ตอนที่ 1,225 กุหลาบเทวะ
ค้นพบอัจฉริยะคนใหม่?
หัวใจของใต้เท้าเหลียนกระตุกวูบ
ในระยะหลังมานี้ อัตราการค้นพบอัจฉริยะหน้าใหม่ของดินแดนทวยเทพพุ่งสูงขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ
นี่คือเหตุการณ์ที่ผิดปกติ
ว่ากันตามข้อมูลจากในประวัติศาสตร์ การที่มียอดอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ เห็นจะมีแต่ช่วงยุคทองและยุคแห่งความโกลาหลเท่านั้น
แต่ทว่า ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือยิ่งมีเทพเจ้าอัจฉริยะปรากฏตัวมากเท่าไหร่ จำนวนสาวกของวิหารเทพพงไพรก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น
“นำข้อมูลเข้ามา”
ใต้เท้าเหลียนออกคำสั่ง
“ข้าน้อยรับบัญชา”
หลังจากนั้น นักรบเทวะในชุดเกราะสีดำผู้หนึ่งก็ก้าวเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าต่ำ สองมือยื่นประคองแผ่นหยกออกมาข้างหน้า
ใต้เท้าเหลียนโบกมือวูบหนึ่ง แผ่นหยกนั้นก็ลอยหวือเข้ามาอยู่ในมือนาง
“อัจฉริยะคนใหม่ผู้นี้เป็นหลานสาวของขุนนางนักรบฮันฉวิน ซึ่งประจำการอยู่ในวิหารแดนพายัพอย่างนั้นหรือ?”
เป็นพวกลูกหลานคนใหญ่คนโตสินะ
ใต้เท้าเหลียนกวาดสายตาอ่านข้อมูลในมือ
ทันใดนั้น ดวงตาของนางก็ต้องหรี่ลงเล็กน้อย
“โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย อย่าบอกนะว่า…”
ใต้เท้าเหลียนนึกถึงเจ้าหนุ่มใบ้เจี๋ยนเซียวเหยาขึ้นมาทันที
เพราะเหตุใดทุกสิ่งทุกอย่างถึงเกี่ยวข้องกับเจ้าเด็กใบ้ผู้นี้หมดเลยนะ?
ข้อมูลในแผ่นหยกระบุถึงการค้นพบพลังของฮันลั่วเซวี่ยโดยละเอียด ปรากฏว่าบิดามารดาของนางเป็นเพียงพลเมืองธรรมดา มีเพียงฮันฉวินผู้เป็นอาเท่านั้นที่โดดเด่นเหนือใคร
แต่จากข้อมูลที่ใต้เท้าเหลียนได้มา ไม่พบสิ่งใดน่าสงสัย
ความน่าสงสัยเดียวก็คือตระกูลฮันมีการข้องเกี่ยวกับเจ้าใบ้เจี๋ยนเซียวเหยาเมื่อประมาณครึ่งเดือนก่อน และสายสัมพันธ์ของพวกเขาก็เรียกได้ว่าสนิทสนมกันดีมาก
ส่วนเหตุผลที่เจี๋ยนเซียวเหยาไปฆ่ากวาดล้างสำนักหนามทมิฬก็เพื่อแก้แค้นให้แก่ตระกูลฮันนี่เอง
เจ้าเด็กใบ้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนเป็นเวลาเพียงสิบสองวันเท่านั้น แต่เขากลับก่อเรื่องเอาไว้มากมายเหลือเกิน
กับบุคคลเช่นนี้ หากไม่ได้มีพลังกล้าแข็งโดยกำเนิด ก็ต้องมีกลุ่มคนผู้มีอำนาจคอยหนุนหลัง
หลังจากหยุดคิดเล็กน้อย ใต้เท้าเหลียนก็กำแผ่นหยกในมือแน่น
“บรรจุชื่อฮันลั่วเซวี่ยเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งเทพเจ้าหน้าใหม่เสีย”
วูบ!
จากนั้นนางก็โยนแผ่นหยกทิ้งไปในอากาศ
…
“อ๊าก อ๊าก… เจ็บเหลือเกิน”
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากจวนตระกูลเจียงอย่างต่อเนื่อง
ในพื้นที่เขต 1 ของแดนตะวันตกเฉียงเหนือประจำเมืองเยี่ยเฉิง จวนตระกูลเจียงตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า ไม่มีผู้ใดจะไม่รู้จักตระกูลเจียง พวกเขาชำนาญการใช้วิชาเวทมนตร์หลายประเภท ไม่แปลกที่จะมีสมาชิกประจำตระกูลจำนวนมากที่ได้รับการบรรจุเข้าเป็นนักรบเทวะในสภาเทพเจ้า
จวนตระกูลเจียงเป็นสิ่งปลูกสร้างลอยฟ้า มันลอยตัวอยู่เหนือขุนเขาเขียวขจี ทุกวันจะรับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นจากฟากฟ้า แม้ว่าเทพเจ้าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขต 1 ล้วนแต่มีฐานะร่ำรวยทั้งสิ้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดจะคิดฝันมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับตระกูลเจียง เพราะว่าที่ดินในบริเวณนี้มีราคาแพงมากเกินไป
ด้วยเหตุนี้ ตระกูลเจียงจึงทะนงตนในความยิ่งใหญ่ของตนเองเสมอมา
แต่เมื่อหกวันที่แล้ว ในจวนอันหรูหราแห่งนี้ได้บังเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนก้องกังวาน ไม่ต่างอะไรจากเสียงร้องของวิญญาณที่โกรธแค้นดังไปทั่วบริเวณ
“เจ็บเหลือเกิน ท่านพ่อ ท่านแม่ ได้โปรดช่วยลูกด้วย”
“ท่านพี่ ท่านต้องไปฆ่ามัน แก้แค้นให้กับข้า”
“โอ๊ย ฮือ ข้าจะต้องสับมันผู้นั้นให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น”
เจียงรั่วหลิน ธิดาคนรองของตระกูลเจียงวิ่งวนอยู่ในลานหน้าจวนด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ปากส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับสัตว์ป่าที่บาดเจ็บไม่หยุดยั้ง
บนไหล่ซ้ายของนางปรากฏรอยแผลฉกรรจ์ให้เห็นเด่นชัด นั่นคือรอยกระบี่ที่ฝากคมเอาไว้ มันมีความหนาเท่ากับนิ้วมือคน แม้จะได้รับการรักษาอย่างหลายวิธีการ แต่ก็ยังไม่สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดลงได้อยู่ดี
มิหนำซ้ำ บาดแผลยังบวมแดงและเจ็บปวดแสบร้อนมากกว่าเดิมอีกด้วย
นับตั้งแต่เป็นเด็กเล็กจนเติบใหญ่ เจียงรั่วหลินไม่เคยต้องพบเจอกับความเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อน นางจึงทำได้เพียงวิ่งวนรอบจวนและร่ำร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ตลอดทั้งหกวันนี้ เจียงรั่วหลินสังหารบ่าวรับใช้ไปถึงสิบคนเพียงเพื่อต้องการระบายความเจ็บปวดของตนเอง และทำให้องครักษ์ต้องบาดเจ็บไปอีกยี่สิบคน รวมถึงทำบ้านพักหลังน้อยพังทลายลงไปอีกสามหลัง…
เจียงรั่วหลินไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกแล้ว
บัดนี้ นางอยู่ในลานหน้าจวนเพียงลำพัง
ทว่า รอบกำแพงมีการวางค่ายอาคมที่เจียงจิวเหอเป็นคนติดตั้งด้วยตนเองอย่างแน่นหนารัดกุม ดังนั้น ต่อให้เจียงรั่วหลินจะคลุ้มคลั่งเสียสติถึงเพียงใด นางก็ไม่มีทางวิ่งฝ่าออกไปถึงด้านนอกได้เด็ดขาด
“ท่านได้โปรดรีบคิดหาวิธีการรักษาโดยเร็วเถิด”
ฮูหยินเจียงยกมือปาดน้ำตาด้วยความร้อนรน “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หลินเอ๋อร์ต้องแย่แน่”
“เหอะ เรื่องนี้นับเป็นความผิดของนางเอง”
เจียงจิวเหอเป็นชายวัยกลางคนร่างกายผอมสูง ใบหน้าขาวเนียนสะอาดสะอ้าน ไม่ต่างไปจากบัณฑิตคงแก่เรียนผู้หนึ่ง “ข้าเคยขอให้นางเรียนเวทมนตร์ดี ๆ แล้ว แต่บุตรสาวสุดที่รักของเจ้าก็ยืนกรานที่จะเข้าไปล่าอสูรในหุบผาอเวจีให้ได้ นางทำร้ายผู้จนคนบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย โชคดีที่ยังสามารถหลบหนีกลับมาได้อย่างปลอดภัย หากไม่ใช่เพราะว่าพกแผ่นหยกกุหลาบศักดิ์สิทธิ์ที่เสี่ยวไป๋ให้ไป เกรงว่าบัดนี้นางคงตายไปแล้ว”
“นี่ท่านยังเป็นบิดาของนางอยู่หรือไม่?”
ฮูหยินเจียงมีรูปโฉมงดงามและผิวพรรณขาวผ่อง คิ้วเรียวบางของนางขมวดมุ่น แสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์ เช่นเดียวกับคำพูดที่ถูกส่งผ่านออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “บุตรสาวสุดที่รักของข้าถูกรังแกถึงเพียงนี้ ท่านยังมีจิตใจคิดโทษว่าเป็นความผิดของนางอีก ท่านรีบไปคิดหาวิธีรักษานางเดี๋ยวนี้และส่งคนไปแก้แค้นให้กับนางด้วย”
“อาการบาดเจ็บต้องรักษา ความแค้นก็ต้องชำระสะสางอยู่แล้ว”
เจียงจิวเหอแสดงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอำมหิตออกมาขณะกล่าว “ไม่มีใครในดินแดนนี้ที่จะกล้ามีเรื่องกับตระกูลเจียงเรา เว้นแต่ว่าผู้นั้นจะเป็นเทพเจ้าระดับสูง… ข้าส่งคนไปแจ้งเรื่องนี้ต่อเสี่ยวไป๋แล้ว นางจะเข้าไปหานักรบชุดเกราะดำผู้ใช้พลังธาตุไฟในหุบผาอเวจีแห่งนั้นเอง”
เสี่ยวไป๋ก็คือบุตรสาวคนโตของพวกเขา
นางมีชื่อเต็ม ๆ ว่าเจียงรั่วไป๋
นักรบเทวะอันดับหนึ่งแห่งแดนพายัพ
และยังเป็นหนึ่งในสิบนักรบศักดิ์สิทธิ์ผู้แข็งแกร่งที่สุดของวิหารเทพพงไพร
ชำนาญการใช้วิชาเวทมนตร์
ได้รับการแต่งตั้งฉายานามให้เป็นกุหลาบเทวะ
ตระกูลเจียงมีวิชาเวทมนตร์อยู่สิบสองวิชา
บัดนี้ เจียงรั่วไป๋สามารถฝึกฝนได้สำเร็จแล้วถึงสิบวิชา
ก่อนการกำเนิดของเจียงรั่วไป๋ ตระกูลเจียงตกต่ำมายาวนานนับพันปี แต่เมื่อนางเติบใหญ่ขึ้น ตระกูลเจียงก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ
นี่คืออิทธิพลของกุหลาบเทวะ เจียงรั่วไป๋
ฮูหยินเจียงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลังจากนั้น ความเศร้าโศกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางอีกครั้ง “แต่ว่า… แล้วหลินเอ๋อร์เล่า? ท่านต้องคิดหาวิธีช่วยนางด้วย”
เจียงจิวเหอตอบว่า “เดี๋ยวข้าจะไปขอให้ใต้เท้าเหลียนช่วยเหลือ”
ผู้เป็นภรรยาถึงกับยกมือทาบอกด้วยความตกใจ “ทะ…ท่านตัดสินใจแล้วหรือ?”
เจียงจิวเหอพยักหน้าพลางถอนหายใจ “ตัดสินใจแล้ว เราจำเป็นต้องเลือกว่าจะรับใช้ผู้ใด”
เรื่องนี้ผู้อื่นอาจจะไม่รู้ ทว่า ในฐานะหัวหน้าตระกูล เจียงจิวเหอย่อมรู้เป็นอย่างดี
ในสภาเทพเจ้าขณะนี้ มีผู้กุมอำนาจสูงสุดอยู่ห้าคน มีเพียงใต้เท้าเหลียนผู้เดียวเท่านั้นที่ยอมปรากฏตัวใต้แสงสว่าง ส่วนเทพเจ้าคนอื่น ๆ เอาแต่หลบซ่อนอยู่ในความมืดมิด เมื่อมองจากภายนอก สภาเทพเจ้าอาจจะทำงานด้วยความราบรื่นสามัคคี แต่ความจริงนั้น ภายในสภามีการแก่งแย่งอำนาจกันไม่เคยหยุด
และบรรดาเทพเจ้าระดับสูงที่บรรจุอยู่ในสภาเทพเจ้า เช่นเทพสงครามทั้งเจ็ด พวกเขาก็ไม่เคยสนใจไยดีสิ่งใด นอกจากทำงานรับใช้เจ้านายของตนเองเท่านั้น
หลายปีที่ผ่านมา เทพเจ้าระดับสูงจำนวนมากต่างก็อยากได้ตระกูลเจียงไปเป็นบริวาร
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นตระกูลใหญ่และมีอำนาจไม่เบา แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องราวเช่นนี้ได้อยู่ดี
ตระกูลเจียงจึงจำเป็นต้องเลือกข้าง
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว หากเกิดสงครามในดินแดนทวยเทพขึ้นมาจริง ๆ ตระกูลเจียงก็จะเป็นตระกูลแรกที่ถูกกวาดล้าง
แม้แต่ต้นหญ้าสักต้นก็จะไม่มีเหลือรอด
ดังนั้น เจียงจิวเหอจึงตัดสินใจได้ในที่สุดว่า ตนเองสมควรจะรับใช้ผู้ใด
…
หุบผาอเวจี สถานีขนส่งแดน 4
หลินเป่ยเฉินกลับมาสวมใส่ชุดเกราะและหน้ากากสีขาวลวดลายเดิมอีกครั้งตอนที่เดินออกมาจากประตูขนส่ง
มันเป็นชุดใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อมา
และมันก็มีความใกล้เคียงกับชุดเกราะชุดเก่าที่ชิงเล่ยเคยไปซื้อกับเขาในวันนั้น พวกมันต่างก็มีคุณสมบัติเดียวกัน คือถึงจะราคาไม่แพง แต่ก็สวมใส่ได้อย่างสะดวกสบาย
เมื่อเทียบกับชุดเกราะสีดำทมิฬแล้ว หลินเป่ยเฉินยังคงชอบชุดเกราะสีขาวมากกว่าอยู่ดี
“เวรเอ๊ย เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปเจ็ดวันแล้วเหรอวะเนี่ย”
เมื่อเดินออกจากสถานที่ดำมืดและอันตรายกลับมาสู่ห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไสว หลินเป่ยเฉินจึงสามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในที่สุด
ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาฝังตัวล่าอสูรอยู่ในหุบผาอเวจีแดนห้าและก็ได้ซากอสูรมามากมายทีเดียว
บรรดาสัตว์อสูรที่หลินเป่ยเฉินล่าได้มา เขาขายไปในสถานีขนส่งประจำแดน 5 เกือบหมดแล้ว และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินกลายเป็นลูกค้าคนสำคัญของหอการค้าใหญ่ประจำสถานีขนส่งแดน 5 ไปโดยปริยาย
หลังผ่านไปเจ็ดวัน หลินเป่ยเฉินก็มีคะแนนศรัทธาอยู่ถึงสองร้อยล้านแต้ม!
ถือว่าทำสำเร็จได้ส่วนหนึ่งแล้ว
แต่เป้าหมายใหญ่ของเขาคือการเก็บสะสมคะแนนศรัทธาให้ครบหนึ่งพันล้านแต้มและนั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มยังขาดอยู่อีกแปดร้อยล้านแต้ม
ตอนแรก หลินเป่ยเฉินตั้งใจจะล่าสัตว์อสูรต่อไป
แต่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ส่งข้อความเข้ามาในแอปวีแช็ตว่าการบรรจุชื่อเขาเข้าร่วมการค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่แห่งสภาเทพเจ้าได้สำเร็จลุล่วงลงแล้ว หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องเดินทางมายืนยันตัวตน ดังนั้นเขาจึงต้องกลับออกจากหุบผาอเวจีเป็นการชั่วคราว
และก่อนจะออกจากที่นี่ไป หลินเป่ยเฉินก็ได้ตัดสินใจแวะมาที่สถานีขนส่งแดน 4 เพื่อพบกับชิงเล่ยเป็นพิเศษ