ตอนที่ 1,229 ความคิดแปลกใหม่
“ท่านอา ท่านช่างหล่อเหลาเหลือเกิน”
“ท่านอา ท่านจะช่วยปกป้องข้ากับท่านแม่จริง ๆ ใช่หรือไม่?”
“ท่านอา นี่คือไข่นกแก้ว เชิญท่านรับประทาน”
“ท่านอา ข้าจะร้องเพลงให้ท่านฟัง…”
“ท่านอา รูปปั้นตัวนี้ข้ามอบให้ท่าน”
อันอันกล่าวกับหลินเป่ยเฉินด้วยความสนิทสนม ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางพยายามแสดงพรสวรรค์ของตนเองและนำของขวัญออกมามอบให้หลินเป่ยเฉินเพื่อทำให้เขาพึงพอใจมากที่สุด
เด็กหญิงผู้นี้เติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ขาดความปลอดภัย
แม้นางจะมีจิตใจที่กล้าหาญ แต่อันอันก็รู้ดีว่าหากวันนี้หลินเป่ยเฉินไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา ตนเองกับมารดาก็คงแย่แล้ว
สัญชาตญาณบอกให้นางขอบคุณหลินเป่ยเฉิน
ด้วยความคิดที่เรียบง่ายของเด็กน้อย ตราบใดที่นางนำของขวัญที่ดีที่สุดมามอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน ท่านอาคนนี้ก็จะมีความสุขและเขาก็จะอยู่ปกป้องนางกับมารดาต่อไป
ไข่นกแก้วต้มคืออาหารที่เลิศหรูที่สุดในชีวิตประจำวันของอันอัน
การร้องเพลงคือพรสวรรค์ที่เด็กหญิงสามารถทำได้ดีที่สุด
ทุกครั้งที่อันอันร้องเพลง มารดาของนางจะมีความสุข
และรูปปั้นดินเหนียวก็คือสิ่งที่อันอันสามารถสร้างสรรค์ออกมาได้ดีที่สุด
เด็กหญิงนำสิ่งของเหล่านั้นออกมาอวดต่อหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินไม่ปฏิเสธของขวัญ
เขารับประทานไข่นกแก้วต้ม รับฟังบทเพลงที่อันอันขับขานและนำรูปปั้นดินเหนียวมาตั้งไว้บนโต๊ะ
“อันอันเก่งจังเลยน้า”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ท่านอาจะสอนเจ้าร้องเพลงดีหรือไม่?”
“ดีเจ้าค่ะ ดีมากเจ้าค่ะ”
อันอันโห่ร้องและปรบมือด้วยความดีใจ
“เช่นนั้นก็จงฟังให้ดี”
หลินเป่ยเฉินกระแอมไอในลำคอและส่งเสียงร้องเพลง “หอยทากตาโต ตาโต ค่อย ๆ กระดึ๊บกระดึ๊บ ถึงช้าค่อย ๆ เดินไป เจอใบไม้แวะกินซะก่อน หอยทากน่ารัก น่ารัก ค่อย ๆ กระดึ๊บกระดึ๊บ…”
อันอันร้องตามด้วยน้ำเสียงที่สดใส
แม้ว่านางจะไม่เข้าใจเนื้อหาของเพลงนี้เลยก็ตาม แต่เด็กหญิงก็ตั้งใจรับฟังเป็นอย่างดี
ชิงเล่ยผู้นั่งอยู่ที่ด้านข้างจ้องมองบุตรสาวของตนเองด้วยความรู้สึกสงบสุขุมมากกว่าเคย
“ท่านอาเจ้าคะ หอยทากคือสิ่งใด?”
หลังจากร้องเพลงจบแล้ว อันอันก็เริ่มต้นตั้งคำถามด้วยความสงสัย
“อ้อ คือว่า…”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนให้คำตอบว่า “มันเป็นสัตว์อสูรประเภทหนึ่งในหุบผาอเวจีน่ะ มันมีกระดองใหญ่อยู่บนแผ่นหลัง และกระดองอันนั้นก็คือบ้านของมัน…”
เด็กหนุ่มอธิบายรายละเอียดอย่างชัดเจน
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นแววตาของอันอัน หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกสงสารเวทนาขึ้นมา
“ท่านอาเจ้าคะ หากท่านอากลับมาหาพวกเราอีก ข้าจะปั้นรูปปั้นให้กับท่าน…”
อันอันเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อย
ทันใดนั้น ใบหน้าของอันอันก็ซีดเผือด ร่างกายของนางสั่นเทา แล้วเด็กหญิงก็เป็นลมหมดสติไปอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
“อันอัน…”
ชิงเล่ยรีบวิ่งเข้ามาคว้าตัวบุตรสาวเอาไว้
หลินเป่ยเฉินก็ช่วยประคองด้วยอีกคนอย่างตะลึงลาน
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อสักครู่ เขาแค่ลูบหัวนางเองนะ
เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย
“โรคบุปผามรณะกำเริบอีกแล้ว…”
ชิงเล่ยนำขวดหยกสีเขียวมรกตออกมาและนางก็หยดน้ำยาสีเดียวกันจากด้านในใส่ปากของอันอัน พลางจึงช่วยเหลือบุตรสาวหลอมรวมตัวยาในร่างกาย
เพียงไม่นาน อาการสั่นเทาของอันอันก็หายไป
ใบหน้าของเด็กหญิงยังคงขาวซีดยิ่งกว่าแป้งข้าวเจ้า แต่นางก็สามารถลืมตากลับขึ้นมาจ้องมองชิงเล่ยได้อย่างช้า ๆ รอยยิ้มฝืดฝืนปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของอันอัน “ท่านแม่ ข้ากำลังจะตายใช่หรือไม่?”
“อย่าได้พูดจาเหลวไหล”
ชิงเล่ยพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ “อันอันจะต้องกลับมาแข็งแรง แต่หลายวันนี้อันอันเหนื่อยเกินไป มารดาสั่งยามาให้แล้ว เมื่อมีผู้คนมาส่งยา อาการเวียนหัวหมดสติของอันอันก็จะหายดีอย่างแน่นอน…”
“ท่านแม่ อันอันรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน”
เด็กหญิงยังคงฝืนยิ้ม “อันอันอยากนอน เมื่ออันอันตื่นขึ้นมา อันอันจะปั้นหุ่นให้กับท่านอา”
“ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นอันอันก็นอนเถอะ”
ชิงเล่ยลูบศีรษะบุตรสาวอย่างแผ่วเบา แล้วอันอันก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
“พลังวิญญาณของนางกำลังเสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ”
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าสุขภาพของเด็กหญิงไม่แข็งแรงนัก “ไม่ทราบว่าเป็นเพราะโรคบุปผามรณะใช่หรือไม่?”
ชิงเล่ยพยักหน้าขณะโอบกอดบุตรสาวอยู่ในอ้อมแขนและอธิบายอาการของโรคบุปผามรณะโดยละเอียด “เมื่อหกวันก่อน รอยกลีบดอกไม้กลีบสุดท้ายได้ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของอันอัน นี่หมายความว่าอาการของโรคเข้าสู่ระยะที่สองแล้ว จำเป็นต้องใช้โอสถหลิงหลงเจี๋ยที่มีความบริสุทธิ์มากขึ้นในการบรรเทาอาการ”
“นั่นคือตัวยาที่ท่านหยดใส่ปากนางใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถาม
ชิงเล่ยยิ้มแย้มอย่างขมขื่นก่อนพยักหน้า กล่าวว่า “นั่นคือโอสถหลิงหลงเจี๋ยระดับต่ำ สามารถบรรเทาได้เพียงอาการระยะแรกของโรคบุปผามรณะเท่านั้น และข้าน้อยก็มีไว้ใช้ในเวลาฉุกเฉินเพียงอย่างเดียว”
“เช่นนั้นทำไมท่านไม่ซื้อโอสถหลิงหลงเจี๋ยระดับสามัญเล่า?”
หลินเป่ยเฉินถาม
ชิงเล่ยมีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมาทันที “เพราะว่า… มันแพงเกินไป”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ “หลายวันที่ผ่านมา ท่านน่าจะได้ส่วนแบ่งจากการซื้อซากสัตว์อสูรไม่ใช่น้อย นั่นยังไม่พออีกหรือ?”
ชิงเล่ยส่ายหน้าตอบว่า “ยังไม่พอ โอสถหลิงหลงเจี๋ยระดับสามัญแพงมากกว่าโอสถหลิงหลงเจี๋ยระดับต่ำถึงหนึ่งร้อยเท่า ข้าน้อยไม่นึกว่าอาการของอันอันจะย่ำแย่ลงกะทันหันเช่นนี้ จึงไม่ได้เตรียมเงินเอาไว้ก่อน ประจวบเหมาะกับที่เจ้าเศษสวะผู้นั้นต้องการจะมาพาตัวอันอันไป…”
“ทำไมเขาถึงอยากได้ตัวอันอันล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
ชิงเล่ยตอบด้วยความจนใจ “ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบ แต่ข้าน้อยแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่า เขาคงไม่ได้มีเจตนาดีต่ออันอันเป็นแน่แท้ หากไม่มีผลประโยชน์อันใด เขาคงไม่มีทางกลับมาเด็ดขาด”
“ไหนขอข้าดูหน่อยซิ”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของเด็กหญิงอันอันอย่างแผ่วเบา
เขาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
“ความน่ากลัวของโรคบุปผามรณะก็คือพวกมันจะดูดซับพลังวิญญาณของคนป่วยใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถาม คิ้วขมวดมุ่น
ชิงเล่ยพยักหน้ารับคำ “เป็นเช่นนั้นเองเจ้าค่ะ เมื่ออาการของโรคดำเนินมาถึงระยะสุดท้าย คนป่วยก็จะไม่มีพลังวิญญาณเหลืออยู่อีกแล้ว โลหิตในร่างกายจะถูกสูบจนหมดสิ้น คนป่วยจะกลายเป็นร่างหุ้มกระดูกและสิ้นลมไปในที่สุด”
เนื่องจากบุตรสาวของนางป่วยเป็นโรคนี้ ชิงเล่ยจึงค้นคว้าข้อมูลมาเป็นอย่างดี
สายตาของหลินเป่ยเฉินจับจ้องอยู่ที่หน้าผากของอันอัน
มันเป็นปานสีชมพูรูปลักษณ์คล้ายดอกไม้ชนิดหนึ่ง มันมีกลีบอยู่ด้วยกันทั้งหมดเจ็ดกลีบ หลายคนเชื่อว่าปานชมพูที่เกิดขึ้นจากโรคบุปผามรณะ มีความเลวร้ายไม่ต่างจากการถูกตีตรานักโทษประหาร
“ขอข้าดูขวดยาหลิงหลงเจี๋ยหน่อย”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกมาข้างหน้า ก่อนจะรับขวดหยกสีเขียวมรกตจากมือของชิงเล่ย เขาลองหยดน้ำยาสีเขียวใส่ฝ่ามือของตนเองด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นก็ทดสอบใช้ลิ้นเลีย…
ทั่วกายรู้สึกร้อนผ่าว
รสชาติ…
ทำไมเขาถึงคุ้นเคยจังเลยแฮะ?
นี่มันเป็นรสชาติเดียวกับผลกวนเจี๋ยไม่มีผิด
แม้ว่าผลกวนเจี๋ยจะไม่ได้มีสภาพเป็นน้ำโดยตรง แต่ในตัวมันก็มีน้ำหวานชุ่มฉ่ำยามกัดกินซึมออกมาเสมอ
“เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ยาตัวนี้ทำได้แค่บรรเทาอาการเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถรักษาโรคของบุตรสาวท่านได้”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับส่ายศีรษะ “แม้ว่ามันจะทำให้พลังชีวิตของคนป่วยแข็งแรงมากขึ้น แต่ด้วยอาการของโรคบุปผามรณะที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ… นี่ไม่ใช่ยาที่พวกท่านจะกินได้ตลอดชีวิต”
“แต่นี่คือโอสถที่ใช้ได้ผลมากที่สุดในท้องตลาดแล้วเจ้าค่ะ”
ชิงเล่ยกล่าว “นอกจากโอสถหลิงหลงเจี๋ยแล้ว ก็ไม่มีตัวยาอื่นใดสามารถบรรเทาอาการของโรคบุปผามรณะได้ทั้งสิ้น”
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่เล็กน้อยและเขาก็อดรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้
นับตั้งแต่ที่มาถึงดินแดนทวยเทพ เขาก็สะกดพลังปราณธาตุของตนเองเอาไว้ มิเช่นนั้น หากใช้พลังปราณธาตุน้ำรักษาเด็กหญิงด้วยวิชาวารีบำบัด บางทีมันอาจจะได้ผลดีกว่าการทานโอสถหลิงหลงเจี๋ยก็เป็นได้
หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปฆ่าสัตว์อสูรในหุบผาอเวจี
เพราะหลินเป่ยเฉินจะเข้าไปในเมืองเยี่ยเฉิง เปิดสำนักพยาบาล ว่าจ้างหมอยาสาว ๆ สวย ๆ สักกลุ่มหนึ่งมาคอยทำงานเป็นลูกมือรักษาคนป่วยจากโรคบุปผามรณะ เพียงเท่านี้ เขาก็น่าจะสามารถหาคะแนนศรัทธาหลายพันล้านแต้มได้ไม่ยากแล้วกระมัง?
“ท่านลองใช้สิ่งนี้ดูก่อน”
หลินเป่ยเฉินนำผลกวนเจี๋ยออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ “ผลไม้ชนิดนี้ก็สามารถช่วยเพิ่มพลังวิญญาณได้เช่นกัน มันอาจจะมีประโยชน์ต่ออาการของอันอันบ้างไม่มากก็น้อย”
“นี่มัน…”
ชิงเล่ยไม่เคยเห็นผลกวนเจี๋ยมาก่อน จึงเกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อย
แต่ในไม่ช้า ความสงสัยก็แปรเปลี่ยนเป็นความดีใจ
เพราะหลังจากที่นางแบ่งส่วนหนึ่งของผลกวนเจี๋ยใส่เข้าไปในปากของอันอัน บุตรสาวผู้หลับใหลของนางก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาและหาวหวอดโดยไม่รู้ตัว
“ท่านแม่ อันอันหลับไปนานหรือไม่?”
อันอันยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของผู้เป็นมารดา “ครั้งนี้อันอันหลับสบายเหลือเกิน”
ได้ผลเว้ยเฮ้ย!
หลินเป่ยเฉินกับชิงเล่ยหันมองหน้ากันด้วยความดีใจ
“รับไปสิ อันอัน”
หลินเป่ยเฉินวางผลกวนเจี๋ยส่วนที่เหลือลงตรงหน้าอันอันและกล่าวว่า “ผลไม้ลูกนี้ท่านอาเตรียมเอาไว้ให้เจ้า รีบทานก่อนเถอะ แล้วเราค่อยไปทำรูปปั้นกันดีหรือไม่?”
“ดีเจ้าค่ะท่านอา”
อันอันรับคำอย่างกระตือรือร้น หยิบผลกวนเจี๋ยขึ้นมาถืออย่างระมัดระวัง หลังจากลองกัดกินไปคำหนึ่ง นางก็ยื่นส่งไปให้ชิงเล่ยพร้อมกับกล่าวว่า “อร่อยจังเลย ท่านแม่ก็ทานด้วยกันสิเจ้าคะ”
ชิงเล่ยปฏิเสธ หลินเป่ยเฉินรีบกล่าวว่า “มารดาของเจ้าค่อยทานทีหลังก็ได้ ตอนนี้เจ้าทานก่อนเถอะ ท่านอายังมีผลไม้ชนิดนี้อยู่อีกมากมายนัก”
เด็กหญิงตัวน้อยรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อทานผลกวนเจี๋ยจนหมดลูกแล้ว สภาพจิตใจของอันอันก็กลับมาคึกคักแจ่มใสมากกว่าเคย
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่านั่นเป็นเพราะพลังวิญญาณและเลือดลมในร่างกายถูกบำรุง เด็กน้อยอันอันจึงกลับมาดูแข็งแรงดีอีกครั้ง
แต่นี่เป็นเพียงการบรรเทาอาการชั่วคราว ไม่ใช่การรักษาอย่างถาวร
เมื่อพลังวิญญาณและเลือดลมในร่างกายถูกภาวะของโรคบุปผามรณะดูดซับอย่างรุนแรงมากขึ้น อาการของอันอันก็จะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
แต่บัดนี้ เกิดคำถามสำคัญขึ้นในใจของหลินเป่ยเฉิน
ทำไมส่วนผสมของโอสถหลิงหลงเจี๋ยจึงได้มีความคล้ายคลึงกับผลกวนเจี๋ย?
ในดินแดนทวยเทพน่าจะมีสมุนไพรวิเศษที่สามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณและบำรุงเลือดลมอยู่มากมาย แล้วเหตุไฉนอาการของโรคบุปผามรณะ ถึงมีแต่โอสถหลิงหลงเจี๋ยเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่สามารถบรรเทาอาการได้?
และนี่ก็พิสูจน์ว่าผลกวนเจี๋ยก็น่าจะบรรเทาอาการได้เช่นกันใช่หรือไม่?
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินเกิดความคิดแปลกใหม่ขึ้นมา
เขาจ้องมองไปยังชิงเล่ยผู้ที่กำลังเตรียมอาหารค่ำและชำเลืองมองไปที่อันอันซึ่งกำลังเตรียมดินเหนียวสําหรับปั้นรูปปั้นอยู่ในลานหน้าบ้านอย่างขะมักเขม้น และแล้ว แผนการของหลินเป่ยเฉินก็ถูกร่างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ
หากสามารถทำได้สำเร็จ นอกจากจะสามารถรักษาโรคร้ายของอันอันได้แล้ว หลินเป่ยเฉินก็ยังจะช่วยเหลือเรื่องความเป็นอยู่ในอนาคตของสองแม่ลูกคู่นี้ได้อีกด้วย