ตอนที่ 1,230 ท่านอยากจะเป็นผู้ดูแลหอการค้าหรือไม่?
“ท่านต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าชิงเล่ยและกล่าวต่อ “พื้นที่เขต 2 จะอย่างไรก็เป็นพื้นที่เขต 2… ที่นี่วุ่นวายมากเกินไป”
ชิงเล่ยก้มหน้าลงและกล่าวตอบ “เดิมทีข้าน้อยวางแผนที่จะย้ายกลับไปอยู่ในพื้นที่เขต 3 เพื่อเก็บเงินไว้ซื้อยาให้แก่อันอันเจ้าค่ะ”
เพราะต้องซื้อโอสถหลิงหลงเจี๋ยที่มีราคาแพงมากขึ้น ชิงเล่ยจึงไม่สามารถจ่ายค่าเช่าบ้านหลังนี้ได้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่เด็กน้อยอันอันซึ่งกำลังพยายามปั้นรูปปั้นดินเหนียวให้กลายเป็นหุ่นจำลองของเขาด้วยความตั้งอกตั้งใจ “มีข้าอยู่ทั้งคน ท่านไม่ต้องเป็นกังวล”
ดวงตาของชิงเล่ยแดงก่ำ
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวไม่ได้จ้องมองมาทางตนเอง ชิงเล่ยก็โน้มตัวเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินและจุมพิตที่แก้มของเขาอย่างอ่อนหวาน
มือของเด็กหนุ่มเคลื่อนไหวโอบเอวชิงเล่ยเพื่อรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ
หญิงสาวแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงแง่งอนว่า “อย่านะเจ้าคะ ข้าน้อยอายคน”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม มือไม้เริ่มป่ายเปะปะด้วยความซุกซน “ไม่เป็นไรหรอกน่า นอกจากอันอันแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีกทั้งสิ้น”
หญิงสาวหน้าแดงระเรื่อมากกว่าเดิม ส่งเสียงดัง ‘อืม’ ในลำคอแผ่วเบา
หลังจากหยอกเย้านางจนพอใจแล้ว หลินเป่ยเฉินก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องราวหลังจากนี้ เดี๋ยวข้าจะจัดการให้เอง”
“ท่านจะจัดการอย่างไร?”
ชิงเล่ยถามด้วยแววตาสดใส
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าจะพาพวกท่านสองแม่ลูกย้ายไปอยู่ในพื้นที่เขตหนึ่ง”
ชิงเล่ยเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
คุณชายท่านนี้เป็นคนใหญ่คนโตจากพื้นที่เขต 1 อย่างนั้นหรือ?
หญิงสาวเริ่มเกิดความลังเลใจขึ้นมา
เพราะในความรู้สึกของนาง นี่ไม่ต่างจากความสำเร็จที่ได้มาเพราะเอาตัวเข้าแลก
ลึก ๆ แล้วชิงเล่ยย่อมมีความรู้สึกดีต่อหลินเป่ยเฉิน
มีใครบ้างที่จะไม่ตกหลุมรักเขา
แต่สำหรับอันอัน…
ในชีวิตนี้ของชิงเล่ย ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าบุตรสาว
“พวกเรา… สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้เจ้าค่ะ ตราบใดที่สามารถหาเงินมาซื้อยาให้แก่อันอันได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เราต้องย้ายบ้าน…” ชิงเล่ยพูดอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าคำปฏิเสธของนางจะทำให้หลินเป่ยเฉินไม่พอใจ
เด็กหนุ่มลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบาและกระซิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่นี่มันมืดมนเกินไป วันทั้งวันแทบไม่มีแสงแดด อันอันต้องอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีเพื่อน ถูกขังอยู่ในบ้านเพียงตัวคนเดียว นั่นจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเด็กน้อยแล้ว”
ชิงเล่ยยังคงมีท่าทีลังเล
หลินเป่ยเฉินพูดต่ออีกครั้ง “ทุกคนมีชีวิตวัยเด็กเพียงครั้งเดียว ท่านไม่อยากให้วัยเด็กของอันอันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะหรือไร?… เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าจะจ่ายค่าเช่าบ้านในพื้นที่เขต 1 ให้ท่านก่อน อย่างไรเดี๋ยวท่านก็ต้องตอบแทนข้าคืนมาในภายหลังอยู่แล้ว…”
บัดนี้ ชิงเล่ยมีใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าผลแอปเปิ้ลสุกงอม “ตอบแทนคืนในภายหลัง? ในตอนเช้า… ข้าน้อยยังคงต้องไปทำงาน คุณชายมีเรี่ยวแรงมหาศาลมากเกินไป เกรงว่าข้าน้อยคงรับไม่ไหว…”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ให้ตายสิ นี่นางเข้าใจว่าอะไรกันเนี่ย?
คิดว่าเขาอยากได้ตัวนางอย่างนั้นหรือ?
ชิงเล่ยเห็นเขาเป็นคนหื่นกามอย่างนั้นได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินยกมือกุมขมับและถอนหายใจ “แม่นางชิงเล่ย ท่านไปเอาความคิดเช่นนี้มาจากที่ใด? มันไม่ใช่เช่นนั้นเลย”
ชิงเล่ยก็กำลังยกมือปิดหน้าไม่พูดไม่จาเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินคลายหัวคิ้วที่ขมวดลงและอธิบายต่อ “ข้าจะช่วยท่านหางานใหม่ ตราบใดที่ท่านตั้งใจทำงาน ท่านก็จะสามารถหาเงินมาจ่ายค่ายาและจ่ายค่าเช่าบ้านได้อย่างแน่นอน…”
“หางานใหม่หรือเจ้าคะ?”
หญิงสาวเลื่อนมือออกจากใบหน้ามาครึ่งหนึ่ง เปิดเผยให้เห็นถึงสีหน้าที่ทั้งสงสัยและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
“เดี๋ยวท่านก็รู้เอง”
หลินเป่ยเฉินยกข้อมือขึ้นและกดนิ้วลงไปที่กำไลผลึกแก้วกิเลนรุ่นที่สาม
หลังจากนั้น รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ท่านอยากเป็นผู้ดูแลหอการค้าหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ?”
ชิงเล่ยแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“เป็นผู้ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะประจำสถานีขนส่งแดน 4”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ
“คุณชายหมายความว่าจะให้ข้าน้อยไปเป็นผู้ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะประจำสถานีขนส่งแดน 4 อย่างนั้นหรือ?” ชิงเล่ยยิ่งพูดก็ยิ่งตกตะลึง “แต่ว่าเกอสือเหนียน…”
“ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องของไอ้หมูตอนนั่นหรอก”
หลินเป่ยเฉินว่า “แค่ตอบมาก็พอว่าท่านอยากเป็นหรือไม่? ข้าขอแนะนำให้ท่านรับตำแหน่งนี้ไว้ เพราะว่าท่านมีความคุ้นเคยกับสถานีขนส่งแดน 4 เป็นอย่างดี ท่านรู้จักผู้คนเป็นจำนวนมาก และมีประสบการณ์ซื้อขายซากสัตว์อสูรอย่างโชกโชน แต่ถ้าท่านไปรับตำแหน่งในสถานีขนส่งแดน 5 ท่านอาจจะได้ส่วนแบ่งที่สูงมากขึ้น… แต่ก็ต้องเริ่มทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง…”
ชิงเล่ยจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความพิศวง
นางไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะสามารถแก้ไขปัญหาให้แก่ตนเองได้จริง ๆ
ตราบใดที่ชิงเล่ยพยักหน้า นางก็จะกลายเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในสถานีขนส่งประจำหุบผาอเวจีแดน 4 ทันที
ชิงเล่ยไม่เคยสงสัยในคำพูดของเด็กหนุ่ม
เพียงแต่ว่า…
เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากเกินไป
หากนางรับตำแหน่งผู้ดูแลหอการค้าคนแคระเทวะประจำแดน 4 จริง ๆ รายได้ของนางก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า
และด้วยประสบการณ์ทำงานตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชิงเล่ยจึงมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ตนเองจะสามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าเกอสือเหนียน ชายอ้วนผู้หลงระเริงในอำนาจอย่างแน่นอน
“หากท่านไม่ปฏิเสธ ข้าจะถือว่าท่านตอบตกลงก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินเคาะนิ้วลงไปที่กำไลแก้วบนข้อมือเป็นครั้งสุดท้ายและกล่าวว่า “พรุ่งนี้เช้า เราจะไปที่หอการค้าคนแคระเทวะด้วยกัน ส่วนคืนนี้ เราคงต้องพักอยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว”
พูดจบ เขาก็ขยิบตาให้ชิงเล่ย
นี่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจน
หญิงสาวรีบเลื่อนมือกลับมาปิดบังใบหน้าอีกครั้ง “คุณชาย… ไหนท่านบอกว่าไม่ต้องการการตอบแทนเช่นนั้นไงเล่า? แล้วเหตุไฉน…”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับมาหน้าตาเฉย “ใช่แล้ว ข้าไม่ได้ต้องการการตอบแทนเช่นนั้น แต่มันก็คือผลกำไรที่ข้าต้องเก็บเกี่ยว อิอิ และผลกำไรชนิดนี้คือสิ่งที่ข้าจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เป็นอันขาด”
ขณะนี้ อันอันที่กำลังนั่งปั้นหุ่นดินเหนียวอยู่ในลานหน้าบ้านพลันหันมาส่งยิ้มให้พวกเขาด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ นางยกหุ่นดินเหนียวที่ปั้นขึ้นมาได้ครึ่งตัวแสดงให้พวกของมารดาเห็นด้วยความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
เด็กน้อยไม่รู้เลยว่าชีวิตของตนเองกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
และเป็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดียิ่ง
…
หุบผามรณะ สถานีขนส่งแดน 4
อาคารด้านหลังหอการค้าคนแคระเทวะ
นี่คือที่พำนักของเกอสือเหนียน
บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นแห่งราคะ
เสียงหอบหายใจด้วยความสุขสมของเกอสือเหนียนดังกึกก้องในอากาศ
“นายท่านเจ้าคะ ชิงเล่ยแจ้งลาพวกเราเพียงครึ่งวัน แต่วันนี้นางไม่มาทำงานทั้งวัน นี่แสดงให้เห็นว่านางไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาอีกต่อไป”
สองแขนของเซียวจื่อหรานจับยึดเสาเตียงทั้งสองข้างอย่างแนบแน่น ใบหน้าของนางโผล่พ้นออกมาจากหัวไหล่ที่เต็มไปด้วยคราบมันเลื่อมของเกอสือเหนียน “พวกเราต้องหาทางกำจัดนางให้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ท่านยังจะมีหน้าไปพบผู้อื่นได้อย่างไร?”
เกอสือเหนียนหอบหายใจ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยชั้นไขมันของเขาสั่นกระเพื่อมด้วยความพอใจ
เขายิ้มยิงฟันและกล่าวว่า “ข้าแอบสังเกตการณ์มาได้เกือบสัปดาห์แล้ว เจ้าเด็กหนุ่มชุดเกราะดำผู้นั้นไม่เคยกลับมาหานางอีกเลย เกรงว่าเขาคงเล่นสนุกกับนางจนเบื่อแล้ว จึงทิ้งนางไปอย่างไม่ไยดีเช่นนี้…”
พูดมาถึงตรงนี้ เกอสือเหนียนก็หยุดหอบหายใจอีกหลายครั้ง
การกระแทกกระทั้นดำเนินไปด้วยความดุดัน
เซียวจื่อหรานส่งเสียงครวญครางปานจะขาดใจ
นางแทบจะขาดใจตายแล้วจริง ๆ
“ฮ่า ๆ นางคงนึกหวังพึ่งพาเจ้าเด็กหนุ่มชุดเกราะดำผู้นั้นตลอดไป แต่ที่ไหนได้ มันเป็นเพียงนักล่าอสูรที่ผ่านทางมาโดยบังเอิญเท่านั้น… หากวันนั้นชิงเล่ยตัดสินใจยอมรับข้อเสนอของข้า ชีวิตของนางหลังจากนี้ก็คงไม่ต้องตกระกำลำบากแล้ว… วันพรุ่งนี้ ข้าจะทำให้นางได้รู้ว่าการปฏิเสธข้อเสนอของข้านั้นจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อของเกอสือเหนียนพูดด้วยความสะใจ
“ไม่ทราบว่านายท่านจะไล่นางออกหรือไม่เจ้าคะ?”
ดวงตาของเซียวจื่อหรานเป็นประกายอย่างมีความสุข
“จะไล่นางออกได้อย่างไร?”
เกอสือเหนียนส่ายหน้าและตอบว่า “หากไล่นางออกเสีย นางก็หลุดมือข้าไปน่ะสิ เฮอะ ข้าจะเก็บนางไว้ในหอการค้าของเรา ค่อย ๆ กดดันนางเรื่อย ๆ และสักวันหนึ่ง นางก็จะต้องรับข้อเสนอยอมขึ้นเตียงกับข้าอย่างแน่นอน…”
“เมื่อถึงตอนนั้น นายท่านอย่าลืมข้าน้อยนะเจ้าคะ”
เซียวจื่อหรานเสแสร้งแกล้งทำสีหน้าหึงหวงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
เกอสือเหนียนลูบก้นของเซียวจื่อหรานด้วยความสุขสมและพูดอย่างพึงพอใจว่า “ไม่ต้องห่วง ช่วงเวลาระหว่างนี้ เจ้าทำผลงานได้ดีมาก นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าจะได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าผู้ชี้แนะกระโปรงม่วงอีกครั้ง”