ตอนที่ 1,226 เผชิญหน้าบุรุษผมทอง
เพราะว่าหลินเป่ยเฉินเปลี่ยนชุดเกราะใหม่ เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นในสถานีขนส่งแดน 4 จึงไม่มีผู้คนให้ความสนใจเด็กหนุ่มสักเท่าไหร่
ไม่มีใครนึกเลยว่าเขาผู้นี้จะเป็นบุคคลเดียวกับเด็กหนุ่มในชุดเกราะสีดำทมิฬที่นำซากอสูรกิ้งก่าไฟมาขายเมื่อเจ็ดวันที่แล้ว
แต่จนกระทั่งถึงวันนี้ เรื่องราวเหล่านั้นยังคงถูกเล่าขานไม่ขาดปาก
หลินเป่ยเฉินรับฟังด้วยความพอใจและยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ
ถึงเขาจะไม่ได้มาล่าอสูรที่นี่แล้ว แต่ตำนานของเขายังคงถูกเล่าขานต่อไป
นี่คือความรู้สึกที่สดชื่นเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินก้าวเดินมาที่หน้าสำนักงานของหอการค้าคนแคระเทวะ
“ข้าน้อยต้องการพบเจ้าหน้าที่ชิงเล่ย”
เขาเอ่ยชื่อหญิงสาวและกล่าวต่อ “ไปตามนางออกมา บอกนางว่ามีผู้คนอยากจะขายสินค้าชิ้นใหญ่”
นี่ไม่ใช่การล้อเล่น
ในตัวของหลินเป่ยเฉินยังคงหลงเหลือสินค้าอยู่บ้าง
เด็กหนุ่มตั้งใจเก็บซากสัตว์อสูรส่วนหนึ่งเอาไว้ เพื่อนำมาขายกับชิงเล่ยโดยเฉพาะ
“วันนี้เจ้าหน้าที่ชิงเล่ยลาหยุด และพวกเราก็ไม่ทราบว่านางจะกลับมาทำงานเมื่อไหร่เจ้าค่ะ”
ผู้ชี้แนะกระโปรงม่วงที่ออกมารับหน้าหลินเป่ยเฉินคือเซียวจื่อหราน
หญิงสาวยังคงงดงามดังเดิม นางสวมใส่กระโปรงสั้นสีม่วง เอวคอดกิ่ว เรียวขาขาวเนียนราวกับหิมะ มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งน้ำค้างยามเช้า ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า แววตาหรือลักษณะท่าทาง ต่างก็แสดงถึงเสน่ห์ของตนเองออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“คุณชายมีสินค้าจะมาขายใช่ไหมเจ้าคะ? เดี๋ยวข้าน้อยจะรับผิดชอบการซื้อขายแทนให้เอง”
เซียวจื่อหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
ชิงเล่ยไม่มาทำงานอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
นี่ไม่ถูกต้อง
เขาจำได้ดีว่าชิงเล่ยมีบุตรสาวป่วยไข้ไม่สบาย นางจำเป็นต้องใช้เงินในการซื้อยารักษาโรค และตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชิงเล่ยก็ไม่เคยหยุดงานเลย
เพราะหากขาดงานเพียงวันเดียว นางก็จะไม่ได้เบี้ยเลี้ยงพิเศษจากทางหอการค้า
แล้วเหตุไฉนนางถึงไม่มาทำงาน?
“นางได้บอกหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มาทำงาน?”
หลินเป่ยเฉินถามออกไป
เซียวจื่อหรานยังคงยิ้มแย้มอย่างโปรยเสน่ห์ ก่อนตอบว่า “ข้าน้อยได้ข่าวว่าที่บ้านนางเกิดเรื่องบางอย่าง แต่นั่นอาจเป็นเพียงข้อแก้ตัวก็เป็นได้ บัดนี้ เจ้าหน้าที่ชิงเล่ยเปลี่ยนไปแล้ว นางไม่เหมือนคนเดิมในอดีตอีกต่อไป เพราะมีลูกค้ารายหนึ่งดูแลนางเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”
ที่บ้านนางเกิดเรื่องบางอย่าง?
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจคำพูดหลังจากนั้นของเซียวจื่อหรานอีกต่อไป
“แม่นางพอทราบหรือไม่ว่าบ้านของเจ้าหน้าที่ชิงเล่ยอยู่ที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
คราวนี้ เซียวจื่อหรานหมดความอดทนแล้ว
ที่นางยอมออกมาต้อนรับหลินเป่ยเฉินก็เพราะได้ยินว่าเขาอยากจะพบชิงเล่ย เพราะภารกิจลับของเซียวจื่อหรานก็คือการแย่งลูกค้ามาจากนางให้ได้มากที่สุด
แม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะสวมใส่ชุดเกราะสีขาวเรียบง่ายธรรมดา แต่เซียวจื่อหรานก็ยังไม่ได้นึกดูถูก
ทว่า บัดนี้เด็กหนุ่มเอาแต่สอบถามถึงชิงเล่ยตลอดเวลา ไม่มีสัญญาณว่าจะเปลี่ยนใจและยังไม่สนใจการโปรยเสน่ห์ของนางอีกด้วย ดังนั้นเซียวจื่อหรานจึงไม่อยากจะต้อนรับเขาอีกแล้ว
“เรื่องนั้นข้าน้อยไม่ทราบ… กราบเรียนคุณชาย ข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อน”
แล้วนางก็ถอยกายจากไปอย่างสุภาพ
ด้วยการกระทำของนาง ต่อให้ลูกค้าจะไม่สนใจขายสินค้า แต่อย่างน้อยก็จะไม่ขุ่นเคืองใจกับนางแน่นอน
หลินเป่ยเฉินยืนชั่งใจอยู่เล็กน้อย ก็ตัดสินใจว่าต้องไปดูให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขานำโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแอปไป่ตู้ แมปและพิมพ์ค้นหาเส้นทางไปยัง ‘บ้านของชิงเล่ย’
เส้นทางปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
อุ๊ย ใช้ได้แฮะ
เมื่อเดินตามเส้นทางในโทรศัพท์มือถือไปได้ไม่นาน หลินเป่ยเฉินก็มาถึงย่านที่พักอาศัยในเขตชานเมืองของพื้นที่เขต 2
“อุตส่าห์มาเช่าบ้านอยู่ไกลถึงที่นี่ แสดงว่าคงทนอยู่ในพื้นที่เขต 3 ไม่ไหวแล้วสินะ”
หลินเป่ยเฉินอดคิดในใจไม่ได้
เขาพบว่าตนเองกำลังอยู่ในย่านที่พักอาศัยซึ่งห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง
“นี่นางมาอาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินคิดขึ้นมาด้วยความเป็นกังวล
เขาเดินผ่านถนนหลายสาย จนกระทั่งในที่สุด ก็มายืนอยู่หน้าทางเข้าตรอกอันมืดมิดแห่งหนึ่ง
บัดนี้ ล่วงเข้ายามเย็นแล้ว
ภายในตรอกปกคลุมด้วยแสงอาทิตย์สีทอง
ภายใต้แสงอาทิตย์นี้ ตรอกอันดำมืดไม่ต่างไปจากปากขนาดใหญ่ของอสุรกายที่คอยกลืนกินแสงสว่างและความหวัง
เส้นทางที่ปรากฏอยู่ในแอปพลิเคชันนำทาง บอกชัดว่าบ้านของชิงเล่ยอยู่ภายในตรอกแห่งนี้
หลินเป่ยเฉินยืนรับแสงอาทิตย์อยู่ตรงนั้นสักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปในตรอกอย่างช้า ๆ
เขาได้ยินเสียงผู้คนกำลังโต้เถียงกันดังออกมาจากในส่วนลึกของตรอก
หนึ่งในนั้นเป็นเสียงของหญิงสาว
สุ้มเสียงที่เคยอ่อนหวานและเขินอาย บัดนี้กลับแข็งกร้าวด้วยความโกรธแค้น เจ้าของเสียงนั้นกำลังก่นด่าใส่ใครบางคน
ที่บ้านมีปัญหาจริง ๆ ด้วย
หลินเป่ยเฉินรีบพลิ้วกายเข้าไปอย่างรวดเร็ว
วูบ!
ร่างของเขาเปลี่ยนไปกลายเป็นลำแสง
ลมหายใจต่อมา เด็กหนุ่มก็มาปรากฏกายขึ้นในส่วนลึกของตรอก
บ้านน้อยหลังหนึ่งปรากฏขึ้นในคลองสายตา มันเป็นบ้านที่มีลักษณะราบเรียบธรรมดาทั่วไป แต่หากจะสังเกตดูให้ดี ก็จะพบว่าบ้านน้อยหลังนี้ถูกปกคลุมด้วยค่ายอาคมอย่างแน่นหนา
แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินสนใจ
สิ่งที่เขาสนใจจริง ๆ คือกลุ่มคนที่กำลังยืนอยู่หน้าบ้านต่างหาก
ชิงเล่ยกำลังยืนถือกระบี่ด้วยสีหน้าโกรธแค้น เส้นผมของนางปลิวไสว แววตาดุดัน ไม่ต่างไปจากนางหมาป่าที่ต้องการปกป้องลูกน้อยของตนเอง
เด็กหญิงหน้าตาซีดเซียวผู้หนึ่งหลบอยู่ทางด้านหลังของชิงเล่ย
เด็กหญิงผู้นี้มีแก้มตอบและเส้นผมที่ขาดการบำรุง แต่แววตาของนางกลับเป็นประกายแจ่มใสอย่างซุกซน สองมือกำชายกระโปรงของมารดาแนบแน่น และบางครั้งก็จะยื่นศีรษะออกมามองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ
ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสองแม่ลูกเป็นชายฉกรรจ์ห้าคน
ทุกคนเป็นนักรบเทวะ
หัวหน้ากลุ่มเป็นบุรุษหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา ผมสีทองยาวสลวย ข้างเอวเหน็บกระบี่ทองคำ พลังกดดันที่แผ่ออกจากร่างกายเกรี้ยวกราดรุนแรง
ด้านหลังของบุรุษหนุ่มผู้นี้ยังยืนไว้ด้วยนักรบเทวะในชุดเกราะสีดำคุณภาพสูงอีกสี่คน
เมื่อเห็นลวดลายอักขระที่อยู่บนชุดเกราะเหล่านั้น หลินเป่ยเฉินก็ทราบทันทีว่านี่เป็นกลุ่มคนจากวิหารเทพพงไพร
แต่คนพวกนี้มาที่นี่ทำไมกันนะ?
นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นในใจของหลินเป่ยเฉิน
“หลินเฟิงอี้ เจ้าได้ตายไปจากหัวใจของข้าแล้ว”
ขณะนั้น ชิงเล่ยก็พูดพร้อมกับยกกระบี่ขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย
เสียงของนางสั่นเครือด้วยความโกรธแค้น หญิงสาวกัดฟันกรอดและกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะไม่ยกอันอันให้กับเจ้า ไสหัวกลับไปซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า”
บุรุษหนุ่มผมทองแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
สายตาของเขาจ้องมองไปยังเด็กหญิงที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังชิงเล่ย ก่อนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เล่ยเอ๋อร์ เจ้าอย่าพูดอย่างนั้นเลย อันอันก็เป็นบุตรสาวของข้าเช่นกัน ข้าเป็นบิดาของนาง ข้ามีคุณสมบัติที่จะดูแลนาง…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ บุรุษหนุ่มผมทองก็หยุดชะงัก ก่อนจะหันหน้ามองกลับมาที่หลินเป่ยเฉิน
คนชุดเกราะขาวผู้นี้มาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่?
เหตุไฉนพวกเขาถึงไม่รู้ตัวเลย?
บุรุษหนุ่มผมทองขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงยกมือออกคำสั่งต่อกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“จัดการซะ”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งรีบก้าวเท้าออกมาอย่างเร็วไว เขายกมือขึ้นและกระแทกหมัดใส่คนชุดเกราะขาวตรงหน้า
หลินเป่ยเฉินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ชายฉกรรจ์รู้สึกราวกับมีมวลดอกไม้เบ่งบานอยู่เบื้องหน้า
แล้วเป้าหมายของเขาก็หายตัวไป
เพียงลมหายใจต่อมา หลินเป่ยเฉินก็ไปปรากฏกายอยู่ข้างชิงเล่ยแล้ว
“ต้องการให้ช่วยเหลือหรือไม่?”
เขาถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
ชิงเล่ยผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความโกรธแค้นถึงกับตัวสั่นเทาเล็กน้อย
นางหันหน้ามามองเขาด้วยความไม่อยากเชื่อ แม้จะเห็นว่าชุดเกราะสีขาวที่เขาสวมใส่ไม่ใช่ชุดเกราะชุดเดิม แต่เสียงนี้ไม่มีทางเป็นบุคคลอื่นไปได้อย่างแน่นอน
“เป็นท่าน เป็นท่านเอง…”
ชิงเล่ยตกตะลึงถึงขีดสุดและอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “เหตุไฉนคุณชาย… ถึงมาอยู่ที่นี่ได้เจ้าคะ?”
คุณชายท่านนี้หายตัวไปจากหอสุราเหมียวเหมียวหง่าวเมื่อเจ็ดวันก่อน เขาไม่เคยกลับมาปรากฏตัวอีกเลย แต่บัดนี้… เขากลับมาปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของนางแล้ว
ชิงเล่ยไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นความจริง
น้ำเสียงที่อ่อนโยนและมั่นคงของหลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “ข้าไปตามหาท่านที่หอการค้าคนแคระเทวะ คนที่นั่นบอกว่าท่านขอลาหยุด ข้ารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ก็เลยอยากมาตรวจสอบดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อชิงเล่ยได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น หัวใจของนางก็รู้สึกวาบหวามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ทันใดนั้น หญิงสาวก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่คือสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้อง
“คุณชาย… นี่ไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับท่าน ข้าน้อยสามารถจัดการเองได้”
ชิงเล่ยรีบพูดออกมาด้วยความร้อนรน
อดีตสามีของนางเพียงเลิกรากันไปสามปี เขาก็ได้ดิบได้ดีอยู่ในวิหารเทพพงไพรและกลายเป็นนักรบเทวะระดับสูง สถานะไม่ต่ำต้อย มีอำนาจอยู่ในมือพอสมควร
ดังนั้นชิงเล่ยจึงไม่อยากลากหลินเป่ยเฉินมาข้องเกี่ยวด้วย เพราะกลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย
“เขาคนนั้นคือคนตายที่ท่านเคยพูดถึงใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน แทนที่จะรีบหนีไป เขากลับยกนิ้วชี้หน้าบุรุษหนุ่มผมทองเสมือนกับไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา
ในเวลาเดียวกันนี้
รอยยิ้มอย่างผ่อนคลายและมั่นใจบนใบหน้าของบุรุษหนุ่มผมทองค่อย ๆ เลือนหายไป
และเขาก็ได้ตระหนักถึงบางอย่างจากความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของชิงเล่ย