญิงสาวพยายามควบคุมสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติ เพราะไม่อยากจะทำให้บุตรสาวตื่นกลัว
“อันอันไม่ได้คุย”
อันอันกล่าวตอบด้วยความภาคภูมิใจ “ท่านแม่บอกว่าเวลาที่ท่านไม่อยู่บ้าน ห้ามอันอันพูดคุยกับผู้ใดเด็ดขาด แม้แต่กับคนรู้จัก อันอันก็คุยด้วยไม่ได้”
ชิงเล่ยได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้ว่าค่ายารายเดือนของเด็กหญิงจะแพงมาก แต่นางก็ไม่ลังเลที่จะเช่าบ้านหลังนี้ด้วยเงินจำนวนมหาศาลเช่นกัน เหตุผลสำคัญนั้นเป็นเพราะว่าบ้านหลังนี้มีค่ายอาคมคอยรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
ระบบรักษาความปลอดภัยในถิ่นที่อยู่อาศัยพื้นที่เขต 2 มีความรัดกุมมากกว่าพื้นที่เขต 3 หลายเท่า
แต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี
เพราะเรื่องราวไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
ค่ายอาคมของบ้านนางนั้นสามารถป้องกันการตรวจจับความเคลื่อนไหวจากภายนอก ตราบใดที่อันอันไม่ได้ปิดการทำงานของค่ายอาคมป้องกันเสียง ฝ่ายตรงข้ามก็จะไม่รู้แน่นอนว่ามีผู้คนอยู่ในบ้านหลังนี้
และเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของบุตรสาว จึงมีชิงเล่ยเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถสลายค่ายอาคมนี้ลงได้ แม้แต่อันอันก็ไม่สามารถทำได้ สิ่งเดียวที่เด็กหญิงสามารถทำได้ ก็คือการพูดคุยสื่อสารกับคนภายนอกเท่านั้น
“อันอัน ลูกต้องจำไว้นะว่าหากบุรุษที่ถือกระบี่ทองคำมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีก ลูกต้องไปซ่อนตัวให้ดี ห้ามพูดห้ามคุย ห้ามให้เขารู้ว่าลูกอยู่ในบ้าน เข้าใจหรือไม่?”
ชิงเล่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
อันอันพยักหน้าด้วยความเชื่อฟัง แต่ก็ถามออกมาอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “ท่านลุงผู้นั้นเป็นคนไม่ดีหรือจ๊ะ ท่านแม่?”
ชิงเล่ยลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
“อันอันโตขึ้นเมื่อไหร่ อันอันจะฆ่าคนเลวให้หมดเลย”
อันอันชูกำปั้นขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น
ชิงเล่ยลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความเอ็นดู
ตราบใดที่บุตรสาวแข็งแรงและเติบโตอย่างมีความสุข ยังจะมีสิ่งใดที่คนเป็นมารดาต้องเป็นกังวลอีกหรือ?
แต่ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของชิงเล่ยก็หายวับไป
เพราะนางสังเกตเห็นว่าปานสีชมพูกลางหน้าผากของเด็กหญิงปรากฏกลีบดอกไม้กลีบที่เจ็ดผุดขึ้นมาแล้ว…