ตอนที่ 1,232 เป็นเจ้าเองหรือ?
“นี่หรือคือที่ทำงานของท่านแม่?”
อันอันอยู่ในอ้อมแขนของชิงเล่ย ดวงตาของเด็กน้อยเบิกโตขณะสำรวจมองรอบบริเวณ
อันอันอาศัยอยู่ในบ้านหลังน้อยเกือบตลอดเวลามาตั้งแต่จำความได้ นางแทบไม่เคยเห็นสถานที่ซึ่งสว่างไสวและเต็มไปด้วยผู้คนเช่นนี้มาก่อน ดวงตากลมโตของอันอันจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจและการเฝ้ารอคอย
ตอนแรก เด็กน้อยหวาดกลัวจนแทบไม่กล้าพูดอะไรออกมา
แต่ภายหลัง เนื่องจากมีหลินเป่ยเฉินอยู่ข้างกาย เด็กหญิงจึงมีความกล้าหาญมากขึ้น และนางก็โอบแขนรอบลำคอชิงเล่ยคอยถามนั่นถามนี่อยู่เงียบ ๆ
อันอันไม่กล้าส่งเสียงดังมากเกินไปเพราะกลัวจะเป็นการรบกวนผู้คนที่อยู่โดยรอบ
ชิงเล่ยรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
พฤติกรรมของบุตรสาวสะท้อนให้เห็นว่านางเลี้ยงดูอันอันมาอย่างไร หลินเป่ยเฉินกล่าวได้ถูกต้องนัก ชิงเล่ยแทบไม่เคยคิดถึงสภาพจิตใจของบุตรสาวมาก่อน
เพียงพริบตาเดียว พวกเขาก็มาถึงหน้าสำนักงานของหอการค้าคนแคระเทวะประจำสถานีขนส่งแดน 4
ที่นี่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กว่าหอการค้าแห่งอื่น ๆ
เพราะพวกเขาเป็นผู้ทรงอำนาจมากที่สุด
“บ้านหลังใหญ่สวยงามจังเลย”
เมื่อเห็นที่ทำการหอการค้า ดวงตาของอันอันก็เป็นประกายด้วยความสดใส
เด็กน้อยเมื่อได้เห็นสิ่งของสวย ๆ งาม ๆ ก็มักจะมีความสุขเสมอ
เช่นเดียวกับตอนแรกที่อันอันได้เห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูที่ทำการหอการค้า
ผู้คนจากด้านในก็เดินออกมาทันที
แต่ผู้ที่เดินออกมากลับเป็นเซียวจื่อหราน นางมายืนเฝ้าประตูตั้งแต่เช้า และหลังจากที่ยืนอยู่ตรงนี้มาได้ครึ่งชั่วยาม เซียวจื่อหรานก็ได้สิ่งที่นางต้องการในที่สุด
นางพบเห็นการปรากฏตัวของชิงเล่ย
เซียวจื่อหรานไม่สนใจคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ข้างกายชิงเล่ย นางแสยะยิ้มและพูดเสียงดังให้ได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า “เจ้าหน้าที่ชิงเล่ย ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที ฮ่า ๆๆ ผู้ดูแลเกอกำลังรอคอยเจ้าอยู่”
เสียงของเซียวจื่อหรานไม่แผ่วเบา
ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าเมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงบัดนี้ เกอสือเหนียนก็ปรากฏตัวออกมาโดยทันที
ใบหน้าของชายอ้วนจอมราคะมีความสุขยิ่งกว่าเซียวจื่อหรานเสียอีก
เขาชำเลืองมองบุคคลทั้งสี่ที่ยืนอยู่ข้างกายชิงเล่ยด้วยความสงสัย
เกอสือเหนียนไม่รู้จักหลินเป่ยเฉินซึ่งในขณะนี้สวมใส่ชุดเกราะสีขาว และสวมใส่หน้ากาก แต่ชุดเกราะและหน้ากากนั้นจัดทำขึ้นมาโดยช่างตัดเย็บระดับล่าง ไม่ควรค่าให้ผู้ดูแลหอการค้าอย่างเขาชำเลืองมองสักนิด
น่าจะเป็นนักล่าอสูรไร้ชื่อเสียงเรียงนามผู้หนึ่ง
ส่วนชายฉกรรจ์ที่สวมใส่เสื้อคลุมสีเหลืองอ่อนปิดบังหน้าตาก็ไม่น่าใช่คนใหญ่คนโตเช่นกัน
ไม่ใช่ภัยคุกคาม
เกอสือเหนียนตัดสินใจได้อย่างไม่ยาก
“ชิงเล่ย เมื่อวานนี้เจ้าลางานเพียงครึ่งวัน แต่เจ้ากลับหายตัวไปทั้งวัน และวันนี้เจ้าก็ยังมาทำงานสายอีก”
“นายท่าน เมื่อวานนี้ข้าน้อย…”
ชิงเล่ยพยายามจะอธิบายออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องพูด”
เกอสือเหนียนโบกมือขัดจังหวะ
วันนี้เขาจะไม่เปิดโอกาสให้ชิงเล่ยได้อธิบายสิ่งใดอีกแล้ว
ชายอ้วนจอมราคะหัวเราะเยาะ “เจ้าทำผิดกฎของหอการค้า นับจากนี้ไป… เจ้าจะถูกปลดจากตำแหน่งผู้ชี้แนะกระโปรงม่วงกลับลงไปอยู่ในตำแหน่งผู้ชี้แนะกระโปรงขาว และในแต่ละวัน เจ้าก็ต้องทำกำไรให้พวกเราให้ได้คะแนนศรัทธาหนึ่งแสนแต้มเป็นอย่างต่ำ มิฉะนั้นแล้ว ข้าจะตัดเงินเดือนของเจ้า”
นี่คือข้อบังคับที่ทำให้ชีวิตของชิงเล่ยยากลำบากมากขึ้น
การทำกำไรให้ได้คะแนนศรัทธาวันละหนึ่งแสนแต้ม ต่อให้ผู้ชี้แนะกระโปรงม่วงสิบคนนำยอดทั้งหมดมารวมกันก็ยังทำได้ไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ แล้วชิงเล่ยจะสามารถทำได้อย่างไร?
เกอสือเหนียนศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชิงเล่ยมาเป็นอย่างดี เขาทราบว่าบุตรสาวของนางป่วยเป็นโรคบุปผามรณะ จึงจำเป็นต้องอาศัยเงินเดือนเพื่อซื้อยาบรรเทาอาการ
เพราะฉะนั้น เกอสือเหนียนจึงตั้งเงื่อนไขที่ชิงเล่ยไม่มีทางทำได้สำเร็จ
นี่คือการดับความหวังของนาง
เกอสือเหนียนไม่สนใจทำตัวเป็นแมวไล่จับหนูอีกแล้ว เขาตั้งใจจะครอบครองนางให้ได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นเกอสือเหนียนจึงเลือกวิธีการที่บีบคั้นชิงเล่ยมากที่สุด
เกอสือเหนียนมั่นใจว่าแผนการนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องประสบผลสำเร็จ
“หุหุ เจ้าหน้าที่ชิงเล่ย…”
เซียวจื่อหรานยกมือปิดปากหัวเราะคิกคักและเสแสร้งแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ “อุ๊ย ไม่นะ หากเจ้ากลับไปเป็นผู้ชี้แนะกระโปรงขาว เจ้าก็ต้องกลับไปเป็นลูกน้องของข้าอีกแล้วน่ะสิ เฮ้อ วันนี้เจ้ามาทำงานสายไปหนึ่งก้านธูป แต่กลับต้องทำกำไรให้ได้หนึ่งแสนแต้ม นับว่าเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
ชิงเล่ยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เห็นได้ชัดว่าบุคคลทั้งสองเจตนาทำให้เรื่องราวยุ่งยากสำหรับนางโดยเฉพาะ
ไม่ว่าอธิบายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเกอสือเหนียนกับเซียวจื่อหรานสลับกันไปมาและอดยิ้มออกมาไม่ได้ “นับเป็นคู่ผีเน่ากับโลงผุที่แท้จริง ครั้งที่แล้วข้าอุตส่าห์ปล่อยพวกเจ้าไป แต่นี่พวกเจ้ากลับตามรังควานคนของข้าไม่เลิกรา ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
เกอสือเหนียนเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย
เสียงนี้… มีความคุ้นหูอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของเขา
“เป็นเจ้าเองหรือ?”
เกอสือเหนียนจดจำหลินเป่ยเฉินได้แล้ว
นี่คือเด็กหนุ่มในชุดเกราะสีดำทมิฬผู้นั้น คนที่เคยมาขายซากสัตว์อสูรเมื่อเจ็ดวันที่แล้ว
ดังนั้นเกอสือเหนียนจึงไม่สงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดเมื่อวานนี้ชิงเล่ยถึงไม่มาทำงาน แต่เขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะติดตามนางกลับมายังสถานที่แห่งนี้ด้วย
“ปรากฏว่าเป็นคุณชายนี่เอง”
เกอสือเหนียนตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้เขาจะไม่ไว้หน้าเด็กหนุ่มผู้นี้เด็ดขาด
เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของหอการค้า เรื่องบนเตียงของเขาย่อมสำคัญกว่า!!
“นี่คือกฎของหอการค้าเรา คนนอกจะเข้ามาแทรกแซงไม่ได้”
น้ำเสียงของชายอ้วนบ่งบอกถึงความแข็งกระด้าง
เกอสือเหนียนเตรียมตัวเตรียมใจรอรับการโต้กลับจากเด็กหนุ่มปริศนา และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็จะตอบโต้กลับไปอย่างไร้ความปรานีเช่นกัน
แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรสักคำ
เด็กหนุ่มหันมองไปที่ชายอ้วนร่างสันทัดผู้ยืนอยู่ด้านข้าง
“เหตุไฉนข้าถึงไม่รู้มาก่อนว่าหอการค้าเรามีกฎเช่นนี้อยู่ด้วย?”
ชายอ้วนร่างสันทัดค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมศีรษะออก เปิดเผยให้เห็นถึงใบหน้าอ้วนกลม เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะก้าวออกมาข้างหน้าอย่างแช่มช้า “การขาดงานแค่วันเดียว ต้องลดขั้นจากระดับกระโปรงม่วงสู่ระดับกระโปรงขาวเชียวหรือ? และยังต้องทำกำไรมากมายถึงเพียงนั้นอีก? ไม่ทราบว่านี่คือกฎที่หอการค้าคนแคระเทวะประจำแดน 4 ตั้งขึ้นมาเองใช่หรือไม่?”
“เจ้าตัวบัดซบ…”
เกอสือเหนียนกำลังจะคำรามสวนกลับไปตามสัญชาตญาณ
แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าอ้วนกลมนั้นถนัดตา หัวใจก็เจ็บปวดราวกับถูกสายฟ้าฟาด เมื่อตั้งสติได้ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวแล้ว
“ใต้เท้า… ใต้เท้า… ใต้เท้า… ข้าน้อย…”
เกอสือเหนียนไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าผู้ดูแลระดับสูงของหอการค้าคนแคระเทวจะมาปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้
เซียวจื่อหรานที่ยืนอยู่ด้านข้างก็จดจำฉินโซวได้เช่นกัน
นางเคยสงสัยอยู่เสมอว่าผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดของหอการค้าคนแคระเทวะนั้นมีหน้าตาเป็นเช่นไร
แต่นี่มันน่าขันเกินไปแล้ว
ผู้ควบคุมหอการค้าคนแคระเทวะกลับปลอมตัวเป็นผู้ติดตามผู้อื่น…
เพราะเหตุใด เขาจึงต้องยอมลดศักดิ์ศรีลงไปเช่นนั้นด้วย?
ยังมีอะไรที่นางคาดเดาไม่ถึงอีกหรือไม่?
สมองของเซียวจื่อหรานหมุนวนด้วยความมึนงงสับสน
แล้วนางก็นึกถึงอีกหนึ่งความเป็นไปได้
หรือว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายชิงเล่ยจะมีสถานะสูงส่งมากกว่าใต้เท้าฉินโซว?
ทันทีที่คิดได้เช่นนี้ เซียวจื่อหรานก็ตัวสั่นเทาขึ้นมา